May 17, 2024   11:05:00 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ต่างชาติขนเงินแสนล้านคอนโทรลหุ้นไทย
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 16/07/2007 @ 18:05:36
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ต่างชาติขนเงินแสนล้านคอนโทรลตลาดหุ้นไทย สวนทางรายย่อย-กองทุนกระหน่ำขาย วงการชี้หุ้นยังทะยานได้อีกหากยังมีบางส่วนไม่เชื่อมั่น แต่ถ้าวันใดความเชื่อมั่นในประเทศกลับมา เป็นสัญญาณร้ายแน่ แนะรายย่อยเล่นสั้นตามน้ำ เพราะไม่รู้ว่าฝรั่งจะถอนทุนเมื่อไหร่ หลังจากกำไร 2 เด้งทั้งจากค่าเงิน-ราคาหุ้น

หลังจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย การเมืองที่อึมครึมดูเหมือนจะคลี่คลายลงไป โดยเฉพาะในสายตานักลงทุนต่างชาติที่ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีเม็ดเงินไหลทะลักออกมาหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาดหุ้นแถบเอเชียเป็นจำนวนมาก แต่ประเทศไทยกลับไม่ได้อยู่ในสายตา เพราะยังมีปัญหาการเมืองเป็นประเด็นร้ายปกคลุม แต่มาวันนี้หุ้นไทยพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นักลงทุนต่างชาติพร้อมที่จะขนเงินเข้ามาลงทุน จากปัญหาการเมืองที่คลี่คลาย ในขณะที่ราคาหุ้นถือว่าถูกแสนถูกหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะในช่วงที่หุ้นบ้านเราซบเซาตลาดหุ้นอื่นเค้าทำสถิตินิวไฮกันอย่างถ้วนหน้า

แต่วันนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเส้นทางเงินของต่างชาติจึงมุ่งสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งสอดคล้องกับค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จนทางการไม่อาจต้นทานกระแสการไหลเข้าของเม็ดเงินได้ ถือเป็นช่องทางให้ฝรั่งทำกำไร 2 ต่อทั้งจากค่าเงินและราคาหุ้น อย่างที่ไม่มีใครทัดทานได้ แม้ว่าบางค่ายเริ่มออกมาเตือนว่าหุ้นไทยอาจจะอยู่ในระดับที่เกือบแพงแล้ว หรือแม้แต่ เลขาธิการ ก.ล.ต. เองยังออกโรงเตือนว่า P/E ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ทะลุ 14 เท่าไปแล้ว แต่แรงเตือนก็พ่ายแพ้แรงเงินที่ยังไหลบ่าเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
ดัชนีตลาดหุ้นแรลลี่ขึ้นมาจากระดับ 727 จุด เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก่อนการตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคในวันที่ 30 พ.ค. มาอยู่ที่ 859 จุด หรือปรับตัวขึ้นถึง 18.56% ภายในเวลาเพียง 1เดือนกว่าๆเท่านั้น นักลงทุนต่างชาติตะลุยซื้อสุทธิ 128,759.63 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี

ท่ามกลางความขัดแย้งและความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนในอีกฟากหนึ่ง นั่นคือกองทุนและรายย่อย ที่โหมขายหุ้นออกมาต่อเนื่องสวนทางฝรั่ง โดยตั้งแต่ต้นปีกองทุนขายสุทธิ 20247.53 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 108512.10 ล้านบาท โดยในส่วนของรายย่อยเองถือว่ามีบทเรียนจากอดีตที่ผ่านมาหลายครั้ง จึงปรับกลยุทธ์เป็นการเล่นตามกระแสเท่านั้น จึงเห็นได้ว่ารายย่อยมีการขายทำกำไรออกมาเป็นระยะเมื่อราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ยิ่งกองทุนขายออกมามากเท่าไหร่ แต่ต่างชาติโหมซื้อก็ทำให้หุ้นบิ๊กแคปทะยานต่อได้เรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับความร้อนแรงลง การที่ทุกคนยังไม่เชื่อมั่น ยิ่งทำให้หุ้นไทยวิ่งต่อไม่หยุด แต่หากวันใดทุกคนมีความเชื่อมั่นและหันมาซื้อหุ้น นั่นคือสัญญาณอันตรายว่าต่างชาติอาจทิ้งของออกมาได้

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่าปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยถึง 35 % ในขณะที่นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนการลงทุน 10-15% และอีกประมาณ 50% เป็นของนักลงทุนรายย่อย ทั้งนี้มองว่าแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเน้นเข้าซื้อลงทุนในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ซึ่งราคาหุ้นและมูลค่าการซื้อขายของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของดัชนีฯ ซึ่งคาดว่ากระแสเงินลงทุนจากต่างชาติจะยังคงไหลเข้าในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย และตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยเปรียบเทียบค่า P/E ต่ออัตราการเติบโตของกำไร ระหว่างตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค มองว่าดัชนีฯตลาดหุ้นไทยซึ่งมีค่าP/E อยู่ที่ 14 เท่า ยังถือว่า laggard ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค จึงมองว่าในระยะยาวนักลงทุนต่างชาติจะยังคงให้ความสนใจมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนรายย่อย แนะนำซื้อเก็งกำไรระยะสั้น แต่ถ้าในระยะยาวให้ซื้อลงทุนให้หุ้นของบริษัทฯที่มีผลประกอบการดี และมีอัตรากำไรมากกว่า 10%
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค รวมถึงค่า P/E และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนนั้น ยังเป็นผลมาจากการเข้าเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วย

"นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามา control ตลาดหุ้นไทยหรือเปล่า คงไม่ถึงขนาดนั้น และคงต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจด้วย การที่นักลงทุนต่างชาติเวลาซื้อก็จะซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ย่อมทำให้ดัชนีฯเพิ่มขึ้นและมีผลต่อดัชนีฯ แต่คนไทยจะชอบซื้อหุ้นขนาดเล็กมากกว่า และที่ผ่านมา ตลาดฯอั้นมานาน พอตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น คนก็จะเข้ามาซื้อและดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก" นายเผดิมภพ กล่าว

อย่างไรก็ดี มองว่าปัจจุบันนักวิเคราะห์หลายๆ แห่งคงยังไม่สามารถประเมินได้ว่าราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมานั้นแพงเกินไปหรือไม่ ซึ่งยังคงรอดูผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2550 ที่จะทยอยในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งหากผลการดำเนินงานโดยรวมลดลงก็คงไม่มีการปรับประมาณการและแสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นปัจจุบันแพงเกินไป

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนซื้อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ LH, PS และ LPN เพราะจะได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง และคาดว่าหลังจากที่ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2/50 นั้นอาจปรับประมาณการกำไรขึ้น อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไตรมาสที่ 3/50 จะปรับตัวดีขึ้น จากที่มองว่าไตรมาสที่ 2/50 จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว
นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.พี.มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศมีเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ไทยตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วภูมิภาคเอเชีย และหมายรวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทย หลังจากสถานการณ์การเมืองเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ หากประเมินว่าเม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศจะควบคุมการเคลื่อนไหว SET Index หรือไม่ ขึ้นอยู่กับแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยเองว่าตัดสินใจเข้าลงทุนตามมากน้อยแค่ไหน

"ตลาดหุ้นภูมิภาคขึ้นมาก็เยอะแล้ว และบ้านเราการเมืองก็มั่นคงขึ้น เป็นสิ่งที่ดี ที่ผ่านมาฝรั่งซื้อหุ้นไทยตลอด โดยตั้งแต่ต้นปีซื้อเข้ามาเกือบ 4 พันกว่าล้านเหรียญ มีแต่รายย่อยที่ไม่มั่นใจในตลาดหุ้นไทยเองเท่านั้น"นายอาจดนัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังปรับขึ้นได้ต่อ และหากถึง 880 จุด ดัชนีฯน่าจะพักฐาน เพื่อรอดูความชัดเจนสถานการณ์การเมืองที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวชัดเจน มีโอกาสดัชนีฯปรับเพิ่มโดดเด่น โดยในส่วนของปีนี้ประเมินกรอบดัชนีฯไว้ที่ 880 - 900 จุด

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการรายงานสถานการณ์ค่าเงินบาท ให้กับ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ร่วมกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่า ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทยังคงนิ่งอยู่ แต่ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากโดยปัจจัยมาจากมีเงินไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ
ทั้งนี้ยอมรับว่าค่าเงินบาทจะยังคงมีความผันผวนต่อไปอีกเนื่องจากจะยังคงมีเงินทุนไหลเข้าออกต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกระทรวงการคลัง จึงได้พยายาม ร่วมมือกับธปท.ในการใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ที่มองว่าเพียงพอต่อการบริหารจัดการแล้ว มาใช้ให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามในส่วนของรัฐบาลเองจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ในภาคอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีสูงขึ้น ดังนั้นรัฐบาลต้องเตรียมการปรับโครงสร้างระบบอุตสาหกรรม และเตรียมรับมือกับปัญหาแรงงานที่ต้องหาทางสนับสนุนให้มีความรู้ทางด้านเทคโนยีให้มากขึ้น และต้องจัดหางานใหม่ให้กับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างให้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย
สำหรับการรายงานสถานการณ์ค่าเงินบาทให้กับนายกรัฐมนตรีรับทราบในวันนี้นั้น นายกรัฐมนตรีไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้กระทรวงการคลัง และธปท.รายงานเรื่องดังกล่าวให้รับทราบทุกวันศุกร์ด้วย เนื่องจากรัฐบาลได้เห็นความสำคัญกับนี้มากขึ้น

ส่วนการแก้ไขปัญหาแรงงานที่ว่างลงหลังจากที่บริษัทปิดตัวลงนั้น นายฉลองภพ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 17 ก.ค.2550 นี้ จะมีการหารือกันในเรื่องดังกล่าวด้วยและหลังจากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อหารือในเรื่องนีกับภาคเอกชนด้วย



:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com