:roll:

การที่เงินบาทแข็งค่า[/color:41dd6707f1">
มีกลุ่มที่ได้ประโยชน์[/color:41dd6707f1">
งั้นเรามาช่วยกันหา ดีมั๊ย คะ[/color:41dd6707f1">

1. TOP
2. PTT
3. THAI
4. TT&T

:wink:

ใครมีข้อมูล มาแบ่งปันกัน นะคะ[/color:41dd6707f1">[/size:41dd6707f1">

นี่เลย PTT ราคาปัจจุบันสามารถลดได้อีก 3 บาทกว่าๆสบาย

:roll:

การบินไทย (THAI) - ซื้อ
ราคาปัจจุบัน 45.25 บาท
Fair Value 53.30 บาท
มูลค่าตลาด 76,246 ล้านบาท
เชื่อ 3Q50 คือจุดต่ำสุดของปี
* ค่าเงินที่แข็งค่าช่วยผลประกอบการ 3Q50 ให้มีกำไร
* แนะนำซื้อ มูลค่าพื้นฐานปี 2550 ที่ 53.3 บาท Upside 18%
ค่าเงินที่แข็งค่าช่วยผลประกอบการ 3Q50 ให้มีกำไร
หลังพูดคุยกับฝ่ายบริหารของ THAI พบว่าอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ในช่วงเดือนมิ.ย. 2550 อยู่ที่ 74% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 72% ในเดือนพ.ค. แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ระดับ 75% ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นระดับที่น่าผิดหวัง เมื่อเทียบกับประมาณการของฝ่ายบริหาร และฝ่ายวิจัยที่ 75% ผลของตัวเลข Cabin Factor ที่ตกต่ำในเดือนมิ.ย. ส่งผลให้ Cabin Factor เฉลี่ยในช่วง 3Q50 (สิ้นสุดมิย) อยู่ที่ 74% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าประมาณการเบื้องต้นของฝ่ายวิจัยที่ 75% และระดับดังกล่าวเป็นจุดที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการช่วง 3Q50 ของ THAI ประสบผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ นอกจากนี้ จากการพูดคยกับฝ่ายบริหารยังพบว่าในช่วง 3Q50 ยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการซ่อมเครื่องบินมูลค่าทั้งสิ้น 500 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยจึงประเมินว่าในช่วง 3Q50 THAI จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 904 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก THAI มีหนี้สินในรูปเงินตราต่างประเทศค่อนข้างมาก ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก (แข็งค่า 1% เมื่อเทียบกับเงินเหรียญฯ และเงินยูโร และแข็งค่าขึ้น 6% เมื่อเทียบกับเงินเยน) ส่งผลให้มีแนวโน้มบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนช่วง 3Q50 ราว 1 พันล้านบาท เมื่อรวมกำไรจากอัตรแลกเปลี่ยน คาดว่ากำไรสุทธิในช่วง 3Q50 ของ THAI จะอยู่ที่ 96 ล้านบาท
แนะนำซื้อ มูลค่าพื้นฐานปี 2550 ที่ 53.3 บาท Upside 18%
แม้กำไรสุทธิช่วง 3Q50 จะออกมาตกต่ำ เทียบกับช่วง 1Q50 และ 2Q50 ที่มีกำไรสุทธิราว 4 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าตลาดฯ ได้รับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้วระดับหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากราคาหุ้น THAI ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดโดยรวม (ในช่วง 1 เดือน THAI ปรับตัวขึ้น 4% ขณะที่ SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12%) ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลประกอบการช่วง 3Q50 จะเป็นจุดต่ำสุดของ THAI แล้ว และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4Q50 เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ของการท่องเที่ยว คงคำแนะนำซื้อ โดยหากราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากกังวลเรื่องผลประกอบการช่วง 3Q50 ฝ่ายวิจัยเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะเข้าสะสมหุ้น THAI เพิ่มเติม โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2550 อยู่ที่ 53.3 บาท อิง (อิง EV/EBITDAR ที่ 5.4 เท่า) Upside จากมูลค่าพื้นฐาน 18%
โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 16 ก.ค. 2550

ตัวนี้ รอทุบลงมาอีกหน่อยค่อยซื้อ นะ[/color:657b122b86">
:twisted:

:roll: :roll:

Today Report
► Deknaew : MCOT ลงอย่างนี้ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว
► Technical Wiz : วันนี้แต้มแดง เป็นต่อ
► หุ้นเทคนิคเด่น : TKS, TCC

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ? ขายทำกำไร รอปัจจัยใหม่ ?
ดัชนีฯปิดตลาดที่ 857.08 จุด ลดลง 2.06 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขาย 2.55หมื่นลบ. ปริมาณซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ เป็น net buy 706 ลบ. ตลาดหุ้นมีความผันผวนและมีการขายทำกำไร เนื่องจากขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาในตลาด และนักลงทุนบางส่วนอาจรอผลการประชุมดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยชี้นำตลาดตัวอื่นๆจากต่างประเทศ

ปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกับตลาดฯ วันนี้
เศรษฐกิจ - การเมือง - ต่างประเทศ
● เงินบาท ? ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ในตลาด on shore อยู่ที่ 33.25บาท/ดอลล่าร์ เริ่มทรงตัว ส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทเริ่มนิ่งขึ้น มาจากการแทรกแซงของ ธปท.และตลาดหุ้นที่เริ่มมีแรงซื้อน้อยลง จับตาดูมาตรการของ ธปท.ว่าจะมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทอย่างไร
● เงินบาท ? นายกฯขอฟังข้อมูลก่อนออกมาตรการรองรับบาทแข็ง,ไม่มีช็อคตลาด ด้าน ?ธาริษา ? ชงมาตรการแก้บาทแข็งรมว.คลังพุธนี้ ซึ่งคาดว่าวันนี้จะทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนรอแถลงการณ์ใน 1-2 วันนี้[/color:36a121df6a">
● ตลาดหุ้นเอเซีย - วานนี้ ตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้เริ่มมีแรงขายทำกำไรหลังหุ้นขึ้นมามาก โดยที่ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเกิดในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดหุ้นจีน อาจมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นวันนี้
● ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ? ดัชนีฯ Dow Jones สัปดาห์ที่ผ่านมาสูงขึ้น 13951 จุด เพิ่มขึ้น 43 จุด แม้ตลาดหุ้นจะเล่นข่าวผลประกอบการ แต่ยังคงมีความกังวลต่อปัญหาในตลาด Subprime สังเกตได้จากมีการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งมาจากการโยกเงินลงทุนมาจากตลาดตราสารหนี้ที่เสี่ยงสูง
● น้ำมัน ? ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดตลาดที่ 74.15 เหรียญ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.22 เหรียญ ความร้อนแรงของราคาน้ำมันเริ่มลดลง เมื่อนักลงทุนเริ่มซึมซับข่าวไปมากแล้ว

แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ ? แกว่งแคบ ดัชนีฯถอยลง ?
เนื่องจากตลาดหุ้นยังรอปัจจัยใหม่ๆเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดอกเบี้ย เงินบาท หรือทิศทางของตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ทำให้สภาพการซื้อขายไม่ต่างจากวานนี้ คือ มีแรงขายทำกำไรและแกว่งในกรอบแคบๆ โดยกรอบการเคลื่อนไหว อยู่ที่ 850-860 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำสลับไปเล่นหุ้นที่มีขนาดเล็กในลักษณะเก็งกำไรช่วงสั้น และชะลอการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่[/color:36a121df6a">
ขอบคุณ...คุณมงคล พ่วงเภตรา[/color:36a121df6a">
:arrow: :arrow:

:arrow: :arrow:

บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH) - ซื้อ
ราคาปิด 47.25 บาท
ราคาเป้าหมาย 51.00 บาท
มีโอกาสชนะการประมูลไอพีพีสูงและรุกเพิ่มกำลังการผลิตในต่างประเทศ
หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค

ข้อมูลการเงิน
ปี กำไรสุทธิ กำไรปกติ EPS-กำไรปกติ BV DPS P/E P/BV Div. Yield
(ล้านบาท) (ล้านบาท) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (เท่า) (เท่า) (%)
2548 6,066 5,960 4.11 21.72 2.00 9.81 1.86 4.96
2549 6,106 6,856 4.73 23.93 2.10 8.20 1.62 5.42
1Q50 2,049 2,049 1.41 25.34 - - - -
2550F 6,351 5,601 3.86 25.99 2.19 12.23 1.82 4.63
2551F 5,730 5,730 3.95 27.55 1.98 11.96 1.71 4.18
แหล่งข้อมูล : ข้อมูลบริษัท, ACLS

คำแนะนำการลงทุน:
คาดว่า กำไรปกติในปี 50 ของ RATCH จะลดลง 18% YoY จากการหยุดซ่อมบำรุงจำนวนมาก
แต่แนะนำ "ซื้อ? RATCH โดยให้ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 51 บาทจากวิธี DCF และยังมีโอกาสเพิ่มมูลค่าหุ้น
จากโครงการประมูลไอพีพีรอบ 2 ที่คาดว่าจะทราบผลในเดือนธ.ค.50 จากการประเมินเบื้องต้น หาก RATCH
และไตรเอนเนอจี้ชนะการประมูลไอพีพีอย่างที่คาดหวังไว้ RATCH จะได้มูลค่าหุ้นเพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้า
ส่วนขยายของ RATCH เองประมาณ 4.15 บาทต่อหุ้น และมูลค่าจากไตรเอนเนอจี้ประมาณ 2.10 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ยังรุกเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าในต่างประเทศที่จะช่วยสร้างกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นในระยะยาว นอก
เหนือจากการสร้างโรงไฟฟ้าภายในประเทศเพียงอย่างเดียว

สาระสำคัญ:
คาดกำไรปกติ 2Q50 เพิ่มขึ้น 43.1% YoY และ 1.9% QoQ: คาดว่า กำไรปกติของ RATCH
จะอยู่ที่ 2,088 ล้านบาท เนื่องจาก 1) ใน 2Q50 มีรายได้จากความพร้อมจ่ายสูงขึ้นประมาณ 20% YoY
เป็นไปตามสูตรอัตราค่าความพร้อมจ่ายเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าในปี 2550 สูงกว่าปี 2549 ตามที่กำหนดไว้ใน
สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 2) คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรในไตรเอนเนอจี้ (TECO) ประมาณ 239 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
2.8% YoY แต่ลดลง 10.0% QoQ เนื่องจาก TECO มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้ามากกว่าใน 1Q50 และ
3) ด้านค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะลดลง 5.0% YoY และ 8.2% QoQ ส่งผลให้กำไรปกติดีขึ้นมาก
YoY แต่ใกล้เคียง QoQ
คาด 3Q50 ได้รับเงินชดเชยคืนจากบริษัทประกันภัย: ใน 4Q49 RATCH ได้บันทึกค่าใช้จ่ายตั้ง
สำรองค่าเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้เครื่องดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของโรงงานไฟฟ้าพลังความร้อนเครื่อง
ที่ 1 จำนวน 750 ล้านบาทไว้ และคาดใน 3Q50 จะได้รับเงินประกันคืน ซึ่งช่วยทำให้กำไรสุทธิปี 50 ของ
RATCH ดีขึ้นเป็น 6,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY จากเดิมที่คาดไว้ที่ 5,612 ล้านบาท
คาดกำไรปกติปี 50 ลดลง 18% YoY: ยังคงประมาณการว่าปี 50 RATCH จะมีกำไรปกติประมาณ
5,601 ล้านบาท ลด 18% YoY เพราะในปี 50 จะมีการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 6 ปี โดย
จะหยุดซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนรวม 4 เครื่องในช่วง 3Q50 และ
4Q50 ทำให้จำนวนวันในการเดินเครื่องน้อยลง รวมทั้งจะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูงขึ้นด้วย
คาดยื่นประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพี 2 โรงไฟฟ้าในรอบนี้: หลังจากกระทรวงพลังงานออกประกาศรับ
ซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) กำลังการผลิต 3,200 เมกะวัตต์ในช่วงปลายเดือนมิย.ที่ผ่านมา
ซึ่งตามกำหนดการกระทรวงพลังงานจะประเมินและคัดเลือกข้อเสนอให้แล้วเสร็จในเดือนธ.ค.50 และจะประกาศ
ผู้ที่ชนะการประมูลแข่งขันและลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในมิ.ย.51
ตามเกณฑ์การประมูลไอพีพีครั้งที่ 2 เน้นประสบการณ์ทั้งด้านเทคโนโลยี การเงินและการยอมรับ
ของชุมชน: เกณฑ์สำคัญที่จะใช้ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการประมูล โดยสรุป คือ
1) สถานที่ตั้งของโรงไฟฟ้า (Location) จะพิจารณาจากสถานที่ที่มีความพร้อมทางด้านเชื้อเพลิง
เช่น ท่อก๊าซฯ แหล่งน้ำ และสายส่งของกฟผ. เป็นหลัก
2) ความพร้อมทางการเงินของผู้ประมูล (Funding) โดยมีจดหมายรับรองทางการเงินจากธนาคาร
และจะครอบคลุมถึงประสบการณ์ในการจัดโครงสร้างทางการเงินในโรงไฟฟ้าที่ผ่านมา และคุณภาพการจัดโครง
สร้างทางการเงินที่ผู้เข้าประมูลนำเสนอ
3) ผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการยอมรับจากชุมชนในการสร้างโรงไฟฟ้า
ในการพิจารณาครั้งนี้ ให้ความสำคัญอย่างมากกับการยอมรับของชุมชน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งผู้เข้าประมูล
ต้องทำแผนพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยอมรับในชุมชนรอบโรงไฟฟ้าด้วย
4) ความชำนาญและเชี่ยวชาญทางเทคนิค (Technical) ซึ่งจะพิจารณาจากประสบการณ์ในการ
ก่อสร้างและการดำเนินการผลิตโรงไฟฟ้าที่ผ่านมาที่มีลักษณะเทคโนโลยีระดับเดียวกับโรงไฟฟ้าที่จะเปิดประมูลใหม่
5) อัตราเสนอขายไฟฟ้า เป็นเกณฑ์ต่อไปที่จะพิจารณาหลังจากที่ผ่านเกณฑ์สี่ข้อแรกแล้ว โดยจะเรีย
ลำดับตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอขาย
RATCH ตั้งเป้าหมายที่จะชนะการประมูลโรงไฟฟ้า 2 โรง: หรือประมาณ 1,600 เมกะวัตต์สำหรับ
การประมูลรอบนี้ โดยจะยื่นประมูลโดย RATCH 1 โรงและผ่านบริษัทร่วมไตรเอนเนอจี้อีก 1 โรง ดังนี้
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรีส่วนขยาย ชุดที่ 4 ขนาด 725 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซ
ธรรมชาติจากพม่าเป็นเชื้อเพลิง โดยเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมมากที่สุด ทั้งพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน
(Common Facilities) และสายส่ง โครงการนี้ได้รับความเห็นชอบจากรายงานการศึกษาและวิเคราะห์ผล
กระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ตั้งแต่ปี 48
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมไตรเอนเนอจี้ ชุดที่ 2 ขนาด 700 เมกะวัตต์ โดย RATCH
ถือหุ้นในไตรเอนเนอจี้อยู่ 50% ซึ่งพื้นที่โรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ จ.ราชบุรี มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานพร้อมเช่นกัน
และได้รับ EIA ตั้งแต่ปี 48 ทั้งนี้ สำหรับ TECO จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมจำนวนหนึ่งในการสร้างบ่อน้ำรองรับ
การขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า
RATCH มีโอกาสชนะสูงเมื่อพิจารณาตามเกณฑ์การประมูล: เนื่องจากมีความพร้อมมากที่สุดในแง่ของ
ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและสายส่ง ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนต่ำโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่ง โดยเฉพาะหากอยู่ใกล้
สายส่งของกฟผ.ที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับน่าจะมีโอกาสชนะการประมูลสูง จากการประเมินเบื้องต้น หาก
RATCH และไตรเอนเนอจี้ชนะการประมูลไอพีพีอย่างที่คาดหวังไว้ RATCH จะได้มูลค่าหุ้นเพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้า
ส่วนขยายของ RATCH เองประมาณ 4.45 บาทต่อหุ้น และมูลค่าจากไตรเอนเนอจี้ประมาณ 2.22 บาทต่อหุ้น
รุกลงทุนต่างประเทศเพิ่มกำลังการผลิต: RATCH เตรียมลงทุนในโรงไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่มเติม
นอกเหนือจากการประมูลไอพีพี โดยเน้นลงทุนในประเทศที่ผลิตไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายกับ EGAT ซึ่งโครงกา
รส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศลาวและพม่า โดยโครงการใหญ่ที่มีศักยภาพการลงทุนสูง คือ
- โครงการหงสาลิกไนต์ ประเทศลาว กำลังการผลิต 1.8 พันเมกะวัตต์ คาดกำหนดแล้วเสร็จ
ประมาณปี 2556 RATCH คาดว่าจะถือหุ้น 20% หรือประมาณ 360 เมกะวัตต์
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำท่าซาง ประเทศพม่า กำลังการผลิต 7 พันเมกะวัตต์ คาดกำหนดแล้ว
เสร็จประมาณปี 2559-60 คาดว่าจะถือหุ้น 20% เช่นกัน หรือประมาณ 1.4 พันเมกะวัตต์
นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ ในลาว พม่า และเวียดนามที่อยู่ระหว่างเจรจาเข้าลงทุนอีกหลาย
โครงการ คาดว่าจะถือหุ้นประมาณ 20%-25% ซึ่งเป็นโครงการลงทุนที่จะช่วยเสริมกำลังการผลิตให้ RATCH
ในระยะยาว นอกเหนือการประมูลไอพีพีในประเทศ

โครงการที่มีโอกาสเข้าลงทุนเพิ่มในลาวและพม่า
โครงการ ประเทศ กำลังการผลิต กำหนดวันซื้อขายไฟฟ้า
(เมกะวัตต์) เชิงพาณิชย์ (COD)
น้ำบาก ลาว 300 2556
เซเปียน-เซน้ำน้อย ลาว 390 2557
หงสาลิกไนต์ ลาว 1,800 2556-2557
ท่าซาง พม่า 7,000 2559-2560
ที่มา: RATCH

ข้อมูลหลักทรัพย์
ประเภทธุรกิจ ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยปัจจุบันมีโรงไฟฟ้า 5 โรง มีกำลัง
ผลิตรวม 3,645 เมกะวัตต์
Market Cap. (ลบ.) 68,512
ทุนเรียกชำระแล้ว (ล้านหุ้น) 1,450
Daily Turnover (ล้านหุ้น) 1.29
%Foreign limit/Actual 25.00/13.45
%Free Float 37.32
High/Low (บาท) ? 12 เดือน 48.25/31.50
Beta 0.69
ผู้ถือหุ้นใหญ่ 1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 45.00%
2. กลุ่มบมจ. บ้านปู 15.00%
3. สำนักงานประกันสังคม 4.89%
แหล่งข้อมูล : SET, BLOOMBERG

โดย บล.สินเอเซีย จำกัด ประจำวันที่ 16 ก.ค. 2550

:arrow: :roll:

ตัวนี้ก็น่าซื้ออ่ะ...ขอต่อราคาลงมาอีกนิดนะ[/color:b65908477f">

:!: :idea: