*"โมนิก้า" บอกตามตรงว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นการลงทุน อีกทั้งหุ้นไทยก็ขึ้นมามากพอๆ กับตลาดหุ้นต่างประเทศ ก็เลย
ทำให้โอกาสที่ดัชนีจะไต่ระดับขึ้นสร้างแนวรับใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ อีกต่อไป

*โชคดีที่หุ้นกลุ่มแบงก์ใหญ่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ออกมาค่อนข้างดี ก็เลยทำให้ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์วิ่งระเบิดระเบ่อ และเป็นตัวประคองดัชนีให้ยืนหยัดเหนือแนวรับ650 จุดอย่างแข็งแกร่ง(สงสัยจะยืนได้แค่ชั่วคราว)

*โดยเฉพาะในรายของ KBANK ผลประกอบการออกมาดีเกินคาด จนบรรดานักวิเคราะห์ให้ราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 92-95 บาทแบบนนี้ไงเล่า ราคาหุ้นถึงวิ่งฝุ่นตลบแบบไม่เหลียวหลังตลอดทั้งวัน จนสุดท้ายวิ่งขึ้นมาปิดที่ ---บาท บวกไป---บาทพร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้แฟนพันธ์แท้หุ้นกลุ่มแบงก์รู้ว่า ยังมีแก๊ปให้เล่นอีกนะจ๊ะ

*เช่นเดียวกับ BBL พอผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ออกมาดี ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นปรู๊ดเดียวมาปิดที่---บาท บวกไป---บาท อย่างรวดเร็ว ประกอบนักลงทุนได้รับเสียงเชียร์แขกให้ไล่ซื้อหุ้นตัวนี้สุดตัว เพราะโบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมายสูงถึงระดับ 150 บาทราคาหุ้นก็เลยวิ่งรับข่าวดังกล่าวทันทีไงหล่ะ

*ส่วนแบงก์ตราใบโพธิ์ SCB อาจไม่ร้อนแรงเท่ากับ 2 รายแรก แต่ก็บวกเนิบๆตามประสาหุ้นที่มีสตอรี่ดีหล่อเลี้ยง "โมนิก้า" ถึงไม่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นหุ้นวิ่งขึ้นได้แค่2.50 บาท ก่อนจะมาปิดที่ 82.50 บาท เพราะหุ้นตัวนี้เขายึดคติที่ว่า กำไรน้อยๆ แต่นานๆเจ้าค่ะ

*แม้ BAY จะประกาศตัวเลขขาดทุนบานเบอะ แต่ก็เป็นเรื่องปกติของธนาคารที่กำลังโครงสร้าง และการที่หุ้นปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 27.25 บาท บวกไป 0.50 บาท จึงสมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เดี๊ยนจึงขอแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าเก็บหุ้นตัวนี้ให้ดีเป็นพิเศษ

*อนาถใจสุดๆ คงเป็น TMB เพราะผลขาดทุนที่เกิดขึ้นมโหราฬชี้ชัดว่า ระบบบริหารจัดการภายในธนาคารมีปัญหา และยังมีปัยหาหลายอย่างซุกซ่อนไว้ใต้พรหมอีกมาก "โมนิก้า" จึงอยากให้นักลงทุนรีบตัดขายหุ้นขาดทุนออกไปก่อน เพราะหากดื้อรันถือหุ้นตัวนี้ต่อไปก็มีแต่ร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าค่ะ

*ประกอบได้แรงหนุนจาก ADVANC ถีบตัวขึ้นมาปิดที่ 99 บาท บวกไป 2 บาทพร้อมด้วยแรงซื้อที่แน่นขนัดเหมือนกับช่วงข้าวใหม่ปลามัน การทะยานขึ้นรอบนี้ถึงค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าทุกครั้ง "โมนิก้า" ถึงเชื่อว่าหุ้นตัวนี้ยังมีโอกาสไต่ระดับขึ้นไปอีก เพราะพรายกระซิบบอกว่า แค่ถือรอรับเงินปันผลก็กำไรอื้อซ่า แล้วเจ้าค่ะ

*ร้อนแรงเกินพิกัดยามนี้ต้องยกให้ SECC-W1 เพราะอาศัยแค่เป็นวอแรนต์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดซิงได้ไม่นานมาเป็นสตอรี ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 23% ก่อนจะมาปิดที่1.97 บาทแล้วหล่ะ หากถามว่าการขึ้นรอบบนี้เหมาะสมมากน้อยเพียง ข้าน้อยขอตอบว่าแล้วแต่ดุลยพินิจของนักลงทุน เพราะการปรับตัวขึ้นของวอแรนต์ไม่เคยอิงกับปัจจัยพื้นฐานสักครั้งเดียว

*ยกเว้นพวกหุ้นตระกูลยู อันนี้มีสตอรี่ที่ดีรองรับเต็มประตูหน้าต่าง "โมนิก้า" ถึงไม่เคยหวั่นใจที่หุ้นตระกูลนี้ขึ้นแรงกันทุกตัว โดยวันศุกร์ก็เป็นรายของ UBIS กระชากขึ้นมาปิดที่ 2.30 บาท บวกไป 0.46 บาท หรือขึ้นไปถึง 25% อาจเป็นการปรับตัวขึ้นที่โอเว่อร์รีแอ๊คเกินไปหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องปกติของหุ้นขนาดเล็กที่มีขาใหญ่มาคอยดันราคานะจะบอกให้

*เพียงแต่เดี๊ยนขอเตือนนักลงทุนรายย่อยที่คิดจะเล่นหุ้นประเภทดาวรุ่งมุ่งเก็งกำไรว่าหากขาใหญ่ดันก้นทำราคากันมากๆ ระวังก้นจะบานโดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ...อิอิอิ

*เหมือนกับในรายของ UKEM นับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดราคาหุ้นก็ร่วงหล่นมาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี แต่จู่ๆ กระชากขึ้นพรวดเดียวมาปิดที่ 2.04 บาท บวกไป 0.35 บาท หรือขึ้นไปถึง 20% จะให้เดี๊ยนบอกว่าเกิดจากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงดีขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อตัวเลขผลกำไรก่อนหน้านี้ ฟ้องกันอยู่ทนโท่ว่า เป็นหุ้นพื้นๆ ธรรมดาๆ...ใครที่คิดจะเล่นหุ้นตัวนี้ ต้องนั่งบวกลบให้ดีก่อนจะเข้านะค่ะ

*สำหรับหุ้นจำพวกม้ามืดที่ "โมนิก้า" อยากให้คุณๆ จับตามองให้ดีเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ เพราะผลการดำเนินงานไตรมาส 2 น่าออกมาสวยตามที่หลายคนคาดคิดไว้ และอาจติดอยู่ใน 50 อันดับ บริษัทที่ทำกำไรสูงสุดอีกต่างหาก ขืนเดี๊ยนไม่พูดถึงสักเล็กน้อยก็คงผิดวิสัยนกรู้อย่างอีฉันนะยะ

*ก่อนจากกันเดี๊ยนอยากฝากบอกนักลงทุนว่า การเคลื่อนตัวของดัชนีคงไม่หวือหวาเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะตลาดหุ้นถูกรุมรอบด้วยปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมถึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษนะจ๊ะ

*ส่วนปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ "โมนิก้า" ภาวนาว่าในไม่ช้าคงหาทางออกที่เหมาะสมกันได้นะค่ะ


:lol: