หุ้นกลุ่มพลังงานยังแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่แรงซื้อกระหน่ำ บิ๊กล็อตกระจายรับเตรียมระเบิดผลงานไตรมาส 2 คาดพุ่งกระฉูดพร้อมลุ้นปันผลระหว่างกาลสูง โบรกประเมิน TOP เงินสะพัดจ่ายปันผลครึ่งปีแรกสูงสุด 2.00 บาท จากปีก่อนที่จ่ายไป 1.50 บาท รับอานิสงค์ค่าการกลั่นพุ่งดันผลงานเข้าเป้า ด้านบล.ภัทรมือไวปรับราคาเป้าหมายทะลุ 100 บาท ส่วนหุ้น PTT โบรกยกขึ้นทำเนียบหุ้นคลาสสิก แนะถือยาวมองปีหน้าได้เห็นราคา 420 บาท

รายงานหลังปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ (25 ก.ค.2550) พบว่ามีการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIG LOT) PTT จำนวน 17 รายการ รวม 6.84 แสนหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 329.05 บาท มูลค่ารวม 225.23 ล้านบาท ส่วนTOP มี 5 รายการ จำนวน 7.6 แสนหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 93.66 บาท มูลค่ารวม 71 ล้านบาท
นายสุวัฒน์ สินสาฎก นักวิเคราะห์อาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงศักยภาพและผลการดำเนินงานที่คาดว่าไตรมาส 2/2550 จะออกมาโดดเด่นที่สุดและคาดว่าจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มปตท.

?หุ้นกลุ่มน้ำมันผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2550 คงออกมาโดดเด่นที่สุดแน่นอนจากทิศทางราคาน้ำมันและราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและคาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้สูงเช่นกัน?นายสุวัฒน์กล่าว

สำหรับกลุ่มปตท.หุ้นที่คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประกอบไปด้วย PTT , PTTEP , TOP และ PTTCH โดยเฉพาะ TOP ที่คาดว่าจะเป็นบริษัทที่จะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของครึ่งปีแรก 2550 ที่สูงสุดจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2550 ที่คาดว่าจะมีผลกำไรก้าวกระโดดและแตะจุดสุงสุดจากค่าการกลั่นที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่เฉลี่ยสูงกว่า 11 เหรียญต่อบาร์เรล โดยกำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 7 พันล้านบาทขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะมีกำไรสุทธิกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท

TOPกำไรพุ่งปันผล2.00บาท
ฝ่ายวิจัยประเมินว่า TOP จะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดครึ่งปีแรก 2550 ที่อัตราหุ้นละ 1.75-2.00 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท ส่วนทั้งปีคาดว่า TOP จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราหุ้นละไม่ต่ำกว่า 4 บาท
อย่างไรก็ตามหุ้นในกลุ่มน้ำมันของไทยที่ราคาปรับตัวขึ้นมามากและราคาใกล้มูลค่าเหมาะสมแล้วน่าจะมีแรงขายทำกำไรและลดความเสี่ยงระยะสั้นออกมา โดยเฉพาะหุ้น TOP จึงอาจรอจังหวะเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวค่อยซื้อกลับ

PTTจ่าย5.50บาท-เป้า420บาท
ขณะที่ PTT ยังคงแนะนำ?ถือ? และ?ซื้อเพิ่ม? เพื่อลงทุนในระยะยาว โดยคาดว่า PTT จะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปีนี้สูงกว่าปีก่อนเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.50 บาทต่อหุ้นซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่จ่ายปันผลระหว่างกาลไปหุ้นละ 5 บาท ขณะที่ราคาหุ้นก็ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในเอเชียซึ่งหากใช้ PE ในปีหน้า ที่ประมาณ 12 เท่า ประเมินว่าราคาที่เหมาะสมของ PTT น่าจะอยู่ที่ระดับ 420 บาทซึ่งยังมีอัพไซต์ที่ประมาณ 28%

ส่วน PTTEP คาดว่าจะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยครึ่งปีแรก 2550 คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.70 บาท ส่วนทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.20 บาทต่อหุ้น ขณะที่ PTTCH ประเมินว่าจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่างวดปีก่อนเพราะในช่วงต้นปีบริษัทมีการหยุดซ่อมบำรุงไป

นายสุวัฒน์ กล่าวถึงบริษัทที่อยู่ในกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดครึ่งแรกด้วยคือ BANPU ,EGCO ,RATCH และGLOW

ภัทรเชียร์TOPเป้า100.50บ.
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด ระบุว่า ยังคงคำแนะนำซื้อหุ้น TOP และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 87 บาทเป็น 100.50 บาท ตามการปรับเพิ่มประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นปี 2550 จากรดับ 7.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็น 8.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นในปี 2551 อีกด้วย โดยเพิ่มจาก 7.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็น 7.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยความล่าช้าในการขยายกำลังการผลิตโรงกลั่นในหลายภูมิภาคของโลกยังคงเป็นผลดีต่อค่าการกลั่น ทั้งนี้ ในบทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า ปัจจัยบวกในระยะยาวของ TOP อยู่ที่แผนการนำ TOP ควบรวมกิจการกับ ATC และ RRC ที่กำลังจะควบรวมอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันราคาหุ้น TOP มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นแรงในกรณีที่เกิดการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นอย่างไม่คาดคิดในบางประเทศ หรือ เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำเร็จรูป ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น TOP วานนี้ ( 24 ก.ค.2550) ปิดที่ราคา 91.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท หรือ 5.17% มูลค่าการซื้อขาย 3,302.95 ล้านบาท ส่วน PTT ปิดที่ราคา 328 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,934.77 ล้านบาท และ PTTEP ปิดที่ราคา 132 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 4.76% มูลค่าการซื้อขาย 2,657.36 ล้านบาท


ที่มา ทันหุ้น