May 17, 2024   9:52:36 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เล่นหุ้นตามกระแสเงินฝรั่ง
 

konthai
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 55
วันที่: 27/07/2007 @ 09:49:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ในบรรดาหุ้นกลุ่มหลักๆ ที่นักลงทุนต่างประเทศให้ราคาเป้าหมายตอนนี้ราคาหุ้นที่พอยังเหลือ gap ให้เล่นก็มีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร และพลังงาน โดยในส่วนของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่ยังเหลือคือ BBL ราคาเป้าหมายเฉลี่ยกลางของ IBES อยู่ที่ 148 บาท

แต่ในมุมมองของเราราคาหุ้นที่ 136-137 น่าจะเป็นจุดขายออก KBANK อยู่ที่ 88 บาท ราคาหุ้นในปัจจุบันกำลังสะท้อนมูลค่าหุ้น เราแนะนำ ขาย SCB อยู่ที่ 82 บาท ราคาปัจจุบันที่ 84.5 บาท ถือว่าเลยเป้า BAY อยู่ที่ 28 บาท ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าเต็มมูลค่า ส่วน KTB ถือว่าราคาหุ้นในปัจจุบันกับราคาเป้าหมายเฉลี่ยกลางยังห่างพอสมควร คืออยู่ที่ 14.3 บาท และสุดท้าย TMB ราคาเฉลี่ยเป้าหมายอยู่ที่ 2.5 บาท จะเห็นได้ว่าแบงก์ใหญ่ราคาหุ้นเริ่มเต็มมูลค่า และเข้ามาสู่ตำแหน่งที่ต้องขายหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่ถือว่า Laggard จริงๆ คงเป็น KTB แม้ในส่วนของพื้นฐานราคาหุ้นยังถูกกดดันจากแนวโน้มการเกิด NPL แต่ในครึ่งปีหลังเรามองว่าภาวะการเกิด NPL จะเริ่มลดลงตามดอกเบี้ย และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนั้นเม็ดเงินที่จะระดมในประเทศในโครงการรถไฟฟ้า เรามองว่า KTB จะอยู่ในตำแหน่งที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด เราจึงแนะนำ ซื้อ โดยเพิ่มราคาเป้าหมายจากเดิมที่ 13 บาท เป็น 14.5 บาท

๐ กลุ่มสื่อสารแม้ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ราคาหุ้นใหญ่อย่าง ADVANC TRUE SATTEL ถือว่ายังห่างราคาเฉลี่ยเป้าหมายกลางของ IBES โดย ADVANC ราคาเป้าหมายกลางอยู่ที่ 104 บาท TRUE ที่ 10 บาท SATTEL ที่ 13.5 บาท และ DTAC ที่ 48.6 บาท ในกลุ่มนี้เราแนะนำ ซื้อ ADVANC TRUE และ SATTEL โดยเราเพิ่มราคาเป้าหมายของ ADVANC จาก 99 บาท เป็น 110 บาท ส่วน TRUE และ SATTEL ยังทรงไว้ที่เดิมคือ 10 และ 14.2 บาท ส่วน DTAC ราคาหุ้นเคยขึ้นมาแตะราคาเป้าหมายของเราที่ 48 บาท

๐ กลุ่มพลังงานที่ถือว่าเป็นหุ้นสุดฮอตของตลาดหุ้นไทย ราคาหุ้นในแต่ละตัวต้องบอกว่ากำลังอยู่ในโซนที่เรียกได้ว่าเตรียมตัวขาย นำโดย PTT ราคาเป้าหมายเฉลี่ยกลางของ IBES อยู่ที่ 304 บาท PTTEP ที่ 118 บาท BANPU ที่ 258 บาท TOP อยู่ที่ 83 บาท และสุดท้าย RRC อยู่ที่ 23 บาท หลายฝ่ายอาจสงสัยว่าราคาหุ้นพลังงานแต่ละตัวล้วนเลยราคาเป้าหมายกลาง แต่ทำไมยังวิ่งได้ ต้องบอกว่าหุ้นพลังงานใหญ่ๆ อย่าง PTT BANPU PTTEP โบรกเกอร์ใหญ่ของต่างชาติที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยเป็นคนเล่นเอง และปรับราคาเป้าหมายของเขาสูงกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น UBS ให้ราคาเป้าหมาย PTT และ PTTEP ถึง 346 และ 127 บาท โดยสรุปหากมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ก็ให้ ขาย แต่หากยังไม่มี ก็ไม่ต้องเข้าไปซื้อ แต่แนะนำให้ไปเล่นกลุ่มรับเหมาแทน

๐ กลุ่มพลังงานที่ยังไม่วิ่งและเหลือ gap อยู่พอสมควร คือกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าอย่าง EGCO ราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ IBES อยู่ที่ 109 บาท (เป้าหมายเราอยู่ที่ 117 บาท) RATCH อยู่ที่ 47 บาท และ GLOW อยู่ที่ 36 บาท (ราคาเป้าหมายเราอยู่ที่ 37 บาท) จะเห็นได้ว่าราคาหุ้น EGCO และ RATCH ในปัจจุบันถึงราคาเป้าของเรา และของ IBES จะเหลือก็เพียง GLOW

๐ หุ้นกลุ่มบันเทิงซึ่งมีโบรกเกอร์ฝรั่งให้ความสนใจ ได้แก่ MCOT BEC และ MAJOR โดยราคาเป้าหมายเฉลี่ยกลางของ IBES อยู่ที่ 33 บาท BEC 26 และ MAJOR ที่ 21 บาท สำหรับ MCOT และ BEC ราคาหุ้นในปัจจุบันกำลังสะท้อนถึงราคาเป้าหมาย และถึงราคาเป้าหมายของเราแล้ว ส่วน MAJOR แม้ราคาหุ้นในปัจจุบันกำลังขึ้นมาใกล้ถึงเป้าหมายที่ 21 บาท แต่ที่เรายังแนะนำ เล่นเก็งกำไร ก็มาจากราคาหุ้นยังห่างราคาเป้าหมายของฝรั่งรายใหญ่ๆ

๐ กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มรับเหมา ซึ่งก่อนหน้านี้เราแนะนำ ซื้อ CK ตัวเดียว โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.5 บาท มาถึงตอนนี้ เราแนะนำ Switch จาก CK มาซื้อ ITD และ STEC เพราะมองว่าในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นถึงราคาเป้าหมายได้ อันมีเหตุผลจาก 1.การประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 2.ช่วงเงินบาทแข็งตัวจะช่วยลดต้นทุนนำเข้าเครื่องจักรต่างๆ และโดยสถิติแล้วในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งตัว อีก 1 ปีต่อมา (กลางปี 2551) การลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวเสมอ (ตั้งแต่ปล่อยให้เงินบาทลอยตัวในปี 2540) ซึ่งจะส่งผลให้ผลดำเนินงานในปี 2551 ของกลุ่มจะฟื้นตัวเต็มที่ตามการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนโดยตรง และการขยายตัวของภาคก่อสร้าง และ 3.ราคาหุ้นรับเหมาถือว่ายังต่ำและเมื่อมองจากรูปจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2549 ถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นรับเหมายังไม่สามารถขึ้นมาได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาหุ้นรับเหมาทั้ง 3 ตัว ในปัจจุบัน ยังต่ำกว่าราคาในช่วงต้นปี 2549 มากกว่า 15% โดย STEC ราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่าต้นปี 2549 ถึง 55% ขณะที่ SET ในปัจจุบัน สามารถปรับตัวขึ้นได้สูงกว่าต้นปี 2549

๐ คาดว่าผลดำเนินงานของ CK ในปี 2550 บริษัทจะมีกำไรสุทธิที่ 459 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 646 ล้านบาท (EPS ที่ 0.45 บาท) ในปี 2551 ITD คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 937 ล้านบาทในปี 2550 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,839 ล้านบาท (EPS ที่ 0.44 บาท) ส่วน STEC ปี 2550 จะมีกำไรสุทธิที่ 384 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 528 ล้านบาท (EPS ที่ 0.45 บาท) ในปี 2551 ปัจจุบัน CK ITD และ STEC เทรดกันที่ค่า P/E ปี 2551 ที่ 22.4 17.3 และ 16.2 เท่า ตามลำดับ เทียบกับค่า P/E ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ 17.8 เท่า เราแนะนำ ซื้อลงทุน ITD โดยมีราคาเป้าหมายที่ 8.8 บาท ส่วน STEC ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 9 บาท

Stock Hilight:เกียรติก้อง เดโช

ที่มา:บล.ซิกโก้

 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#1 วันที่: 30/07/2007 @ 21:38:02 :
ระวังถูกฝรั่งเล่นงานล่ะ [/color:b7a2115783">:roll: :wink: :wink:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com