SET
สัญญาณขายที่เกิดจาก Stochastic ส่งผลให้ดัชนียังอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามเห็นได้ว่าเมื่อปรับลงถึงเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันบริเวณ 854 จุดดัชนีก็ทรงตัวอยู่ได้สองวันทำการ และยังดีดกลับขึ้นไปเคลื่อนตัวบริเวณ gap ราว 860 จุด การปรับลงจากจุดสูง 895 จุด เชื่อว่าเป็นการพักฐานอันเกิดจากภาวะซื้อมากเกินไปในระยะสั้น มิใช่การเปลี่ยนแนวโน้มแต่อย่างได ดัชนีอาจจะทรงตัวระดับปัจจุบันสักระยะก่อนที่จะดีดกลับครั้งใหม่โดยมี gap ข้างบนบริเวณ 880 จุดเป็นแนวต้านย่อย

มุมมองระยะกลาง - BECL
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
ตั้งแต่เดือน ต.ค. 48 ถึงปัจจุบัน BECL แกว่งตัวตามแนวเส้นค่าเฉลี่ย 10, 25, 75 และเส้น 200 สัปดาห์ ช่วง 20.00-24.00 บาทซึ่งมีนัยสำคัญต่อการเป็นฐานการเปลี่ยนแนวโน้มระยะยาว เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า RSI และ Stochastic รายสัปดาห์เกิดสัญญาณซื้อ อันแสดงถึงความเป็นไปได้ที่หุ้นจะดีดตัวในอนาคตอันใกล้ อนึ่ง การฟื้นตัวในระยะต่อไปนั้นมีเป้าหมายหลักของการทดสอบคือ Tweezers Top บริเวณ 29.00 บาท

หุ้นเด่น เล่นสั้น - MFEC
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
จากกราฟรายวัน ราคามีรูปแบบการกลับตัว (Reversal pattern) ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน พร้อมกับการสะสมกำลังมาระยะหนึ่ง เพื่อรอการ break up ของราคา นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic อีกด้วย ดังนั้น ในระยะกลาง มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบเป้าหมายที่ 5.80-6.00 บาท อีกทั้งยังเป็นกรอบแนวต้านตาม Fibonacci @ 161.8 อีกด้วย จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 4.80-5.00 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 4.78 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน

หุ้นเด่น เล่นสั้น - UV
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
พิจารณาจากกราฟรายสัปดาห์มี Golden Cross เกิดขึ้นพร้อมกับรูปแบบ Continuation pattern ในขาขึ้นอย่างชัดเจน เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 สัปดาห์ นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic ดังนั้น ในระยะกลาง มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบเป้าหมายที่ 4.50-4.70 บาท อีกทั้งยังเป็นกรอบแนวต้านตาม Fibonacci @ 261.8 อีกด้วย จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 3.60-3.80 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 3.50 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 5 สัปดาห์


:lol:

Z-Strategy
ดัชนีกำลังเข้าสู่ช่วงการพักฐานระยะสั้น ด้วยสาเหตุที่มาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะจากความวิตกต่อปัญหาตลาดสินเชื่อบ้านในสหรัฐ อาจทำให้มีการปรับพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

Technical Analysis
การปรับฐานของดัชนีสองวันที่ผ่านมาได้ปรับลงทดสองเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน บริเวณ 854 จุด ซึ่งขณะนี้ยังสามารถยับยั้งการอ่อนค่า พร้อมทั้งสามารถดีดกลับสู่ Gap บริเวณ 860 จุดได้ คาดว่าดัชนีจะทรงตัวระดับปัจจุบันสักระยะก่อนที่จะดีดตัวทดสอบ gap บนบริเวณ 880 จุดได้ต่อไป
ฦ BECL: พักฐานบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 10 25 75 และ 200 สัปดาห์ช่วง 20-24 บาท มานานกว่าหนึ่งปี ส่งผลให้เกิดการสะสมกำลัง เพื่อเปลี่ยนแนวโน้มระยะยาว ทั้งนี้ ในการดีดตัวรอบหน้า Tweezers Top บริเวณ 29.00 บาท จะเป็นแนวต้านหลัก
ฦ UV: รูปแบบสัญญาณต่อเนื่องที่พบในกลุ่มแท่งเทียนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน แสดงถึงภาวะกระทิงเด่นชัด ทั้งยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI ยืนยันถึงโอกาสการดีดตัวขึ้นต่อด้วย โอกาสที่ราคาจะทดสอบ Dead Cross เดิมบริเวณ 4.70 บาท มีสูงมาก
ฦ MFEC: ลักษณะ Bullish Divergence และ Golden Cross ที่พบในกราฟรายสัปดาห์ แสดงถึงภาวะเตรียมพร้อมเข้าสู่ขาขึ้นครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายหลักของการทดสอบคือแนวบรรจบของเส้นค่าเฉลี่ย 10 25 และเส้น 75 สัปดาห์บริเวณ 6.50 บาท

Z-Focus
Quarterly Review
ฦ BLS: ส่วนแบ่งตลาดเริ่มขยับขึ้น...หลังเซ็นสัญญากับ MSAL - ซื้อ

Statistic Info
ปฏิทินหุ้น, รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร
NVDR, Commodities Move, Warrants


BLS: ส่วนแบ่งตลาดเริ่มขยับขึ้น...หลังเซ็นสัญญากับ MSAL - ซื้อ

ความเห็นนักวิเคราะห์

วอลุ่มเพิ่มดันกำไรสุทธิเพิ่ม 7% จากไตรมาสก่อน
บริษัทประกาศผลกำไรไตรมาส 2/50 เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณการซื้อขาย และส่วนแบ่งการตลาดของ BLS ปรับเพิ่มขึ้น 28% และ 0.3% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายพนักงานต่อรายได้ค่านายหน้าปรับลดลงจาก 67% ในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ระดับ 55% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำอุตสาหกรรมที่ระดับ 63% แสดงถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

สมมติฐานปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยปี 50 ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท และส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยที่ระดับ 3.52%
ภายหลังจากการเซ็นสัญญา Exclusive Partner กับ Morgan Stanley Asia Limited (MSAL) ตั้งแต่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งการตลาดของ BLS ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.09% ของเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปี มาอยู่ที่เฉลี่ยระดับ 3.8% ในช่วงเดือนมิ.ย. - ก.ค. ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ระดับ 3.75% ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้เรายังคงประมาณการส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ระดับเดิม (เฉลี่ยปี 50 ที่ระดับ 3.52%) แต่ได้มีการปรับประมาณการสมมติฐานปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยปี 50 ขึ้นจาก 1.4 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท ตามปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

คงคำแนะนำ "ซื้อ"
รายังคงสมมติฐานปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 50 ไว้ที่ระดับ Base case และ Best Case ที่ 1.8 และ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน (YTD อยู่ที่ระดับ 1.61 หมื่นล้านบาทต่อวัน) จากสมมติฐานดังกล่าวเราประเมินราคาตามมูลค่าพื้นฐานได้ที่ระดับ 27.94 - 31.68 บาท (PER 50 ที่ระดับ 22 เท่า) ซึ่งหากพิจารณาเทียบราคาปัจจุบันยังมี Upside สูงถึง 13-27% ทำให้เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ไว้เช่นเดิม

Wimol Jeampoonsup No. 17616, wimolj@seamico.co.th

:lol: