May 17, 2024   1:14:36 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นที่ปรับตัวแรงสุดในเดือน กค.
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 02/08/2007 @ 09:24:06
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เดือนกรกฎาคมถือเป็นช่วงขาขึ้นของตลาดหุ้นก็ว่าได้ โดยเห็นได้จากดัชนีที่ปรับตัวขึ้นจากระดับ 776.79จุด (30 มิ.ย.) และมายืนอยู่ที่ระดับ 859.76 จุด (31 ก.ค.) หรือเพิ่มขึ้น 82.97 จุด สาเหตุที่ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากแรงซื้อขายของนักลงทุนที่เข้ามาอย่างหนาแน่นกว่าเดือนที่ผ่านๆมา

โดยเฉลี่ยจากมูลค่าการซื้อขายรวมของนักลงทุนเดือนกรกฎาคมที่มีมากถึง 6.68 แสนล้าน ซึ่งเมื่อคิดเป็นมูลค่าการการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ 3.18 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่หนาแน่นกว่าทุกๆเดือนที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

ดังนั้นการซื้อขายในเดือนก.ค.จึงมีหุ้นหลายกลุ่มปรับตัวขึ้นแรง โดยเฉพาะหุ้นเก็งกำไรที่ถือว่าเป็นขาจำทุกครั้งที่มีการสำรวจ และครั้งนี้ก็เช่นกัน 50 อันดับแรกของหุ้นที่เพิ่มขึ้นสูงสุด พบว่ามีหุ้นกลุ่มนี้เข้ามาติด 10 อันดับแรก ชัดเจน และที่สำคัญหุ้นบางตัวปรับตัวขั้นมาได้เนื่องจากรับปัจจัยบวกในเรื่องพันธมิตรที่จะเข้าร่วมกิจการเป็นหลัก

นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตอีกว่ามีหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เข้ามาติดด้วยถึง 2 รายด้วยกันก็คือBLS และ KGI นั้นแสดงให้เห็นว่าหุ้นกลุ่มนี้ได้รับผลดีจากวอลุ่มที่เข้ามาอย่างหนาแน่น ทำให้นักลงทุนเข้าเล่นหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้แม้หุ้นขนาดใหญ่จะไม่สามารถขึ้นมาอยู่ในระดับดังกล่าวได้ แต่ในเดือนนี้ก็ถือว่ามีหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาติดถึง 11 ตัวด้วยกันประกอบด้วย PSL,TTA,CPN,RRC,TOP,PTTCH,CP7-11,ITD,PTTEP,MINT,และ PTT เนื่องจากจากหุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจอยู่เสมอ

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวแรงอันดับ 1 คือ PSAP หรือ บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน)ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 106.98% มาที่ระดับ 1.78บาท (31 ก.ค.) จากเดิมอยู่ที่ 0.86 บาท (30 มิ.ย.) หุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นแรงชัดเจนเมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นราคาหุ้นก็ปรับตัวแรงมาโดยตลอดจนถึงระดับ 1.78 บาท ปลายเดือนก.ค.

สาเหตุที่หุ้นปรับตัวแรงคงมีเพียงเรื่องการเก็งกำไรกำไรระยะสั้นเท่านั้น เพราะดูจากปัจจัยพื้นฐานแล้วไม่น่าทำให้หุ้นวิ่งถึงขนาดนี้เห็นชัดจากไตรมาสแรกที่ขาดทุนกว่า 127 ล้านบาท แม้ว่าผู้บริหารออกมาตอกย้ำว่ามีการบริหารจัดการต้นทุนแล้วก็ตาม

ขณะเดียวกันปัญหาของ PSAP อยู่ที่เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้รายได้หดลงอย่างมีนัยสำคัญนอกจากนี้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เกรดเอ แทบไม่มีอยู่ในมือเลย และที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงหนังเกรดบี-ซี ที่แม้ต้นทุนต่ำแต่รายได้ก็พลอยตกต่ำไปด้วย ดังนั้นการปรับตัวแรงของหุ้นรายนี้ไม่น่าจะมีนัยสำคัญใดๆมากไปกว่าการเล่นเก็งกำไรเท่านั้น

อันดับ 2 BLS หรือ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 80.36%มาที่ระดับ 25.25 บาท จากเดิมอยู่ที่ 14.00 บาท สาเหตุที่หุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากนักลงทุนมองว่าบริษัทจะได้รับผลดีจากการทำสัญญาเป็นพันธมิตรส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะคู่ค้า หรือเอ็กซ์คลูซีฟ พาร์ตเนอร์ กับกลุ่มมอร์แกนสแตนเลย์มากกว่า เพราะเชื่อว่าจะมีผลดีทำให้บัวหลวงมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ และสถาบันเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทได้มีการกระจายสัดส่วนรายได้มากขึ้น โดยมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 70% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 72% ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าในตลาดอนุพันธ์ 4% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2% ส่วนค่าธรรมเนียมจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและขายกองทุนสัดส่วนจะอยู่ที่ประมาณ 20% ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ

ส่วนสาเหตุอีกประการคาดเป็นผลเป็นผลมาจากนักลงทุนเข้ามาเก้งกำไรตามข่าวที่ว่าแบงก์กรุงเทพ ผู้หุ้นใหญ่สนใจจับควบรวมกิจการระหว่าง BLS-ASP แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทางแบงก์กรุงเทพยังไม่ถือเป็นนโยบาย และยังไม่มีความชัดเจน เพราะเราต้องศึกษาทั้งผลดี และผลเสียให้รอบด้านก่อนว่า ระหว่างดำเนินกิจการแบบแยกกัน กับควบรวมกิจการจุดไหนที่สร้างผลดีให้กับธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทมากกว่ากัน

ส่วนอันดับ 3 APURE หรือ บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 75.00% มาที่ระดับ 3.78 บาท จากเดิมอยู่ที่ 2.16 บาท สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น APURE ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลมาจากแรงซื้อเก็งกำไรที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีสัญญาณทางเทคนิคที่มีแรงส่งให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้แม้หุ้น APURE จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่หากมองในด้านพื้นฐานของหุ้นรายนี้นับว่ามีความเสียงอยู่มาก เนื่องจากเป็นการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นในช่วงที่ตลาดฯปรับตัวขึ้นแรง และในภาวะที่หุ้นขนาดใหญ่มีราคาแพง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่หุ้นขนาดเล็กจะได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมา

อันดับ 4 UV หรือ บริษัท ยูนิ เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 3.90 บาท จากเดิม 2.24 บาท หรือเพิ่มขึ้น 74.11% หุ้นรายนี้ปรับตัวแรงหลังจาก UV ขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 221.5 ล้านหุ้น ให้ลูกชายเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งหลังเพิ่มทุนตระกูลสิริวัฒนภักดีจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 29% จากทุนจดทะเบียนฯหลังเพิ่มทุนที่ 723 ล้านหุ้น

นอกจากนี้ได้เจรจาขอซื้อหุ้นอีก 170 ล้านหุ้นจาก 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ (ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนายกิตติรัตน์ ณระนอง) ที่ราคาเดียวกันคือ 2.04 บาท/หุ้น ใช้เงินอีก 347 ล้านบาท รวม2 ล็อต จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 52%

อย่างไรก็ตามขณะนี้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่(ตระกูลสิริวัฒนภักดี)ยังไม่ได้กำหนดวันทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือจากนักลงทุนทั่วไป 71% เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายย่อย เรียกร้องเข้ามาว่าอยากให้กลุ่มนายเจริญ ทบทวนราคาเทนเดอร์ใหม่ เพราะมองว่าราคา 2.04 บาทต่ำเกินไป และคงไม่มีผู้ถือหุ้นรายใดยอมขายอย่างแน่นอน เนื่องจากหุ้นรายนี้เป็นหุ้นพื้นฐานดีอนาคตสดใส แถมมีปันผลอีกด้วย

อันดับ 5 TUCC หรือ บริษัท ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 71.81% มาที่ระดับ 8.35 บาท จากเดิม 4.86 บาท ปัจจัยที่ทำให้หุ้นรายนี้ปรับตัวแรงคงหนีไม้พ้นการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุน เนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกและง่ายต่อการไล่ราคาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวติด 1 ใน 10 อันดับแรก จะเห็นว่าล้วนแต่เป็นหุ้นเก็งกำไรทั้งสิ้น สิ้น และยิ่งหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวแรงมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่หุ้นกลุ่มนี้จะลงแรงและทำให้ท่านขาดทุนหนักก็มีมากเช่นกัน

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com