kaisel สมาชิก จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 วันที่: 02/08/2007 @ 20:00:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่
ผลการโหวต
18 วัน ไอ้โม่งลาก UV พุ่งเกือบ 100% ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เรียกว่า "รู้ไหม UV หุ้นใคร" ท้าทายคมมีด ตลท. ชนิดแน่จริงเข่นฆ่าให้อาสัญ ดั่ง LIVE โดนห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น รอบ 2 เมื่อวิ่งสูงสุด 84% ด้วยข้อหาก๊วนเดียวเล่นกันเอง
นักลงทุนเปิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์หุ้นร้อน บริษัท ยูนิ เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV หลังพบราคาหุ้นช่วง 18 วันทำการที่ผ่านมา พุ่งสูงสุดถึง 81.73% โดยนับจากวันที่ 5 ก.ค.50 ที่ราคาปิด 2.30 บาท เทียบกับราคาสูงสุดของวันที่ 2 ส.ค.50 ที่ 4.18 บาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.88 บาท
ขณะที่ UV-W1 ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 55.24% นับจาก 5 ก.ค.50 ที่ราคาปิด 1.43 บาท มาสู่ระดับราคาสูงสุดเมื่อวันที่ 17 ก.ค.50 ที่ 2.22 บาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.79 บาท
หุ้น UV ถูกจับตามองจากนักลงทุนในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อเช้าวันที่ 11 มิ.ย.50 ที่บริษัทฯ ได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ตลาดหลักทรัพย์จึงสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ เป็นการชั่วคราว จนกว่าบริษัทจะได้รับแจ้งขอมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย H (Trading Halt) หลักทรัพย์ของ UV ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 11 มิ.ย.50 และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ UV ได้ขอให้ตลาดฯ ขึ้นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ชั่วคราว (SP) เป็นระยะเวลา 1 วันทำการ ในวันที่ 11 มิ.ย. โดยระบุว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสุดท้ายกับผู้ลงทุน ซึ่งผลจากการลงทุนดังกล่าว จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในวันรุ่งขึ้น 12 มิ.ย. ทาง UV ยังคงขอขึ้น SP ต่อไปอีก 1 วัน โดยอ้างว่าผลการเจรจากับผู้ลงทุนยังไม่มีข้อสรุป และในเย็นของวันนั้นปรากฏว่า นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เข้าของเบียร์ช้าง ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน UV รวม 52% ภายใต้การถือหุ้นของลูกชาย คือ นายฐาปน และนายปณต และหุ้น UV ได้กลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น คือ 13 มิ.ย.50
แนวทางหนึ่งที่ตระกูล สิริวัฒนภักดี เข้ามาถือหุ้น UV คือ การซื้อหุ้นต่อจาก 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ ในราคาหุ้นละ 2.04 บาท ซึ่ง 1 ในนั้นคือ นายกิติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการ ตลท. สมัยก่อน ที่เคยถือหุ้น UV ในสัดส่วนประมาณ 10%
ขณะที่ นายกิตติรัตน์ เองนั้น หลังลาออกจากตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่ไม่สามารถผลักดันเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้นไทย จนต้องปล่อยให้ไปอยู่ในตลาดหุ้นสิงคโปร์แล้ว ได้เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมฟุตบอลเยาวชนไทย และล่าสุดได้กระโดดเข้าสู่สนามการเมือง ด้วยการเป็นสมาชิกกลุ่มรวมใจไทย ซึ่งมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษากลุ่มฯ
ด้านราคาหุ้น UV และ UV-W1 ได้เดินหน้าปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี ที่เข้ามาถือหุ้นแค่เกือบ 2 เดือนมีกำไรนับร้อยล้านบาท โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นเกือบ 100% จึงกลายมาเป็นคำถาม และการตั้งข้อสงสัยอย่างกว้างขวางว่า ตลท. จะจัดการกับ UV หรือไม่ และอย่างไร
ประเด็นสำคัญที่ถูกนำมาวิเคราะห์ในเวลาเดียวกัน คือ ความเกรงใจของ ตลท. ภายใต้การนำของ นางภัทรียา เบญจพลชัย ที่ดูเหมือนจะเป็น "ส้มหล่น" ได้เก้าอี้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มาแบบปัจจุบันทันด่วนเมื่อ นายกิติรัตน์ ลาออกกลางครัน และบริษัท UV เองยังถือหุ้นโดย นายกิตติรัตน์ และมีผู้บริหารที่เป็นน้องสาวของ นายกิตติรัตน์ นั่นคือ นางอรฤดี ณ ระนอง ทำให้หลายฝ่ายถึงกับฟันธงว่า ถึงอย่างไร ตลท.ก็คงไม่กล้าจัดการกับ UV อย่างแน่นอน
ต่างจาก บริษัท ไลฟ์ อินคอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LIVE ที่โดน ตลท.สั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) รอบแรก เป็นเวลา 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.-24 ก.ค.50
โดยระบุว่า เป็นเพราะการซื้อขายหุ้น LIVE ในช่วงวันที่ 7-12 มิ.ย.50 มีการเปลี่ยนแปลงของราคาและมูลค่าการซื้อขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากช่วงเวลาก่อนหน้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม และมีการซื้อขายอย่างกระจุกตัวในหลักทรัพย์ดังกล่าว โดยไม่มีสารสนเทศใดที่มีผลกระทบต่อสภาพการซื้อขาย
ขณะที่กระแสข่าวลือที่เกิดขึ้นในระยะนั้น คือ มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ทันหุ้น ระบุว่าขาใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ 8 กลุ่ม จะดันหุ้น LIVE ไปถึงระดับ 6 บาท รวมกับมีการระบุว่า ข่าวเชิงบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนการเก็งกำไร LIVE คือผลประกอบการไตรมาส 2/50 ที่น่าจะออกมาดีเทียบกับปีก่อน รวมถึงการขายรายการแชนแนล วี ไทยแลนด์ ภายในไตรมาส 3 ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันที
ในระยะเวลาห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น หุ้น LIVE นี้ ราคาหุ้นยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และส่งผลให้ ตลท.สั่งห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น ต่ออีก 1 รอบทันที อีก 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-6 ก.ย.50 โดย ตลท.ให้เหตุผลว่า เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา การซื้อขายหลักทรัพย์ LIVE ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณอันไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด รวมทั้งมีการซื้อขายอย่างกระจุกตัวในหลักทรัพย์ดังกล่าว
ช่วงเวลาเดียวกัน ตลท. ยังสั่งให้ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจิเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC และ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS ชี้แจงการลงทุนในหุ้น LIVE ทั้งที่ขาดทุนและไม่จ่ายปันผลมาตั้งแต่ปี 40 ขณะที่คำชี้แจงดังกล่าว ระบุว่าเพราะ LIVE มีสภาพคล่องสูง หวังทำกำไรได้ อีกทั้งมีแผนแก้ปัญหาธุรกิจที่ชัดเจน
หลายฝ่ายประเมินว่า ประเด็นที่ระบุว่าขาใหญ่จะทำราคาหุ้น LIVE เป็นประเด็นที่ทำให้ ตลท. ตัดสินใจห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น รอบ 2 บวกกับการมีชื่อ-สกุลที่เข้ามาพัวพันกับหุ้น LIVE ล้วนแต่เป็นนักลงทุนชื่อดังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น นางสาวฉัตร์สุดา เบ็ญจนิรัตน์, นางสาวสุธิดา แจ่มวุฒิปรีชา, นายชยุตม์-นางจาติกาญจน์ ลี้อิสระนุกูล, นางนวลพรรณ ล่ำซำ และ นายชนะชัย ลีนะบรรจง
ขณะที่ UV จะไม่โดนท้วงติงใดๆ จาก ตลท. เพราะประเด็นความเกรงใจดังกล่าวข้างต้น แม้ราคาหุ้นจะวิ่งแรงอีกมาก ท่ามกลางผลการดำเนินงานที่ยังไม่แสดงว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งในไตรมาส 1/50 สิ้นสุด 31 มี.ค.50 มีกำไรสุทธิ 18.12 ล้านบาท ลดลง 77.22% เมื่อเทียบกับกำไร 32.05 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ควรด่วนสรุปว่า ตลท. จะเพิกเฉยต่อการปรับราคาขึ้นของหุ้น UV และ UV-W1 ซึ่งคงต้องรอดูต่อไปว่า เมื่อถึงเวลาที่หุ้นดังกล่าวร้อนแรงเกินห้ามใจริงๆ ตลท. จะทำอย่างไร?