May 17, 2024   12:28:24 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > รู้ไหม?... UV หุ้นใคร ตลท.แน่จริงขังกรงสิ!
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 02/08/2007 @ 20:00:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

18 วัน ไอ้โม่งลาก UV พุ่งเกือบ 100% ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เรียกว่า "รู้ไหม UV หุ้นใคร" ท้าทายคมมีด ตลท. ชนิดแน่จริงเข่นฆ่าให้อาสัญ ดั่ง LIVE โดนห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น รอบ 2 เมื่อวิ่งสูงสุด 84% ด้วยข้อหาก๊วนเดียวเล่นกันเอง

นักลงทุนเปิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์หุ้นร้อน บริษัท ยูนิ เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV หลังพบราคาหุ้นช่วง 18 วันทำการที่ผ่านมา พุ่งสูงสุดถึง 81.73% โดยนับจากวันที่ 5 ก.ค.50 ที่ราคาปิด 2.30 บาท เทียบกับราคาสูงสุดของวันที่ 2 ส.ค.50 ที่ 4.18 บาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.88 บาท

ขณะที่ UV-W1 ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 55.24% นับจาก 5 ก.ค.50 ที่ราคาปิด 1.43 บาท มาสู่ระดับราคาสูงสุดเมื่อวันที่ 17 ก.ค.50 ที่ 2.22 บาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.79 บาท

หุ้น UV ถูกจับตามองจากนักลงทุนในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อเช้าวันที่ 11 มิ.ย.50 ที่บริษัทฯ ได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ตลาดหลักทรัพย์จึงสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ เป็นการชั่วคราว จนกว่าบริษัทจะได้รับแจ้งขอมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย H (Trading Halt) หลักทรัพย์ของ UV ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 11 มิ.ย.50 และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ UV ได้ขอให้ตลาดฯ ขึ้นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ชั่วคราว (SP) เป็นระยะเวลา 1 วันทำการ ในวันที่ 11 มิ.ย. โดยระบุว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสุดท้ายกับผู้ลงทุน ซึ่งผลจากการลงทุนดังกล่าว จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ในวันรุ่งขึ้น 12 มิ.ย. ทาง UV ยังคงขอขึ้น SP ต่อไปอีก 1 วัน โดยอ้างว่าผลการเจรจากับผู้ลงทุนยังไม่มีข้อสรุป และในเย็นของวันนั้นปรากฏว่า นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เข้าของเบียร์ช้าง ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน UV รวม 52% ภายใต้การถือหุ้นของลูกชาย คือ นายฐาปน และนายปณต และหุ้น UV ได้กลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น คือ 13 มิ.ย.50

แนวทางหนึ่งที่ตระกูล สิริวัฒนภักดี เข้ามาถือหุ้น UV คือ การซื้อหุ้นต่อจาก 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ ในราคาหุ้นละ 2.04 บาท ซึ่ง 1 ในนั้นคือ นายกิติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการ ตลท. สมัยก่อน ที่เคยถือหุ้น UV ในสัดส่วนประมาณ 10%

ขณะที่ นายกิตติรัตน์ เองนั้น หลังลาออกจากตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่ไม่สามารถผลักดันเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้นไทย จนต้องปล่อยให้ไปอยู่ในตลาดหุ้นสิงคโปร์แล้ว ได้เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมฟุตบอลเยาวชนไทย และล่าสุดได้กระโดดเข้าสู่สนามการเมือง ด้วยการเป็นสมาชิกกลุ่มรวมใจไทย ซึ่งมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษากลุ่มฯ

ด้านราคาหุ้น UV และ UV-W1 ได้เดินหน้าปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี ที่เข้ามาถือหุ้นแค่เกือบ 2 เดือนมีกำไรนับร้อยล้านบาท โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นเกือบ 100% จึงกลายมาเป็นคำถาม และการตั้งข้อสงสัยอย่างกว้างขวางว่า ตลท. จะจัดการกับ UV หรือไม่ และอย่างไร

ประเด็นสำคัญที่ถูกนำมาวิเคราะห์ในเวลาเดียวกัน คือ ความเกรงใจของ ตลท. ภายใต้การนำของ นางภัทรียา เบญจพลชัย ที่ดูเหมือนจะเป็น "ส้มหล่น" ได้เก้าอี้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มาแบบปัจจุบันทันด่วนเมื่อ นายกิติรัตน์ ลาออกกลางครัน และบริษัท UV เองยังถือหุ้นโดย นายกิตติรัตน์ และมีผู้บริหารที่เป็นน้องสาวของ นายกิตติรัตน์ นั่นคือ นางอรฤดี ณ ระนอง ทำให้หลายฝ่ายถึงกับฟันธงว่า ถึงอย่างไร ตลท.ก็คงไม่กล้าจัดการกับ UV อย่างแน่นอน

ต่างจาก บริษัท ไลฟ์ อินคอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LIVE ที่โดน ตลท.สั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) รอบแรก เป็นเวลา 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.-24 ก.ค.50

โดยระบุว่า เป็นเพราะการซื้อขายหุ้น LIVE ในช่วงวันที่ 7-12 มิ.ย.50 มีการเปลี่ยนแปลงของราคาและมูลค่าการซื้อขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากช่วงเวลาก่อนหน้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม และมีการซื้อขายอย่างกระจุกตัวในหลักทรัพย์ดังกล่าว โดยไม่มีสารสนเทศใดที่มีผลกระทบต่อสภาพการซื้อขาย

ขณะที่กระแสข่าวลือที่เกิดขึ้นในระยะนั้น คือ มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ทันหุ้น ระบุว่าขาใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ 8 กลุ่ม จะดันหุ้น LIVE ไปถึงระดับ 6 บาท รวมกับมีการระบุว่า ข่าวเชิงบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนการเก็งกำไร LIVE คือผลประกอบการไตรมาส 2/50 ที่น่าจะออกมาดีเทียบกับปีก่อน รวมถึงการขายรายการแชนแนล วี ไทยแลนด์ ภายในไตรมาส 3 ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันที

ในระยะเวลาห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น หุ้น LIVE นี้ ราคาหุ้นยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และส่งผลให้ ตลท.สั่งห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น ต่ออีก 1 รอบทันที อีก 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-6 ก.ย.50 โดย ตลท.ให้เหตุผลว่า เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา การซื้อขายหลักทรัพย์ LIVE ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณอันไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด รวมทั้งมีการซื้อขายอย่างกระจุกตัวในหลักทรัพย์ดังกล่าว

ช่วงเวลาเดียวกัน ตลท. ยังสั่งให้ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจิเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC และ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS ชี้แจงการลงทุนในหุ้น LIVE ทั้งที่ขาดทุนและไม่จ่ายปันผลมาตั้งแต่ปี 40 ขณะที่คำชี้แจงดังกล่าว ระบุว่าเพราะ LIVE มีสภาพคล่องสูง หวังทำกำไรได้ อีกทั้งมีแผนแก้ปัญหาธุรกิจที่ชัดเจน

หลายฝ่ายประเมินว่า ประเด็นที่ระบุว่าขาใหญ่จะทำราคาหุ้น LIVE เป็นประเด็นที่ทำให้ ตลท. ตัดสินใจห้ามเน็ตฯ - มาร์จิ้น รอบ 2 บวกกับการมีชื่อ-สกุลที่เข้ามาพัวพันกับหุ้น LIVE ล้วนแต่เป็นนักลงทุนชื่อดังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น นางสาวฉัตร์สุดา เบ็ญจนิรัตน์, นางสาวสุธิดา แจ่มวุฒิปรีชา, นายชยุตม์-นางจาติกาญจน์ ลี้อิสระนุกูล, นางนวลพรรณ ล่ำซำ และ นายชนะชัย ลีนะบรรจง

ขณะที่ UV จะไม่โดนท้วงติงใดๆ จาก ตลท. เพราะประเด็นความเกรงใจดังกล่าวข้างต้น แม้ราคาหุ้นจะวิ่งแรงอีกมาก ท่ามกลางผลการดำเนินงานที่ยังไม่แสดงว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งในไตรมาส 1/50 สิ้นสุด 31 มี.ค.50 มีกำไรสุทธิ 18.12 ล้านบาท ลดลง 77.22% เมื่อเทียบกับกำไร 32.05 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ควรด่วนสรุปว่า ตลท. จะเพิกเฉยต่อการปรับราคาขึ้นของหุ้น UV และ UV-W1 ซึ่งคงต้องรอดูต่อไปว่า เมื่อถึงเวลาที่หุ้นดังกล่าวร้อนแรงเกินห้ามใจริงๆ ตลท. จะทำอย่างไร?

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 03/08/2007 @ 00:10:10 : ขอขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง
ผมอ่านแล้ว สิ่งที่คุณกล่าวอ้าวถึง UV เป็นจริงล้านเปอร์เช็นต์เพราะผมเคย ทำ deal หนึ่งของโครงการบ้าน กลุ่ม ปรินศิริ และต้องชื้อที่ริมถนนออ่นนุชซึ่งมีทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ PRIN ต้องชื้อที่ดินกับบุคคลดังกล่าว ในราคา หลาย 100 ล ทำกำไรใส่กระเป๋าไปพอสมควร ในปี 2548 และเขากำลังดำลงตำแหน่งเป็น MD ตลาดอยู่ด้วย คนที่ชวนผมซื้อหุ้น PRIN คือ น้องชายเจ้าของ ปริน และก็บอกว่า บุคคลดังกล่าวที่อ้างถึงถือหุ้นUVอยู่ ตอนนั้น หุ้น PRIN เพิ่งเข้าไม่นาน ราคาอยู่แถว 2.70 บาท ดังนั้น UV เป็นบริษัทจัดซื้อที่ดินให้กับ PRIN ด้วย (เสี่ย ป เป็น จ้าว market maker)

ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยครับว่า ผลประโยชน์มันมากมายหากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และรู้จักกอบโกยโดยถูกกฎหมาย

ในประเทศอื่นเรียกว่า conflick of interest ใน ประเทศที่เจริญแล้วด้ง เช่น USA เขาจะถูกตรวจสอบและใครมีข้อมูลสามรถ ส่งฟ้อง ศาลปกครองได้ หากทำให้ผู้ใดเสียหาย และถือเป็นการยักยอกออกจากระบบทุน ส่วนในประเทศเราไม่ผิดกฎเพราะถือว่าคนระบุคคลแต่เพราะเจตนาไม่ถือเอาผิด และไม่ร้ายแรง รวมทั้งไม่มีผู้เสียหาย

ดังนั้นสังคมนี้จึงต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างลงตัวบนถนนของผลประโยชน์ ที่แบ่งกันลงตัวด้วย หุ้นตัวไหนจะดังโดยไม่ทำพิธี บวง
สรวง หรือเจรจา ก็จะถูกจองล้างอาคาตพยาบาทตลอดไป เล่นอย่างไม่สงบสุข ไม่ต่างจาก คนพาลที่หาเรื่องคนได้ทุกเรื่อง การรับเงินจ่ายเงินสมัยนี้ต้องให้ใครรู้ไหม ???? ไม่ขอบอก การจ่ายแบบ ไม่มีหลักฐานตรวจสอบไม่มีทางพบ แต่ถูกกฏหมายถูกกฏตลาด

หุ้นแต่ละตัวเลยต้นทุนสูงเวลาขายต้องขึ้นราคา หลาย 100 เท่าถึงจะคุ้ม การทำทำราคาจึงสูงแบบไร้เหตุผล 2.5 บาท ไป ชน 9 บาท (RICH) และไม่ต้อง แขวน

หุ้นแต่ละตัวมีเบื้องหน้าเบื้องหลังไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับใครเป็นเจ้าของ และใครดูแลหุ้นอยู่ มีผู้ใหญ่ที่ขอคนในตลาดได้ไหม มีบารมีไหม ดังนั้น จึงปฎิบัติต่างกัน เป็นที่มาของการเลือกปฏิัติ LIVE และ IEC จึงถูกปฏิบัติอย่าง V I P

ผมรู้ศึกเสียใจกับนักลงทุนคนไทยทุกคนอย่างสุดซึ้ง หากชาติหน้าเป็นไปได้ให้อธิษฐานไปเกิดที่ประเทศที่เข้าใจเรื่องระบบการลงทุน
อย่ามาเกิดเป็นคนไทยเลยนะเพราะที่โน่นเขามี ระบบที่ดูแลนักลงอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาดูแลเป็นเรืองใหญ่เลยคือ บริษัท ต้องไม่แต่งบัญชี ต้องให้ข่าวที่เป็นจริงไม่หลอกลวงชวนเชื่อ ไม่สมคบกับนักวิเคราะเพื่อหลอกลวง มี market maker เพื่อทำราคาหุ้นอย่างเหมาะสมทั้งอนาคต และปัจจุบัน และสูงพอเพื่อไม่ให้มีการเทคโอเวอร์
มี สัดสว่น free float ที่มากพอที่จะกระจายให้นักลงทุนแต่ไม่ ไช่ 30เปอร์เซ็นต์ บริษัทที่ดีมักไม่มีปันผลแต่ลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อการขยายตัว การถือหุ็นไข้วกัน จึงเป็นเรืองปกติ สิ่งที่ตอบแทนนักลงทุนคือ Capital Gain สูงมาก นั่นคือหุ้น แพงมาก

ตอนนี้ประเทศชาติกำลังแย่มีแต่เรื่อง ขอให้เจ้าหน้าที่ ตลท ที่คิดผิด คิดสั้น หรือ มีพื้นฐานจิตใจที่เป็นมนุษย์ มีปัญญา กลับใจกลับเนื้อกลับตัว อย่าเล่นพวก ขอให้เปิดใจมองทุกคนเป็นคนไทยด้วยกันพวกเดียวกัน ไม่แบ่งแยกกัน เลิกใช้กฎประหลาด กับตลาด เชิญชวนต่างชาติมาซื้อหุ้นแพงแพงบ้านเราไม่ใช่หุ้นถูก ถ้าผู้บริหารตลาด เป็นงาน ดัชนี ไทย จะเป็น 6 เท่าของ สิงค์โปร์ ท่านลองเปรียบเทียบประชากรกันดู เขามี แค่ 3 ล้านคน นะ เรามีมากกว่าเขา เกือย 25 เท่า ผมว่า 6 เท่านี่ยังน้อยไปนะ ไม่ใช่คนไทยไม่เก่งนะ มีปัญหาใหญ่อยู่ไม่กี่เรือง คือ 1. Team Work 2. Spirit 3. Right Attitude 4. Plan forward ผมอยากบอกว่า ผู้บริหาร ตลท ถ้าเข้าใจกฏ 4 ข้อหลักนี้ จะเหมือน สร้าง ขุมทรัพย์ ให้กับประเทศ มากกว่า สิงคโปร์หลายเท่า ถ้า วิบากกรรมต้องลงโทษ ตลาดหลักทรัพย์ไทยกลับไปเหลือ 450 จุดแน่ ก่อน สิันปีนี้ ก็เป็นเรืองปกติขอให้จำขอ้ความนี้ไว้นะ ก็เพราะไม่เข้าใจกฎ 4ข้อนี้ ตราบใดถ้าคิดว่า ข้าถือกฏเที่ยวลงดาบ ตัวโน้นตัวนี้ ละก็ ตก ข้อหนึ่งไปแล้ว หรือ ตลาดอาจจะ ปั่น SET ไปที่ 1900 ในปีหน้า แล้วก็บอกว่า สำเร็จ นั่นก็เป็นภาพลวงตา อีก หลอก ตัวเองอีก

สุดท้ายก็ขอให้นักลงทุนช่วยกันตรวจสอบการกระทำของ ตลาด ด้วย เพื่อรักษาสิทธิและหน้าที่ของนักลงทุน ด้วยเจตนาทีถูกต้อง เห็นหุ็นตัวไหน ถูกปฎิบัติด้วยสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเราเสียหาย ก็รีบนำหลักฐานไปปรึกษา โดยตลงกับประธาน ตลาด และถ้าได้รับคำตอบที่ไม่ชอบมาพากลก็ให้ยื่นเรืองไปที่ ศาลปกครองเลยครับ ให้แสดงความยินดีกับหุ้นที่ วิ่งไปไกล 500% แล้วไม่ โดน ห้าม เน็ท อย่าไปให้ร้ายเขา ถ้า ฟ้องศาลแล้วไม่ได้รับความเป็นทำก็ เลิกเล่นหุ็นไทย ล้าง
พอรต์ แล้วไปเล่นที่เวียตนาม หรือประเทศอื่นดีกว่า

ขอให้นักลงทุนทุกคน มีความมั่งคั่ง อย่างสง่านะครับ
และขอให้ศาลปกครองจงเป็นที่พึ่งทางสุดท้ายของพวกเราที่เสียหาย
จากการหา้ม Net และช่วยเหลือนักลงทุนเป็นอย่างดี
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 03/08/2007 @ 00:11:16 : ขอขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง
ผมอ่านแล้ว สิ่งที่คุณกล่าวอ้าวถึง UV เป็นจริงล้านเปอร์เช็นต์เพราะผมเคย ทำ deal หนึ่งของโครงการบ้าน กลุ่ม ปรินศิริ และต้องชื้อที่ริมถนนออ่นนุชซึ่งมีทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ PRIN ต้องชื้อที่ดินกับบุคคลดังกล่าว ในราคา หลาย 100 ล ทำกำไรใส่กระเป๋าไปพอสมควร ในปี 2548 และเขากำลังดำลงตำแหน่งเป็น MD ตลาดอยู่ด้วย คนที่ชวนผมซื้อหุ้น PRIN คือ น้องชายเจ้าของ ปริน และก็บอกว่า บุคคลดังกล่าวที่อ้างถึงถือหุ้นUVอยู่ ตอนนั้น หุ้น PRIN เพิ่งเข้าไม่นาน ราคาอยู่แถว 2.70 บาท ดังนั้น UV เป็นบริษัทจัดซื้อที่ดินให้กับ PRIN ด้วย (เสี่ย ป เป็น จ้าว market maker)

ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยครับว่า ผลประโยชน์มันมากมายหากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และรู้จักกอบโกยโดยถูกกฎหมาย

ในประเทศอื่นเรียกว่า conflick of interest ใน ประเทศที่เจริญแล้วด้ง เช่น USA เขาจะถูกตรวจสอบและใครมีข้อมูลสามรถ ส่งฟ้อง ศาลปกครองได้ หากทำให้ผู้ใดเสียหาย และถือเป็นการยักยอกออกจากระบบทุน ส่วนในประเทศเราไม่ผิดกฎเพราะถือว่าคนระบุคคลแต่เพราะเจตนาไม่ถือเอาผิด และไม่ร้ายแรง รวมทั้งไม่มีผู้เสียหาย

ดังนั้นสังคมนี้จึงต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างลงตัวบนถนนของผลประโยชน์ ที่แบ่งกันลงตัวด้วย หุ้นตัวไหนจะดังโดยไม่ทำพิธี บวง
สรวง หรือเจรจา ก็จะถูกจองล้างอาคาตพยาบาทตลอดไป เล่นอย่างไม่สงบสุข ไม่ต่างจาก คนพาลที่หาเรื่องคนได้ทุกเรื่อง การรับเงินจ่ายเงินสมัยนี้ต้องให้ใครรู้ไหม ???? ไม่ขอบอก การจ่ายแบบ ไม่มีหลักฐานตรวจสอบไม่มีทางพบ แต่ถูกกฏหมายถูกกฏตลาด

หุ้นแต่ละตัวเลยต้นทุนสูงเวลาขายต้องขึ้นราคา หลาย 100 เท่าถึงจะคุ้ม การทำทำราคาจึงสูงแบบไร้เหตุผล 2.5 บาท ไป ชน 9 บาท (RICH) และไม่ต้อง แขวน

หุ้นแต่ละตัวมีเบื้องหน้าเบื้องหลังไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับใครเป็นเจ้าของ และใครดูแลหุ้นอยู่ มีผู้ใหญ่ที่ขอคนในตลาดได้ไหม มีบารมีไหม ดังนั้น จึงปฎิบัติต่างกัน เป็นที่มาของการเลือกปฏิัติ LIVE และ IEC จึงถูกปฏิบัติอย่าง V I P

ผมรู้ศึกเสียใจกับนักลงทุนคนไทยทุกคนอย่างสุดซึ้ง หากชาติหน้าเป็นไปได้ให้อธิษฐานไปเกิดที่ประเทศที่เข้าใจเรื่องระบบการลงทุน
อย่ามาเกิดเป็นคนไทยเลยนะเพราะที่โน่นเขามี ระบบที่ดูแลนักลงอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาดูแลเป็นเรืองใหญ่เลยคือ บริษัท ต้องไม่แต่งบัญชี ต้องให้ข่าวที่เป็นจริงไม่หลอกลวงชวนเชื่อ ไม่สมคบกับนักวิเคราะเพื่อหลอกลวง มี market maker เพื่อทำราคาหุ้นอย่างเหมาะสมทั้งอนาคต และปัจจุบัน และสูงพอเพื่อไม่ให้มีการเทคโอเวอร์
มี สัดสว่น free float ที่มากพอที่จะกระจายให้นักลงทุนแต่ไม่ ไช่ 30เปอร์เซ็นต์ บริษัทที่ดีมักไม่มีปันผลแต่ลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อการขยายตัว การถือหุ็นไข้วกัน จึงเป็นเรืองปกติ สิ่งที่ตอบแทนนักลงทุนคือ Capital Gain สูงมาก นั่นคือหุ้น แพงมาก

ตอนนี้ประเทศชาติกำลังแย่มีแต่เรื่อง ขอให้เจ้าหน้าที่ ตลท ที่คิดผิด คิดสั้น หรือ มีพื้นฐานจิตใจที่เป็นมนุษย์ มีปัญญา กลับใจกลับเนื้อกลับตัว อย่าเล่นพวก ขอให้เปิดใจมองทุกคนเป็นคนไทยด้วยกันพวกเดียวกัน ไม่แบ่งแยกกัน เลิกใช้กฎประหลาด กับตลาด เชิญชวนต่างชาติมาซื้อหุ้นแพงแพงบ้านเราไม่ใช่หุ้นถูก ถ้าผู้บริหารตลาด เป็นงาน ดัชนี ไทย จะเป็น 6 เท่าของ สิงค์โปร์ ท่านลองเปรียบเทียบประชากรกันดู เขามี แค่ 3 ล้านคน นะ เรามีมากกว่าเขา เกือย 25 เท่า ผมว่า 6 เท่านี่ยังน้อยไปนะ ไม่ใช่คนไทยไม่เก่งนะ มีปัญหาใหญ่อยู่ไม่กี่เรือง คือ 1. Team Work 2. Spirit 3. Right Attitude 4. Plan forward ผมอยากบอกว่า ผู้บริหาร ตลท ถ้าเข้าใจกฏ 4 ข้อหลักนี้ จะเหมือน สร้าง ขุมทรัพย์ ให้กับประเทศ มากกว่า สิงคโปร์หลายเท่า ถ้า วิบากกรรมต้องลงโทษ ตลาดหลักทรัพย์ไทยกลับไปเหลือ 450 จุดแน่ ก่อน สิันปีนี้ ก็เป็นเรืองปกติขอให้จำขอ้ความนี้ไว้นะ ก็เพราะไม่เข้าใจกฎ 4ข้อนี้ ตราบใดถ้าคิดว่า ข้าถือกฏเที่ยวลงดาบ ตัวโน้นตัวนี้ ละก็ ตก ข้อหนึ่งไปแล้ว หรือ ตลาดอาจจะ ปั่น SET ไปที่ 1900 ในปีหน้า แล้วก็บอกว่า สำเร็จ นั่นก็เป็นภาพลวงตา อีก หลอก ตัวเองอีก

สุดท้ายก็ขอให้นักลงทุนช่วยกันตรวจสอบการกระทำของ ตลาด ด้วย เพื่อรักษาสิทธิและหน้าที่ของนักลงทุน ด้วยเจตนาทีถูกต้อง เห็นหุ็นตัวไหน ถูกปฎิบัติด้วยสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเราเสียหาย ก็รีบนำหลักฐานไปปรึกษา โดยตลงกับประธาน ตลาด และถ้าได้รับคำตอบที่ไม่ชอบมาพากลก็ให้ยื่นเรืองไปที่ ศาลปกครองเลยครับ ให้แสดงความยินดีกับหุ้นที่ วิ่งไปไกล 500% แล้วไม่ โดน ห้าม เน็ท อย่าไปให้ร้ายเขา ถ้า ฟ้องศาลแล้วไม่ได้รับความเป็นทำก็ เลิกเล่นหุ็นไทย ล้าง
พอรต์ แล้วไปเล่นที่เวียตนาม หรือประเทศอื่นดีกว่า

ขอให้นักลงทุนทุกคน มีความมั่งคั่ง อย่างสง่านะครับ
และขอให้ศาลปกครองจงเป็นที่พึ่งทางสุดท้ายของพวกเราที่เสียหาย
จากการหา้ม Net และช่วยเหลือนักลงทุนเป็นอย่างดี
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com