May 17, 2024   3:06:03 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ...............
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 03/08/2007 @ 08:12:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัวTUFราคาเป้าหมาย 27.50 บาทคาดกำไรเพิ่มขึ้น 14% yoy ในไตรมาส 2/50แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นและราคาวัตถุดิบปลาทูน่าปรับตัวสูงขึ้นแต่เราคาดว่า TUF จะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้น 14% yoy เป็น 401 ล้านบาทในไตรมาส 2/50 โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 10% yoy เป็น 34.3 บาท/ดอลลาร์แต่บริษัทคาดว่าจะยังคงสามารถทำยอดขายในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 5% เป็น 13,793 ล้านบาทจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและการปรับราคาสำหรับทูน่าและกุ้ง อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะลดลงจาก 14.5% ในไตรมาส 2/49 เหลือ 13.7% จากการที่ราคาทูน่าปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงและภาวะการจับปลาที่ไม่ดีนัก ราคาเฉลี่ยปลาทูน่าเพิ่มจาก 908 เหรียญ/ตันในไตรมาส 2/49 เป็น 1,200 เหรียญ/ตัน แรงกดดันจากราคาปลาทูน่าที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ต้นทุนราคาปลาทูน่าที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันต่ออัตรากำไรของ TUF แม้ว่าบริษัทจะสามารถบวกต้นทุนเพิ่มไปที่ราคาขายก็ตาม โดยในเดือนกรกฎาคม ราคาปลาทูน่า (ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก) ได้ปรับตัวขึ้นไปที่ 1,420 เหรียญ/ตันซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยบวกคือราคาปลาทูน่าของคู่แข่ง (ซึ่งมีแหล่งจับปลาที่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก) ก็เพิ่มขึ้นเช่นกันมาที่ 1,500 เหรียญ/ตัน จึงทำให้ TUF ยังคงมีสามารถในเชิงแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งอยู่เล็กน้อยยังคงประมาณการเดิม จากการที่คาดว่ากำไรในครึ่งแรกของปีจะมีสัดส่วนเป็น 46% ของกำไรทั้งปีที่คาดการณ์ เราจึงยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ที่ 2,007 ล้านบาท (2.30 บาท/หุ้น) เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน การที่บริษัทยังคงได้รับคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องทำให้ยอดขายของบริษัทจะสามารถขยายตัวได้แม้ค่าเงินบาทแข็ง นอกจากนั้นคาดว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นไม่มากนักเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนปีก่อน ประกอบกับดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง


บล.กรุงศรีอยุธยาแนะนำซื้อROJANAราคาเป้าหมาย 20.00 บาท
ข้อได้เปรียบข้อหนี่งของ ROJANA ที่มีดีกว่าคู่แข่งนิคมอุตสาหกรรมรายอื่นอยู่ที่การได้พันธมิตรลูกค้า Honda ที่มีศักยภาพในการเจาะตลาดรถยนต์นั่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดภายในประเทศ การประกาศขยายโรงงานแห่งที่ 2 ในไทยด้วยเงินลงทุนประมาณ 6.2 พันล้านบาท ซึ่งเราคาดว่า เป็นการขยายเพื่อรองรับการผลิต Ecocar ซึ่ง Honda มีศักยภาพในการผลิตที่สูงและการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 เท่าเป็น 0.24 ล้านคันต่อปี ด้วยความเป็นลูกค้ารายใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ซึ่งปัจจุบันมีเนื้อที่เกือบ 500 ไร่ ทำให้เราคาดว่า การขยายการลงทุนของ Honda ในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อการขายที่ดินของROJANA อย่างแน่นอน การลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของ Honda ให้ได้ตามเป้าหมายคาดว่าจะเป็นการทยอยซื้อที่ดินของ ROJANA มากกว่าเป็นการซื้อเพียงครั้งเดียวซึ่งเงื่อนไขของการได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีสรรพสามิตสำหรับการผลิตรถ Ecocar กำหนดว่า ผู้ผลิตจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้จนถึง 1 แสนคันต่อปีภายในปีที่ 5 และเราประมาณการว่า การขยายการลงทุนครั้งนี้จะมีความจำเป็นในการซื้อที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีกประมาณ 300 ไร่เพื่อรองรับโครงการดังกล่าว แม้ว่า Honda จะยังไม่มีสัญญาผูกพันการซื้อที่ดินกับ ROJANAและสายการผลิตรถโมเดลปัจจุบันของ Honda จะไม่สามารถใช้ร่วมกับรถ Ecocar ได้ แต่เรามองว่า Honda น่าจะขยายการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยามากกว่าการตั้งโรงงานภายนอกนิคมอุตสาหกรรมหรือในนิคมอุตสาหกรรมแห่งอื่นเนื่องจากขั้นตอนที่นอกเหนือจากการผลิตบางอย่างสามารถใช้ร่วมกันได้ระหว่างโมเดลปัจจุบันและ Ecocar และประเด็นสำคัญของผลดีจากการขยายการลงทุนครั้งนี้อยู่ที่ความเสี่ยงของธุรกิจการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในอนาคตที่ลดลง

บนสมมุติฐานที่เราคาดการณ์ว่า Honda จะซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา สำหรับการขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ เรามองว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเสี่ยงสำหรับธุรกิจการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในอนาคตที่ลดลง แม้ว่าธุรกิจการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมจะไม่ใช่ปัจจัยสร้างอัตราเติบโตหลักของ ROJANA เนื่องจากเป้าหมายยอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของROJANA ในแต่ละปีถือว่าอนุรักษ์นิยมประมาณ 600-700ไร่ แต่การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในปีต่อไปมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามเป้าหมายของยอดขายที่ดินได้มากขึ้นซึ่งเราได้ปรับประมาณการยอดขายที่ดินในปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 700 ไร่ จากเดิม 600 ไร่ซึ่งทำให้เราปรับประมาณการผลประกอบการปี 51 เพิ่มขึ้นเช่นกันโดยรายได้รวมของทุกธุรกิจเพิ่มขึ้น 2% เป็น 7.35 พันล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4.8% เป็น 1.22 พันล้านบาท บนสมมุติฐานของธุรกิจอื่นๆที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งได้แก่การขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าไปเป็น 265 เมกะวัตต์ในช่วงปลายปี 51 และไปเป็น 400 เมกะวัตต์ภายในปี 55


บล.เกียรตินาคินแนะนำถือKESTราคาเป้าหมาย 24.50 บาท
KEST ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/50 มีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.2%YoY และเพิ่มขึ้นถึง 55.3%QoQ เท่ากับที่เราคาด เนื่องจากรายได้แทบจะทุกรายการเพิ่มมากขึ้น โดยรายได้ค่านายหน้าเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมูลค่าการซื้อขาย และส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ในด้านรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 16.5%QoQ รายได้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 26%QoQ และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 57.3%QoQ ในขณะที่ในไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 2 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่มีกำไร8 ล้านบาทในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง 8.9%QoQ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10.3%QoQค่าธรรมเนียมและบริการ และค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มมากขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น

มูลค่าการซื้อขายในไตรมาส 3/50 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมากถึง 110% จากไตรมาสก่อนที่มีมูลค่าการซื้อขาย 1.5 หมื่นล้านบาท/วัน ในขณะที่ตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/50 จนถึงขณะนี้มีมูลค่าการซื้อขาย 3.2 หมื่นล้านบาท จากเงินทุนไหลเข้า ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของ KEST ซึ่งฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อยก็เพิ่มขึ้นตามมูลค่าการซื้อขายที่คึกคัก โดยเพิ่มขึ้นเป็น 8.51% จากไตรมาสก่อนที่มีส่วนแบ่งตลาด 7.25%


บล.ยูไนเต็ดแนะนำถือDEMCOราคาเป้าหมาย 6.90 บาทรายได้ 2Q50 คาดว่าจะรับรู้รายได้ถึง 685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79%YoY โดยไตรมาสนี้งานที่รับรู้ส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐ อาจทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน และไตรมาสนี้ยังมีการตั้งสำรองหนี้สูญอีก 12 ล้านบาท สำหรับ Backlog ในมือหลังหักรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 คาดว่าจะเหลือประมาณ 1,046 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในครึ่งปีหลังเกือบทั้งหมด ขณะที่งานไฟฟ้าที่บริษัทเข้าประมูลไปแล้วมูลค่า 610 ล้านบาท คาดจะประกาศผลในไตรมาส 3 นี้ ซึ่งผู้บริหารมีความเชื่อมั่นว่าจะได้งาน 70% และสำหรับแผนในการประมูลงานในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเข้าประมูลงานประมาณ 3-4,000 ล้านบาท ซึ่ง ณปัจจุบันบริษัทได้เข้าประมูลงาน ซัฟเฟอรรีนแล้ว มูลค่างาน 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะรู้ผลอีกประมาณ 2 เดือน โดยงานที่ประมูลได้ทั้งหมดจะเป็น Backlog ในปี 51 ต่อไปรายได้ในไตรมาส 2 ที่รับรู้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแม้ว่าจะมีการตั้งสำรองหนี้สูญ แต่เรายังคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรได้ถึง 46.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%YoY (EPS 0.22 บาท/หุ้น) สำหรับงานที่เข้าประมูลไปแล้วเราคาดว่าบริษัทมีโอกาสได้ ซึ่งถ้าได้จะทำให้ Backlogในปีหน้าจะแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะที่งานที่บริษัทจะเข้าประมูลในช่วงปลายปีเราคาดว่าในช่วงต้นไตรมาส 4 คาดว่าจะรู้ผล ซึ่งเราประเมินว่าบริษัทบริษัทมีโอกาสได้ 20-25% เป็นอย่างน้อย และสำหรับโรงไฟฟ้า IPP ที่จะประมูลในช่วงปลายปีนี้ เรามองว่าจะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตในอนาคต โดยเรายังคงประมาณการณ์กำไรปี 50 ที่ 135 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 35%YoY (EPS 0.63 บาท/หุ้น)
[/color:21acaea51f">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com