May 17, 2024   5:58:24 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เฟ้นหุ้นฝ่าบาทาฝรั่งต้อง mai เท่านั้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 06/08/2007 @ 09:30:47
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ยามนี้ต้องเล่นหุ้นปลอดบาทาฝรั่ง เหลียวหน้าแลหลัง mai ชัวร์สุด DEMCO-SLC-UBIS วิ่งแรง ฟากพัฒนสินแนะเล่นหุ้นหลักทรัพย์ เก็งกำไรระยะสั้นช่วงวอลุ่มคึก พร้อมแจกหุ้นปันผลเด่น ให้ผลตอบแทน 5% ขึ้นไป TUF-MCS-SPALI-ADVANC-APRIN และ SE-ED เข้าวิน

ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่ามีความผันผวนพอสมควร โดยดัชนีปิดการซื้อขายในแดนลบเกือบทุกวัน ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ก่อนที่จะกระเตื้องมายืนแดนบวกได้ในวันสุดท้ายของการซื้อขาย ในขณะที่หากสำรวจการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ เริ่มเห็นสัญญาณการปรับพอร์ตอย่างชัดเจนในช่วงสัปดาห์นี้ หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงและเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิรวม 8,805.85 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 541.24 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 9,347.14 ล้านบาท

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ อาจต้องเลือกเฟ้นหุ้นที่ห่างไกลจากแรงขายของต่างชาติน่าจะเป็นกลุ่มที่ปลอดภัยที่สุด โดยหุ้นในตลาดเอ็มเอไอ เรียกได้ว่ากลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้หุ้นบิ๊กแคปครองพื้นที่หน้าจอมาเป็นเวลานาน

หากสังเกตุหุ้นใน mai เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลายตัวเริ่มมีสัญญาณการซื้อเข้ามาอย่างชัดเจน ส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นแรงอย่างโดดเด่น ซึ่งเป็นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มขยาดกับหุ้นใหญ่มาเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กที่มีพื้นฐานดีแทน ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาตลาด mai มีการดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการว่าจ้างนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้วิเคราะห์ เจาะลึกหุ้นใน mai อย่างจริงจัง ทำให้มูลค่าที่แฝงอยู่ได้ปรากฎออกสู่สายตานักลงทุนมากยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นว่าหุ้นขนาดเล็กบางตัวยังมีของดีซ่อนอยู่มากมาย เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครมองเห็นเท่านั้น

บมจ.ยูบิส (เอเซีย) (UBIS) ถือว่าเป็นหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวาในช่วงที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นวิ่งจาก 1.85 บาท เมื่อวันที่ 18 ก.ค. มาอยู่ที่ 3.12 บาท หรือวิ่งขึ้นมา 68.64% ในเวลาเพียง 10 วัน

นายสวง ทั่งวัฒโนทัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ยูบิส (เอเชีย) (UBIS) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักในช่วงนี้ น่าจะเป็นไปตามภาวะตลาดฯโดยรวมมากกว่า ซึ่งมองว่าที่ราคาหุ้น UBIS นั้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วงนี้ เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้น UBIS ยังไม่มีการปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นตัวอื่นๆได้มีการทยอยปรับขึ้นกันไปแล้ว
ประกอบกับค่า P/E ของราคาหุ้นเองก็ยังต่ำกว่าตลาด MAI ที่อยู่ที่ 11 เท่า ขณะที่ของ UBIS อยู่ที่ 9.6 เท่า ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจึงไม่ผิดปกติ และพื้นฐานก็ไม่ได้มีการเปลี่นแปลงอะไร

ได้ติดตามราคาหุ้นอยู่ ผมดูว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวตามเทรนด์ของตลาดแต่หุ้นตัวอื่นมีการทยอยขึ้นตามตลาดฯกันไปแล้ว แต่ของ UBIS เพิ่งจะมาขึ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นเองคงเห็นว่ายังไม่ขึ้นตามตลาดฯ นางสวง กล่าว

สำหรับผลงานในปีนี้ คาดว่า ทั้งยอดขาย และกำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน 15-20% เนื่องจากยอดขายมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการไปขยายในต่างประเทศ ซึ่งมีการระดมทรัพยากรไปขยายงานเรียบร้อยแล้ว

ส่วนกำไรในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นนั้น น่าจะเป็นผลมาจาก บริษัทลูกที่จีนในปีนี้ในช่วงไตรมาส 1 เริ่มกลับมามีกำไร หรือลดการขาดทุน จากปีที่ผ่านมาที่มีผลออกมาขาดทุน จึงทำให้บีริษัทฯมีกำไรที่ดีขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้การขยายงานไปยังต่างประเทศนั้น ได้มีการขายไปทางฝั่งอเมริกา-ยุโรป ซึ่งเป็นบริษัทฯที่เซ็นสัญญาเอาลิขสิทธิ์ของบริษัทฯไปผลิต และตอนนี้ก็ได้เอาสินค้าเราไปขาย และเปิดตลาดแล้ว

อย่างไรก็ดี การจ่ายปันผลในปีนี้ยังคงเป็นไปตามนโยบายการปันผลที่ 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งในปีนี้น่าจะมีการจ่ายปันผลสูงกว่าปีก่อน หลังจากที่คาดว่ากำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน 15-20% อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล เนื่องจากบริษัทฯไม่มีนโยบายการปันผลระหว่างกาล

หลังจากที่ได้มีการเพิ่มทุนไปก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้นำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการระดมทุนดังกล่าวไปชำระหนี้สินที่มีอยู่ จนทำให้ตอนนี้บริษัทฯไม่มีหนี้สินติดค้างอยู่แล้ว และจะนำเงินอีกส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ ไปใช้ในการขยายธุรกิจ และการลงทุนเพิ่ม

นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนที่จะต้องระดมทุนเพิ่ม เพื่อขยายการลงทุน เนื่องจากตอนนี้บริษัทฯไม่มีหนี้สินค้างชำระ ประกอบกับหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ยังอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 0.5 เท่า ดังนั้นจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการระดมทุน

ต่อที่ บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) ที่มาแรงไม่แพ้กัน ราคาไต่จาก5.30 บาท ในวันที่ 18 ก.ค. มาอยู่ที่ 7.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 39.62% ในเวลาเพียง 10 วัน

บล.ไซรัส แนะนำ ซื้อ DEMCO ให้ราคาราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 8.00 บาท โดยปรับเพิ่มคาดการกำไรของ DEMCO ในปี 2551 และ 2552 จาก เพิ่มเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เป็น 191 ลบ. (0.91 บาท/หุ้น) และ 248 ลบ. (1.18 บาท/หุ้น) หรือเพิ่มเฉลี่ยปีละประมาณ 25% จากเดิมใช้สมมติฐานที่ระมัดระวัง

ล่าสุด มีเสนอข่าวกฟน. เตรียมเสนอแผนแม่บทโครงการปรับเปลี่ยนระบบสายป้อนอากาศ เป็นสายป้อนใต้ดิน ระยะเวลา 15 ปี (2551 ? 2565) งบลงทุน 2.7 แสนลบ. (หรือเฉลี่ยปีละ 1.8 หมื่นลบ.) โดยจะเสนอ รมว.คมนาคม ใน 2 ? 3 สัปดาห์ ข้างหน้า เป็นการยืนยันโอกาสเข้าประมูลงานในภาครัฐฯ ของ DEMCO
กำลังเจรจาร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อรับงานแรงดัน 500 KV โดยคาดว่าจะทราบผลในเดือนนี้ (ส.ค.) และจะมีการเปิดประมูลในเดือน ก.ย. ? ต.ค. 2550 ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลอย่างน้อย 2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1 ? 1.5 พันลบ./โครงการ

กำลังจดทะเบียนผลิตสายส่ง 250 KV และ 500 KV กับ EGAT เนื่องจาก EGAT จะซื้อสายไฟได้เฉพาะกับผู้ประกอบการไทยที่จดทะเบียนกับ EGAT เท่านั้น ขั้นตอนการจดทะเบียนคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ปัจจุบัน DEMCO ประมูลงานเฉพาะการก่อสร้างสายส่งให้แก่ EGAT แต่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตและขายสายส่ง

ขณะที่งานภาคเอกชน จะมากขึ้นจากแผนการขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้า และโรงปิโตรเคมีคงคาดการรายได้ในปี 2550 ที่ 2 พันลบ. เพิ่ม 47% จากปี 2549 โดยรายได้ในไตรมาส 1/50 อยู่ที่ 427 ลบ. และคาดว่าจะรับรู้รายได้จาก BACKLOG อีกประมาณ 1,574 ลบ.

เตรียมยื่นประมูลงานเพิ่มในปี 2550 อีก 3 ? 4 พันลบ. และคาดว่างานประมูลจะเพิ่มขึ้นมากในปี 2551 หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/50 ที่ 42 ลบ. (0.20 บาท/หุ้น) เพิ่ม 34% q-q ทั้งปี 2550 คาดกำไรสุทธิ 165 ลบ. (0.79 บาท/หุ้น) เพิ่ม ถึง 65%

ปัจจัยพื้นฐานปรับเพิ่มจาก 5.50 บาท เป็น 8.00 บาท (P/E 10.2 เท่า, P/BV 3 เท่า) สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน 8.8% คงคำแนะนำซื้อ
ส่วน บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) (SLC) เพิ่งมาแรงแซงทางโค้งในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ราคาวิ่งจสก2.38 บาท เมื่อวันที่ 1 ส.ค. มาอยู่ที่ 2.80 บาท หรือพุ่ง 17.64% ในเวลา 2 วัน

บล.ทรีนีตี้ ให้ มูลค่าเหมาะสมของ SLC ที่ 3.20 บาท จากผลของความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้การลงทุนชะงัก ในขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐก็มีการชะลอหรือระงับโครงการประมูลและจัดซื้อจัดจ้างออกไปก่อนส่งผลให้รายได้ของบริษัทที่พึ่งพิงรายได้ภาครัฐมีแนวโน้มได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับ SLC ที่มีสัดส่วนรายได้จากภาครัฐเป็นสัดส่วนประมาณ 65-70% ของรายได้รวม ดังนั้นเราจึงได้ปรับประมาณการ พื่อให้สะท้อนแนวโน้มเชิงลบที่อาจกระทบต่อประมาณการของบริษัทฯ โดยปรับลดคาดการณ์รายได้ และสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น โดยประมาณการรายได้ใหม่ของปี 2550 และ 2551 ลดลง -16.7% และ -19.7% และกำไรสุทธิลดลง 38.1% และ 34.5% ตามลำดับ ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2550 จากประมาณการใหม่ของเราอยู่ที่ 18 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.35 บาท

จากการปรับประมาณการลง เราประเมินมูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 3.2 บาท (9x PE) ซึ่งให้ส่วนต่างผลตอบแทนจากราคาหุ้นปัจจุบัน 27% และโอกาสได้รับผลตอบแทนเงินปันผล 8% อย่างไรก็ดีด้วยภาระการตั้งสำรองหนี้สูญที่เกิดขึ้นใน 2 ไตรมาสหลังและแนวโน้มที่เป็นลบต่อภาวะงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เราจึงปรับคำแนะนำลงเป็น ?ทยอยสะสม? โดยเราคิดว่าแนวโน้มรายได้ปี 2550 ของ SLC จะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ และเราอาจมีการปรับคำแนะนำเพิ่มหากแนวโน้มเป็นไปในทางที่ดีมากขึ้น

ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ในช่วงนี้แม้ว่าตลาดหุ้นผันผวน แต่มูลค่าการซื้อขายยังอยู่ในระดับที่หนาแน่น ดังนั้นหุ้นหลักทรัพย์จึงนับว่าน่าสนใจ แต่การซื้อขายต้องเป็นในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น โดยแนะนำ BLS ให้ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท แต่หากไม่ต้องการเสี่ยงมาก แนะนำให้เล่นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลในระดับสูงกว่า 5% ได้แก่ TUF MCS SPALI ADVANC APRINT และ SE-ED

ขณะที่บทวิเคราะห์ประจำเดือนสิงหาคม 2550 บล.เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน)(ASP)เปิดเผยว่า ในสภาพที่ตลาดเป็นขาขึ้น โดยได้รับแรงผลักดันจากกระแส fund flow ผลดีมักตกอยู่กับบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งมิใช่รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าฯ ที่จะสูงขึ้นตามมูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้นอย่างมากเท่านั้น แต่หมายถึงผลกำไร หรือ capital gains จากการบริหารเงินลงทุนระยะสั้น (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) จึงคาดว่ากำไรของบริษัทหลักทรัพย์ในงวด 2Q50 จะรายงานออกมาดีกว่างวด 1Q50 และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้

โดยล่าสุดนักวิเคราะห์ ASP ได้จัดทำประมาณการกำไรงวด 2Q50 ของบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด 13 แห่ง พบว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติประมาณ 210 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 335% จากงวด 1Q50 แต่หากรวมผลกำไรจากการบริหารพอร์ต พบว่าจะมีกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% จากงวด 1Q50 ล่าสุดมูลค่าการซื้อขายของตลาดจากต้นปีจนปัจจุบันได้ปรับขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 1.55 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับสมมติฐานที่กำหนดไว้วันละ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยหากมูลค่าการซื้อขายของตลาดยังสามารถทรงตัว หรือยืนเหนือระดับวันละ 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป จะทำให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2550 จะขยับขึ้นไปที่ 1.75 หมื่นล้านบาท ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับเพิ่มสมมุติฐานเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายใหม่ให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดที่ดีขึ้น ซึ่งพบว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติของกลุ่มหลักทรัพย์ในปี 2550 จะสูงกว่าประมาณการเดิม 28% และเมื่อรวมกำไรจากการบริหารพอร์ต พบว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากเดิม 61% (ไม่รวม AEONTS, TCAP)


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com