May 17, 2024   3:34:06 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 06/08/2007 @ 10:14:57
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

Z-Strategy
ดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 825 - 850 จุด

Technical Analysis
แม้สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีจะสามารถดีดกลับได้หลังจากปรับลงทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์ ราว 825 จุด ทว่าการดีดตัวนี้ยังจะมีระยะทางจำกัด เนื่องด้วย Stochastic ยังมีสถานะด้านลบ การดีดกลับยากที่จะฝ่า Dead Cross บริเวณ 850 จุดไปได้ ขณะเดียวกันการปรับฐานใดๆสัปดาห์นี้ก็ยากที่จะปรับลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์เช่นกัน

Z-Focus
News Comment
ฦ KTB: NPLs สูงสุดแค่ปีนี้ - ซื้อ
ฦ TMT: บ่ายนี้แถลงข่าวแผนงานธุรกิจในอนาคต - คาดว่ามีนัยสำคัญ - ซื้อ

Statistic Info
ปฏิทินหุ้น, รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร
NVDR, Commodities Move, Warrants


KTB: NPLs สูงสุดแค่ปีนี้ - ซื้อ

รอยเตอร์

ผู้บริหารธนาคารเผยว่าในครึ่งปีหลัง 50 ระดับ NPLs ของธนาคารมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดสิ้นปีนี้ และจะทยอยปรับลดลงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป นอกจากนี้ ธนาคารยังคงกันสำรองในระดับสูงใกล้เคียงกับปีก่อน เพื่อให้ครบตามมาตรฐานบัญชี IAS39 ซึ่งการ Clean up Balance sheet ครั้งนี้ ผู้บริหารเชื่อว่าฐานะการเงินของธนาคารจะแข็งแกร่งขึ้นในปีหน้า

ความเห็นนักวิเคราะห์

คาด NPLs เพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท ในครึ่งปีหลัง
ข่าวดังกล่าวตรงกับที่ผู้บริหารให้รายละเอียดไว้กับเราใน Analyst Meeting ปลายเดือนที่ผ่านมา ว่าในครึ่งปีหลังระดับ NPLs มีแนวโน้มปรับเพิ่มอีกประมาณ 1% ของสินเชื่อรวม หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ธนาคารจะยังคงกันสำรองในระดับสูง โดยเราประมาณการไว้ที่ระดับ 1.7 หมื่นล้านบาท (ครึ่งปีแรกกันไว้แล้ว 8 พันล้านบาท)

คาดยังกันสำรองในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในปีหน้า
แม้ผู้บริหารคาดว่าธนาคารจะกลับมากันสำรองตามปกติที่ระดับ 3.6 พันล้านบาทต่อปี ในปี 51 อย่างไรก็ตาม เรายังคงประเมินว่าธนาคารแนวโน้มที่จะกันสำรองในระดับสูงต่อเนื่องอีก (ประมาณไว้ที่ระดับ 5 พันล้านบาท) เนื่องจากระดับ Coverage ratio ของธนาคารยังต่ำสุดในระบบ

คาด ROE สูงเป็นอันดับ 2 รองจาก KTB
ถึงแม้ปัญหาเรื่อง NPLs และระดับ Coverage ratio ที่ต่ำสุดในระบบของธนาคารยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันกำไรของธนาคารอยู่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการกันสำรอง) จะพบว่ายังคงเติบโตเฉลี่ยในระดับ 6% ต่อปี ในอีก 2 ปีข้างหน้า รวมถึงระดับ ROE เฉลี่ย 2 ปีที่ระดับ 15.8% (สูงเป็นอันดับ 2 รองจาก SCB 16.3%, และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 13%)

ผลตอบแทนปันผลเฉลี่ย 4-5% ในอีก 2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ เราคาดว่าธนาคารยังให้ Dividend yield สูงถึง 4-5% ใน 2 ปีข้างหน้า โดยประเมินราคาตามมูลค่าพื้นฐานไว้ที่ระดับ 14.40 บาท (PBV 50 ที่ระดับ 1.5 เท่า) มี upside จากราคาปัจจุบัน 27% จึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"

วิมล เจียมพูนทรัพย์ - No. 17616, wimolj@seamico.co.th

TMT: บ่ายนี้แถลงข่าวแผนงานธุรกิจในอนาคต - คาดว่ามีนัยสำคัญ - ซื้อ

บริษัทฯ

บริษัทจะจัดงานแถลงข่าวสรุปภาพรวมธุรกิจและการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บ่ายวันนี้ (6 ส.ค. 50) โดยเชิญทั้งนักวิเคราะห์และสื่อมวลชน

ความเห็นนักวิเคราะห์

คาดว่าจะมีประเด็นที่น่าสนใจด้านกลยุทธ์การตลาด (ปกติบริษัทจัดประชุมนักวิเคราะห์ที่บริษัท)
เราพบ Big lot หุ้น TMT จำนวน 21.25 ล้านหุ้น หรือ 5% ของทุนเรียกชำระแล้ว 425 ล้านหุ้น ช่วงท้ายตลาดฯ วันศุกร์ที่ผ่านมา ในราคา 5.30 บาท/หุ้น คาดว่าน่าจะเชื่อมโยงกับงานแถลงข่าวของบริษัทฯ บ่ายวันนี้ โดยเราคาดว่าบริษัทน่าจะเปิดเผยแผนงานที่จะทำในอนาคต โดยเฉพาะกลยุทธ์การตลาดที่จะนำไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ในสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจของบริษัททั้งในแง่ยอดขายและอัตรากำไรที่จะเพิ่มขึ้น

คาดไตรมาส 2/50 มีกำไร 46 ล้านบาท ลดจากไตรมาสก่อน-ปริมาณขายลด แต่อัตรากำไรดีขึ้น
แม้ราคาขายเฉลี่ยในประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 21.08 บาท/กก. ในไตรมาสก่อนหน้า เป็น 21.50-22.0 บาท/กก. ในไตรมาส 2/50 ตามราคาเหล็กรีดร้อนที่สูงขึ้นในตลาดโลก และบริษัทมีวัตถุดิบคงคลังต้นทุนต่ำที่ค้างจากไตรมาสก่อนประมาณ 1 เดือน ทำให้อัตรากำไรในไตรมาส 2/50 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 7% ในไตรมาส 1/50 แต่ด้วยปริมาณขายที่ลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ซึ่งเป็นฤดูกาลขายที่ดีที่สุดแล้ว เราประมาณการเบื้องต้นว่าไตรมาส 2/50 จะมีกำไร 46 ล้านบาท ลด 5% จากไตรมาสก่อนหน้า (ยอดขายลด 13% อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 7.5%) และลดลงถึง 62% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (ยอดขายลด 6% แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอย่างมีนัยจาก 13.2% ในไตรมาส 2/49 เป็น 7.5%)

ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ"
เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อ TMT ในระยะยาว ด้วยประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจที่มีความครบวงจรในการเป็นศูนย์บริการเหล็กลักษณะ "One Stop Service" ที่มีความพร้อมด้านการผลิตและฐานะการเงินที่แข็งแรง จึงมั่นใจในคุณภาพของกำไรและอัตราเงินปันผลตอบแทน 9-10% สำหรับปี 50-51 ฝ่ายวิจัยปรับมูลค่าพื้นฐานเป็นปี 51 เท่ากับ 4.96 บาท (PER ปี 51 ที่ 8 เท่า) ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี discount อยู่ 14% จากมูลค่าพื้นฐาน และมี PER ปี 51 เพียง 6.9 เท่า จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ"


พรศรี ลายสนิทเสรีกุล, no. 17621

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 06/08/2007 @ 10:22:18 :
PTTEPหดเป้าลงทุน3พันล. โบรกสวนกลับแนะซื้อเต็มที่

ทันหุ้น- PTTEP ชี้ค่าบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจกระทบแผนการดำเนินงานในอนาคต เล็งปรับเป้าลงทุนปีนี้ลงราว 3 พันล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 7.45 หมื่นล้านบาท ระบุยอดขายปิโตรเลียมต่ำกว่าคาด 5-6% หลังแหล่งผลิตโอมาน-นางนวลพลาดเป้า โบรกสวนกลับแนะ ?ซื้อเต็มที่? มองแนวโน้มครึ่งปีหลังโตสดใสขยับเป้าหมายขึ้นเป็น180 บาท

นายมารุต มฤคทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) PTTEP เปิดเผยว่า จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่าอาจจะต้องปรับลดเป้าลงทุนปีนี้ลงราว 3 พันล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 7.45 หมื่นล้านบาทโดยจะทบทวนแผนลงทุนในโครงการต่างๆ ใหม่อีกครั้งและคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนนี้

? บาทแข็งกระทบมาก เพราะเดิมประมาณการเงินบาทไว้ที่ 36 แต่ตอนนี้อยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบ ดังนั้นเราต้องเตรียมแผนการรองรับเอาไว้สำหรับโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต" นายมารุตกล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมปรับลดเป้าหมายปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยปีนี้ลง 5-6% จากที่ตั้งไว้ 1.88 แสนบาร์เรลต่อวัน หลังจากการผลิตปิโตรเลียมในแหล่งโอมานอาจเกิดความล่าช้า ขณะที่แหล่งนางนวลมีปัญหากระบวนการผลิต

" แม้ว่าเป้าหมายการผลิต 1.88 แสนบาร์เรลต่อวันจะทำได้ไม่ถึง แต่วอลุ่มของบริษัทก็เพิ่มขึ้นจาก 1.7 แสนบาร์เรลต่อวันในปี 2549 มาเป็น 1.8 แสนบาร์เรลต่อวัน ก็ยังถือว่าวอลุ่มเพิ่ม บวกกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็น่าจะส่งผลที่ดีต่อรายได้และกำไรของบริษัท" นายมารุตกล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลง 5% ในโครงการสำรวจปิโตรเลียม แปลง M9 ขายให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติโอมาน เพื่อลดความเสี่ยง ทั้งนี้ บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด หรือ ปตท.สผ.อ เป็นผู้ดำเนินการและถือหุ้นทั้งหมดในโครงการสำรวจปิโตรเลียม แปลง M9 ซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวเมาะตะมะ ทางตอนใต้ห่างจากเมืองย่างกุ้งประมาณ 300 กิโลเมตร ในประเทศสหภาพพม่า

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 บริษัทจะพยายามรักษากำไรสุทธิให้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ 1.39 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัททำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ที่ 63-79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในปริมาณ 2.8 หมื่นบาร์เรลต่อวัน

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ซื้อเต็มที่" สำหรับหุ้น PTTEP ราคาเป้าหมาย 180 บาท โดยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิและ Fair Value ของ PTTEP ขึ้นเป็น 180 บาท แม้ทางบริษัทมีการปรับลดประมาณการผลผลิต ลง 5-6% และปรับลด CAPEX ลง 5-6% กลับเป็นเรื่องที่ดีต่อ Fair Value ของ PTTEP เนื่องจากปัจจุบัน PTTEP มี CAPEX ในปี 2550 สูงถึง 58,000 ล้านบาท และยังสูงต่อเนื่องในระดับ 50,000 ล้านบาทในปีหน้า แต่หากปรับลด CAPEX ลงส่งผลให้ DCF ของบริษัทเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดีการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม PTT มีความครบวงจรอย่างมาก และทุกสายผลิตภัณฑ์ ทั้งท่อก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ล้วนมีต้นกำเนิดจากธุรกิจขุดเจาะและสำรวจของ PTTEP

ทั้งนี้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2550 เป็นต้นไปจากปริมาณการผลิตช่วง ครึ่งปีแรกของปี 2550 ของ PTTEP อยู่ที่ 171,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 175,000 บาร์เรลต่อวัน โดยแยกเป็นไตรมาส 1/2550 ผลิตได้ 171,000 บาร์เรลต่อวัน และไตรมาส 2/2550 ผลิตได้ 179,000 บาร์เรลต่อวัน หากจะให้เป็นไปตามประมาณการทั้งปี PTTEP ต้องผลิตในงวดครึ่งปีหลังในระดับ 188,000 บาร์เรลต่อวันดังนั้นจึงแนะนำ ?ซื้อเต็มที่?

ราคาหุ้น PTTEP ( 3 ส.ค.50 ) ปิดซื้อขายที่ 123.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 616.09 ล้านบาท


:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 06/08/2007 @ 10:38:45 :
กลยุทธ์เล่นหุ้นวันนี้-บล.กิมเอ็ง

กลยุทธ์หุ้น

- ซื้อ THAI จากการมีปัจจัยบวกกระตุ้น
ต้นทุนพลังงานที่ต่ำลงเป็นผลบวกต่อ THAI นอกจากนี้การแข็งค่าของเงินบาทก็ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ที่สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ โดยราคาหุ้นซื้อขายกันที่ระดับ PER น่าสนใจต่ำกว่า 8 เท่า

- MCS แนะนำซื้อจากผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่น
คาดแนวโน้มไตรมาสสองจะกระเตื้องขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะเติบโตจากไตรมาสก่อนถึง 133% เป็น 80 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.16) และโดดเด่นอย่างมากในครึ่งปีหลัง จากงานในมือเกือบ 55,000 ตัน โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ต่ำเพียง 6.2 เท่า

- ขาย PTTEP จากระดับราคาหุ้นที่สูง
PTTEP ซื้อขายกันที่ระดับ PER ถึง 14 เท่า มีแนวโน้มจะเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักในวันนี้หลังจากราคาน้ำมันอ่อนตัวลงมา นอกจากนี้ปัญหาทางเทคนิคในหลุมโอมานและนางนวลก็สนับสนุนแรงเทขายอีกทางหนึ่งด้วย

หุ้นน่าจับตา
หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ จะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการที่กลต.เพิ่มหลักประกันในบัญชีซื้อขายหุ้นของลูกค้ารายย่อยจาก 10% เป็น 15% เราไม่เชื่อว่ามาตรการนี้จะขจัดการเก็งกำไรออกไปได้หรือจะมีผลประกอบอย่างมีนัยสำคัญต่อปริมาณการซื้อขาย โดยการซื้อขายรายวันนั้นจำกัดอยู่ในนักลงทุนกลุ่มหนึ่งๆเท่านั้น ในทางกลับกันเรามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เนื่องจากปริมาณการซื้อขายยังหนาแน่นในการฟื้นตัวครึ่งปีหลังนี้ เราเชื่อว่าการอ่อนตัวของตลาดเป็นโอกาสอันดีในการเข้าไปซื้อหุ้นหลักทรัพย์คุณภาพดี เช่น ASP และ PHATRA

จากข่าว Digitimes.com CCET ได้รายงานยอดขายเดือน ก.ค. สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 240.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 25% จากเดือนก่อนหน้าและ 39% จากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีแรงผลักดันสำคัญจากการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ลูกค้าในอินเดียเป็นจำนวนมากกว่า 1 ล้านเครื่องในเดือน ก.ค. (จากคำสั่งซื้อทั้งหมด 12 ล้านเครื่อง) ถือเป็นแนวทางเดียวกับที่เราคาดไว้ว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากในไตรมาส 3/50 ยิ่งไปกว่านั้นแนวโน้มในอนาคตค่อนข้างสดใสหลังสามารถเจาะตลาดอินเดียซึ่งเป็นตลาดโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของโลก เราคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 7.30 บาทและอัตราเงินปันผลตอบแทน 5.8%

บทวิเคราะห์วันนี้
- MCS <3.86 บาท : ซื้อ> คาดแนวโน้มไตรมาสสองจะกระเตื้องขึ้นมากกว่าคาดก่อนหน้านี้ และโดดเด่นอย่างมากในครึ่งปีหลัง จากการรับรู้งานที่ล้นมือไปถึงปีหน้า
- GMMM <8.55 บาท : ซื้อ> แม้กำไรจะลดลงในไตรมาส 2/50 แต่แนวโน้มยังเป็นบวก
- DELTA <23.80 บาท : ถือ> คาดรายงานกำไรปกติ 573 ล้านบาทในไตรมาส 2 ใกล้กับไตรมาสก่อน
- VNG <5 บาท : ซื้อ> สายการผลิต MDF ใหม่เข้ามาเสริมรายได้ในไตรมาส 2/50

สรุปข่าว
คลังแห้วปันผล AOT คิงเพาเวอร์ทำพิษ (ข่าวหุ้น 06/08/50) : AOT ส่อแววปิ๋วจ่ายปันผลระหว่างกาล วงในแย้มยังไม่มีความคิดตอนนี้ เหตุหลายปัญหารุมกระหน่ำปิดรับรายได้คิง เพาเวอร์ปีละกว่า 3 พันล้านบาท ปรับโครงสร้างองค์กร ภาระค่าเสื่อมสุวรรณภูมิพุ่งปีละ 6 พันล้านบาท

PTTEP การันตีงบ Q3 แรงไม่มีตก ราคาก๊าซฯขยับต่อเนื่อง ปลายเดือนสรุปแผนปรับหนี้ (ข่าวหุ้น 06/08/50) : "มารุต" มั่นใจงบไตรมาส 3 ยังโต แม้ไร้เงาโครงการใหม่หนุน เชื่อครึ่งปีหลังน้ำมันไปต่อเหตุพายุเฮอริเคนและความต้องการใช้น้ำมันสหรัฐ ดันราคาขยับ สั่งเร่งผลิตแหล่งโอมาน-นางนวลและเอส 1 สบช่องราคาก๊าซพุ่ง ปลายเดือนนี้เล็งปรับแผนลงทุนรับมือบาทแข็ง

ชู WORK-GRAMMY ปันผลดีสุด Dividend Yield สูงถึง 5% ลุ้นจ่ายระหว่างกาล (ข่าวหุ้น 06/08/50) : สำรวจหุ้นกลุ่มบันเทิง WORK-GRAMMY จ่ายปันผลดีสุด มีทั้งระหว่างกาลและงวดปลายปี Dividend Yield ทั้งปีสูงกว่า 5% โบรกฯ คาดไตรมาส 2 ทั้งกลุ่มกำไรโต 23% จากควอเตอร์ 1 เป็น 1.3 พันล้านบาท และถ้าดูด้านกำไร MAJOR-WORK-BEC เติบโตสูงสุด

เคจีไอฯเล็งออกกองทุนอสังหาฯ (ผู้จัดการ 06/08/50) : บล.เคจีไอฯ ฟุ้งผลงานไตรมาส 2/50 กำไรสุทธิสูงกว่าไตรมาสแรก หลังทยอยรับรู้กำไรจากพอร์ตลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้ พร้อมรักษาเป้ามาร์เกตแชร์ไว้ที่ 4.2% ด้านผู้บริหารเผยเตรียมคลอดกองทุนอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 2-3 พันล้านบาทภายในไตรมาส 4 นี้

CK ต้องซื้อลงทุน กินรวบโปรเจกต์ใหญ่ (กระแสหุ้น 06/08/50) : "ช.การช่าง" มั่นใจจะชนะงานประมูลโครงการรถไฟฟ้าสีแดง จ้องคว้าอีกหลายโครงการในครึ่งปีหลัง แย้มน้ำงึม 2 เสร็จก่อนกำหนดแน่ ครึ่งปีแรกโกยรายได้ 1.4 หมื่นล. ยังมีงานในมือรอรับรู้รายได้อีกกว่า 2.3 หมื่นล. ส่วน "น้ำประปาไทย" อยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่ง คาดกระจายหุ้นเข้าตลาดหุ้นได้ในไตรมาส 4 นี้

MINT ดีเดย์ไตรมาส 3 คลอดหุ้นกู้ 1 หมื่นล้าน ยันปีนี้กำไรโตพุ่ง 20% (กระแสหุ้น 06/08/50) "ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" ดีเดย์ออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล. ในไตรมาส 3 นี้ รับแผนลงทุนซื้อแบรนด์เครื่องดื่มดังจากต่างประเทศยังไม่ได้ข้อสรุป ย้ำกำไรเติบโตตามเป้าปีนี้ 20% เปิดเพิ่ม 1 โรงแรมครึ่งปีหลัง


โดย บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 6 ส.ค.2550



:lol: [/color:2be3670163">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 06/08/2007 @ 10:41:09 :
กลยุทธ์เล่นหุ้นวันนี้-บล.กรุงศรีอยุธยา


Investment Strategy: ขายหุ้น 20% ของพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง
เนื่องจากความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกที่สูงกว่าที่เราคาดไว้ ทำให้เป้าหมายการ Rebound ระยะสั้นของเราบริเวณ 860 ? 876 ได้ถูก ?ยกเลิก? ออกไป อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานไม่ว่าจะเป็น 1.อัตราการขยายตัวกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า 2.เศรษฐกิจที่คาดว่าจะ Bottom ในช่วง 2Q50 และ 3.ความชัดเจนทางการเมือง หลังการทำประชามติ ทำให้เรามองว่า SET จะมีแนวโน้มแข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในระยะกลาง และยังคงเป้าหมายในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่ 930 ? 1,000 จุดต่อเนื่อง...ทั้งนี้จากความเสี่ยงการปรับลดลงที่สูงขึ้นอีกครั้ง เราแนะนำนักลงทุนขายหุ้น 20% ของพอร์ตออกไปก่อน โดยเหลือหุ้นในพอร์ต 80% โดยกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งกว่าตลาดจะเป็นกลุ่มหุ้น Defensive อย่าง หุ้นกลุ่มไฟฟ้า โรงพยาบาล ได้แก่ EGCO, RATCH, ROJANA, BGH, TNH, และ KH

Defensive Play - EGCO, RATCH, ROJANA, BGH, TNH, KH

AUTO: ยังไม่เห็นหุ้นใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มนำ (มี Price Momentum แข็งแกร่ง)...เป็นสัญญาว่าตลาดจะยังไม่จบการพักฐาน
Upgrade -
Downgrade - PTT, PTTEP, KBANK, TOP, SHIN, GLOW, LPN
Top Picks - RRC, AP, -TOP
Note: หุ้น Top Picks คือหุ้นที่เราคัดสรรมาให้แล้ว ในขณะที่เครื่องหมาย + หมายถึงเพิ่มเข้า, และ ? หมายถึงนำออก

ธปท ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2550 ขึ้นเป็น 4.0 ? 5.0% ตามคาด (Quoted on 31 ก.ค. 50) ธปท. ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2550 สูงขึ้นเป็น 4.0 ? 5.0% จากเดิมที่ 3.8 ? 4.8% ตามที่เราได้คาดไว้ในรายงานเดือน ก.ค. (รายงานทิศหุ้น) โดยประเด็นที่ทำให้ ธปท. ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจคือ 1.ภาคการส่งออกที่ดีกว่าที่คาดไว้เดิม จนมีผลทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลมากกว่าที่คาดไว้เดิม โดยคาดว่าดุลการค้าจะเกินดุล US$5.5 ? 7.5 พันล้าน และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล US$7.0 ? 9.0 พันล้าน ในขณะที่ภาคการลงทุนคาดว่าจะขยายตัวลดลงจากประมาณการเดิม โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5 ? 2.5%


ตลาดต่างประเทศ และประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในตลาดโลก
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดดิ่งรุนแรงในวันศุกร์ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลงรุนแรงประมาณ 2.09-2.66% โดยมีปริมาณซื้อขายหนาแน่น โดยที่หุ้นกลุ่มการเงินเป็นปัจจัยฉุดตลาดอย่างชัดเจนจากปัญหาหนี้ซับไพรม์ ซึ่งทำให้นักลงทุนพากันระบายความเสี่ยงในตลาดตราสารหนี้ออกมา หุ้นแบร์ สเติร์นส์ ปรับลดลง 6% จากความกังวลเกี่ยวกับด้านการปล่อยกู้จำนองซึ่ง S&P ได้ปรับลดแนวโน้มตราสารหนี้สู่เชิงลบ การดิ่งลงของดัชนีทำให้ตลาดต้องใช้ Trading curbs เพื่อระงับการซื้อขายชั่วคราว นอกจากนี้ภาวะการจ้างงานที่ประกาศโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. โดยที่อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.6%

ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ร่วงลง 1% ตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับลดลง 1% มาที่ 74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลโดยมีข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่แย่ลงโดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน และมีปัจจัยเสริมจากการปรับลดระดับการคาดการณ์จำนวนพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติคในปีนี้ การปรับลดลงครั้งนี้เป็นการปรับลงจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ US$78.77 ต่อบาร์เรลก็ตามราคาน้ำมันได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกลุ่มประเทศโอเปคว่าจะไม่เพิ่มการผลิตในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 11 ก.ย. และตลาดยังคงคาดการณ์แนวโน้มเชิงบวกที่มีต่อราคาน้ำมันในปีนี้

ดอลล่าร์สหรัฐทรงตัวแม้ว่าตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้มีความผันผวน แม้ว่าตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนสูง แต่ค่าเงินดอลล่าร์ยังอยู่ในระดับทรงตัวที่ 119.15 เยน ทรงตัวเทียบกับวันพฤหัสบดี ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการย้ายเงินทุนกลับเข้ามาในสหรัฐ อย่างไรก็ตามแนวโน้มของค่าเงินดอลล่าร์ยังอยู่ในภาวะที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวจากการระบาย Carry trade ที่ยังคงไม่สิ้นสุด

ดัชนีค่าระวางเรือเทกองเพิ่มขึ้น 7 จุด ปิดที่ 7,007 จุด ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าระวางเรือในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการเรือขนาดกลาง-เล็ก จาก US Gulf อเมริกาใต้ และอัฟริกาฝั่งตะวันตก เพื่อขนส่งสินค้าประเภทซีเมนต์สำหรับการก่อสร้าง รวมทั้งสินค้าแห้งเทกองอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีการคาดการณ์กันว่า ความต้องการถ่านหินเพื่อผลิตพลังงงานไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้น (ซึ่งหมายถึงระวางเรือเทกองจะมีความต้องการมากขึ้น) จากสาเหตุที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวหลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา


กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์: เสนอออกกฎคุมโฆษณาขนมเด็ก
คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างระเบียบโฆษณาขนมเด็ก เสนอออกกฎควบคุมโฆษณาขนมเด็กหลายมาตรการ ประเด็นสำคัญๆ ได้แก่ การกำหนดระยะเวลาและความถี่ในการออกอากาศให้สามารถโฆษณาได้ไม่เกิน 8 นาทีต่อรายการ 1 ชั่วโมง โดยนับรวมเวลาที่ใช้ในการโฆษณาแฝงด้วย การงดส่งเสริมการขายโดยการให้รางวัลและงดการใช้เด็ก หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้เสนอสินค้า โฆษณาขนมเด็กต้องไม่มีเนื้อหาเชิญชวนให้บริโภค และต้องแสดงคำเตือนในการบริโภคขนมเด็ก ทั้งนี้จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) กรมประชาสัมพันธ์ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 15 ส.ค. 40 นี้ เพื่อเป็นร่างบังคับใช้ออกมาอย่างเป็นทางการ (กรุงเทพธุรกิจ)

ความเห็นและคำแนะนำ
มาตรการดังกล่าวหากนำมาบังคับใช้จริง ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณามากนัก เพราะสินค้าประเภท Snack Food มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 1% ของเม็ดเงินโฆษณาโดยรวม ขณะที่มาตรการดังกล่าวไม่ได้ถึงกับห้ามโฆษณา เพียงแต่ลดเวลาลงเหลือ 8 นาที (จากปกติจะโฆษณาได้ประมาณ 10-12 นาทีต่อรายการ 1 ชั่วโมง) หากพิจารณาจากผังรายการ เราคาดว่า MCOT น่าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากกว่า BEC เนื่องจากผังรายการในวันเสาร์-อาทิตย์ในช่วงเช้าของ MCOT ส่วนใหญ่จะเป็นรายการการ์ตูน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานีโทรทัศน์ และผู้ผลิตภาพยนตร์โฆษณา จะปรับรูปแบบของภาพยนตร์โฆษณาให้เป็นไปตามร่างระเบียบดังกล่าวได้ คงคำแนะนำ Neutral สำหรับหุ้นกลุ่มสื่อ โดยมีหุ้น Top Pick คือ BEC (ซื้อ, Fair Price 28.50 บาท) WORK (ซื้อ, Fair Price 22.50) และ GRAMMY (ซื้อ, Fair Price 11 บาท)

News in Brief

SET: มั่นใจระบบ ATO-ATC มีประสิทธิภาพ
SET ยืนยันว่าระบบ ATO และ ATC ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเท่าที่ใช้มาเป็นเวลากว่า 1 ปี ก็ไม่มีปัญหามาก อีกทั้งยังผ่านการสำรวจความเห็น (เฮียริ่ง) จากโบรกเกอร์โดยรวมแล้ว ทั้งนี้ยอมรับว่าหากเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องการซื้อขายต่ำก็อาจมีปัญหาเรื่องการเหวี่ยงตัวของราคาหุ้นบ้าง เพราะระบบนี้ไม่ได้นำราคาที่ดีที่สุดมาจับคู่กัน แต่จะนำราคาที่มีผู้เสนอซื้อและเสนอขายเข้ามามากที่สุดจับคู่เข้าด้วยกัน (กรุงเทพธุรกิจ)

ASCON: ลุยงานก่อสร้างตะวันออกกลาง
ASCON ได้ลงนามสัญญาบันทึกความร่วมมือหรือ MOU ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อร่วมทุนจัดตั้งบริษัทลงทุนก่อสร้างโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สูง 10 ชั้น มูลค่าโครงการรวม 600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งบรัท แอสคอน เอมิเรตส์ เข้าไปรับงานก่อสร้างที่เมืองอาบูดาบี ด้วยทุนจดทะเบียนเบื่องต้น 10 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 30 ชั้น ศูนย์การค้าและที่พักอาศัยแบ่งเป็น 3 เฟส คาดว่าจะเข้าไปพัฒนา 2 เฟส มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท (โพสต์ทูเดย์)

ASIAN: รับผลประกอบการไตรมาส 2 ยังขาดทุน
ASIAN เผยแนวโน้มผลประกอบการ 2Q50 น่าจะยังประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องจาก 1Q50 ที่มีผลขาดทุน 156.29 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักเกิดจากสินค้าปลาทูน่าที่ถือเป็นสินค้าส่งออกตัวใหม่ที่ต้องใช้การปรับตัวในการทำการตลาดประกอบกับวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยปีนี้จะพยายามทำผลประกอบการให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ระดับ 30% ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในปี 49 ASIAN มีรายได้รวม 7,923.96 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22.31 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายมากถึง 7,716.90 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ)

MBAX: วาง 3 สูตรบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
MBAX ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงพลาสติกคุณภาพสูงหลายประเภท เผนจากการที่ค่าเงินบาทแข็งจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการแม้ว่าบริษัทจะมีรายได้จากการส่งออก 100% เนื่องจากบริษัทจัดการความเสี่ยงด้วยการ 1.สั่งซื้อวัตถุดิบ 50-55% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ 2.ปรับราคาขายกับลูกค้า 25% ของราคาขายซึ่งส่วนมากจะเป็นลูกค้าระยะยาว และ 3.ซื้อประกันความเสี่ยงล่วงหน้าทุกไตรมาสประมาณ 10% ของยอดขาย ทั้งนี้ MBAX ประมาณการรายได้ไว้ที่ 1,600 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้น 13-15% และอัตรากำไรสุทธิที่ 6-8% (กรุงเทพธุรกิจ)

PTL: รับรายได้-กำไรปีนี้ไม่เพิ่มขึ้น
PTL เผยรายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบ คือเม็ดพลาสติกซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อีกทั้งบรัทไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายได้จากภาวะการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง โดยผลประกอบการปีที่แล้ว (1 เม.ย. 49 ? 31 มี.ค. 50) มีรายได้รวม (งบเฉพาะกิจการ) มูลค่า3,543 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.86% จากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 341.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิลดลง 39.06% จากปีก่อนหน้า สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ 2Q50 คาดว่าจะใกล้เคียงกับ 1Q50 ที่มีรายได้รวม 859.24 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.94 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ)

โดย บมจ. หลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา ประจำวันที่ 6 ส.ค. 2550



 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 06/08/2007 @ 10:48:09 :
กลยุทธ์เล่นหุ้นวันนี้-บล.นครหลวงไทย


ซื้อสะสม EGCO / RATCH / HMPRO / AP
ลดพอร์ต -
เก็งกำไร BEC / CCET / MCS

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

SCIBS มีความเห็นเป็น Negative ต่อการลงทุนในวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังคงปรับฐานต่อเนื่องตามตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วง 281.28 จุดเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหา Subprime Mortgage ที่อาจขยายวงกว้างมากกว่านี้ อีกทั้ง Yen/US$ แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบต่อ Carrde อีกเช่นกัน อีกทั้งนักลงทุนทั่วโลกต่างรอฟังผลการประชุมเฟดที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เกี่ยวกับประเด็นของ Subprime และเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ขณะที่ภาวะการลงทุนในประเทศ ยังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นภาวะการลงทุนในช่วงนี้ ยกเว้นเพียงการประกาศผลการดำเนินงาน Q2/50 ที่จะทยอยประกาศตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นเพียง Selective Buy ในหุ้นบางตัวเท่านั้น ขณะที่ตลาด Future นักลงทุนต่างชาติยังคงเปิดสถานะ Short สุทธิอีก 196 สัญญา เมื่อวันศุกร์ สะท้อนถึงภาวะการลงทุนในช่วงสั้นยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ ?ซื้อเก็งกำไร? ในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีผลการดำเนินงานใน Q2/50 เติบโตต่อเนื่อง พร้อมกับการจ่ายเงินปันผลสำหรับงวด 1H/50 เช่น SAT / SPALI / CCET / BEC / MCS เป็นต้น สำหรับหุ้นขนาดใหญ่ แนะนำ ?ทยอยลดพอร์ตการลงทุน? ในระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน หรืออาจหันไปลงทุนในหุ้น Defensive อย่าง EGCO / RATCH / IT / HMPRO เป็นต้น ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ และจ่ายเงินปันผลสูง

ประเด็นสำคัญวันนี้
- ศูนย์ประชามติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำรวจความคิดเห็นประชาชนในทุกภาคทั่วประเทศ จำนวน 3,470 คน ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2550 ในหัวข้อ ?การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ : ควรเห็นชอบหรือไม่? ร้อยละ 55.9 คิดว่าควรเห็นชอบ ร้อยละ 34.8 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 9.4 คิดว่า ไม่ควรเห็นชอบ

ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ประเด็นข่าว : จาก ธปท. รายงานตัวเลขในภาคพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประจำเดือน พ.ค. 2550 พบว่ามูลค่าการซื้อขายที่ดินทั้งประเทศเท่ากับ 47,080 ล้านบาทลดลง 5.8% yoy โดยการขออนุญาตก่อสร้างก่อสร้างที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ ลดลงในทิศทางเดียวกันโดยมีพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง 488,000 ตร.ม. ลดลง 62% yoy ในขณะที่ตัวเลขที่ที่อยู่อาศัยจดทะเบียนใหม่เท่ากับ 5,197 หน่วยเป็นสัดส่วนของแนวราบ 85% และคอนโดมิเนียม 15% ส่งผลให้ตัวเลขที่อยู่อาศัย 5M/50 เท่ากับ 26,382 หน่วย

ความเห็นและคำแนะนำ : SCIBS ประเมินว่าการจำนวนการซื้อขายที่ดินและพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในเดือน พ.ค. 2550 ลดลงเนื่องจากใน 1H/50 ผู้ประกอบการส่วนมากโดยเฉพาะในโครงการแนวราบยังคงมีสินค้าเหลือขายอยู่ประกอบกับในปี 2549 เป็นช่วงของการบังคับใช้ผังเมือง กทม. ใหม่ส่งผลให้มีผู้ประกอบการส่วนมากเร่งการซื้อที่ดินและขออนุญาตก่อสร้างเพื่อใช้ประโยชน์จากผังเมืองเก่า อย่างไรก็ตาม SCIBS คาดว่าการพัฒนาของภาคอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นใน 2H/50 โดยกลุ่มที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของทั้งอุปสงค์และอุปทานมากที่สุดคือที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1H/50 ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ทรงตัวในระดับต่ำ SCIBS เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคทำการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นกว่า 1H/50 ที่ผ่านมา ส่วนโครงการประเภทคอนโดมิเนียมใน 2H/50 คาดว่าจะมีการเปิดขายโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องแต่อุปสงค์ส่วนใหญ่ได้ถูกดุดซับไปใน 1H/50 แล้วดังนั้นในบางโครงการจะเกิดการชะลอตัวของอัตราการขาย

หุ้นเด่น...ประจำวัน
BEC SCIBS ประเมินผลการดำเนินงาน 2Q/50 ของ BEC ไว้ที่ 624 ล้านบาท เป็นไตรมาสที่มีกำไรสุทธิสูงสุดของ BEC เนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้ผลจากการปรับผังรายการและค่าโฆษณาในช่วงไพร์มไทม์ตั้งแต่เดือนมี.ค. 2550 เป็นไตรมาสแรก นอกจากนี้ SCIBS ประเมินว่า BEC จะจ่ายเงินปันผล 0.35 บาท/หุ้น หลังประกาศงบ Q2/50 ส่วนที่เหลืออีก 0.65 บาทจะจ่ายหลังจากปิดงบปี 2550 ขณะที่ประเด็นเรตติ้งนั้น SCIBS เชื่อว่า ทั้ง 3 ฝ่าย คือ หน่วยงานรัฐ ? สถานี ? ผู้ผลิตรายการจะสามารถหาทางออกที่ลงตัวได้ ก่อนเริ่มใช้จริง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งอุตสาหกรรม SCIBS แนะนำ ?ซื้อ? ราคาเหมาะสม 27.77 บาท

DERIVATIVE MARKET Trading short
ปัจจัยที่มีอิทธิพล :
- ดาวโจนส์ปิดลดลง 281 จุด
- ขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้าหนุนภาวการณ์ลงทุนในระยะนี้
- กลยุทธ์การลงทุน : แนะเปิด Short ใน S50U07 ที่ 578-582 จุด และปิดทำกำไรที่ 565-570 จุด
- กรอบการเคลื่อนไหว SET50: เคลื่อนไหวในกรอบ 580-596
- S50U07 ระหว่าง 563-575
- Turning point : S50U07 > 585 ปิด short

TECHNICAL UPDATE Sideway down 815- 835
- SCIBS คาดว่าดัชนีตลาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 815-835 จุด
- สัญญาณทางเทคนิคฯ เมื่อวานแสดงสัญญาณการพักตัวแต่ยังอยู่ใต้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 5 10 และ 25 วันอยู่ และเกิดวอลุ่มบางต่อเนื่องสองวันทำการ จึงมองว่าการปรับฐานมีโอกาสเกิดขึ้นสูงในวันนี้ คาดว่าจะทดสอบ 815 จุด ทิศทางตลาดในวันนี้จะจะยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway down ต่อไป
- SCIBS แนะนำ ?รอซื้อเก็งกำไรที่แนวรับ และ trading ในกรอบแคบ? เช่น TOP / BBL / STEC

Stock Comment
MINT MINT เตรียมออกหุ้นกู้ Re-finance ใน Q3/50 คาดปีนี้กำไรโตเพิ่ม 20% (กระแสหุ้นรายวัน)
ความเห็นนักวิเคราะห์ : หลังจากการเปิดตัว brand St.Regis Hotel and Residences สำหรับโครงการบนถนนราชดำริไปแล้ว MINT ได้วางแผนสำหรับการเติบโตด้านธุรกิจโรงแรมโดยในครึ่งหลังนี้บริษัทจะทำการเปิดโรงแรมอนันทรา เซมินยัค ที่ประทศอินโดนีเซีย 1 แห่งและในปี 2551 จะทำการเปิดโรงแรมเพิ่มอีก 4 แห่ง คือ โรมแรมอนันทรา เวียดนาม 1 โรงแรม โรงแรมอนันทราที่ดูไบ 2 โรงแรม และที่โรงแรมอนันทราภูเก็ตอีก 1 โรงแรม ส่วนธุรกิจร้านอาหารนั้น ตั้งเป้าในอีก 4 ปีข้างหน้า จะเปิดสาขาร้านอาหารในต่างประเทศให้ได้ 300 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ประเทศจีน และประเทศในตะวันออกลาง ประมาณ 70 สาขา ส่วนสาขาร้านอาหารในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันมีสาขาอยู่ประมาณ 100 กว่าสาขา นอกจากนี้ MINT อยู่ระหว่างการศึกษาแผนซื้อธุรกิจเครื่องดื่มในต่างประเทศซึ่งคาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท ขณะเดียวกัน MINT มีแผนที่จะออกหุ้นกู้เพื่อ re-finance หุ้นกู้ชุดเดิมที่จะหมดอายุในเร็วๆนี้ โดยวงเงินที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท และ MINT เตรียมเงินลงทุน (CAPEX) ทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนในธุรกิจโรงแรม อาหาร และอื่นๆในช่วงระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า

คำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐาน :
- SCIBS ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อ MINT โดยคาดว่า MINT จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องสนับสนุนจากการเติบโตของทั้งด้านธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรม
- ณ สิ้น Q1/50 MINT มีโรงแรมในมือทั้งหมด 2,358 ห้องทั้งในและนอกประเทศหลังจากเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งใน Q1/50 อย่างไรก็ตามในปี 2550 MINT จะเปิดโรงแรมอนันตรา บาหลี ซึ่งเป็นโรงแรมที่ MINT รับบริหารเพียงอย่างเดียวอีก 59 ห้อง ตามนโยบาย Asset Light
- ส่วนโรงแรมใหม่ในปี 2551 รวมถึง โรงแรมอนันตรา เขาหลัก และ ภูเก็ต และการรับบริหารโรงแรมอีก 2 แห่งในดูไบ และโครงการ timeshare ในภูเก็ต ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยในการสนางการเติบโตที่มั่นคงให้กับ MINT ได้

- สำหรับธุรกิจอาหาร MINT มีสาขารวม 644 สาขาซึ่งแบ่งเป็นสาขาในประเทศ 590 แห่งและสาขาต่างประเทศ 54 แห่งอย่างไรก็ตามเพื่อรักษาอัตราการเติบโตของธุรกิจอาหารให้ต่อเนื่องหลังจากที่ใน Q1/50 MINT มีรายได้จากธุรกิจอาหารสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ SCIBS คาดใน Q2 ? Q4/50 MINT จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 59 แห่งโดย SCIBS คาดว่าจะเป็นสาขาที่ MINT เป็นเจ้าของเอง 30 แห่ง ส่วนที่เหลืออีก 29 แห่งจะเป็นการขายแฟรนไชด์ โดย ณ ปลายปี 2553 MINT จะขยายสาขารวมทั้งสิ้น 1,151 สาขาทั้งในและต่างประเทศ

- SCIBS คาดว่า MINT จะสามารถเติบโตต่อเนื่องในระดับสูงในปี 2550 และ 2551 โดยคาดว่าในปี 2550 MINT จะมีรายได้เท่ากับ 12,926 ล้านบาทเป็นอัตราการเติบโต 13% yoy และคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 21% yoy เท่ากับ 1,544 ล้านบาทส่วนในปี 2551 คาดรายได้จะเติบโตต่อเนื่องที่ 11.3% yoy และกำไรสุทธิเติบโต 14.1% yoy

- จากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี Discounted Cash Flow ที่ WACC เท่ากับ 10.5% และ Terminal Growth Rate ที่ 7.5% SCIBS ได้ราคาที่เหมาะสมในปี 2551 เท่ากับ 17.20 บาทต่อหุ้น SCIBS จึงยังคงคำแนะนำเดิมที่ ?ซื้อ?
มุมมองทางเทคนิค : MINT ราคาหุ้นมีแนวโน้มปรับลง หลังจากหลุดที่เส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วันลงมา แนะนำ ขายออกไปก่อน แนวรับ 14.30 บาท แนวต้าน 15.10 บาท



:lol: [/color:cc268be613">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 06/08/2007 @ 13:34:10 :
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดเช้าลบ 18.58 จุด ปรับฐานตามตลาดตปท.กังวลซับไพร์มลุกลาม

SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 819.15 จุด ลดลง 18.58 จุด (-2.22%) มูลค่าการซื้อขาย 10,401 ล้านบาท ตลาดหุ้นปรับฐานตามตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากกังวลปัญหา Sub-prime Mortgage Loan ของสหรัฐที่จะลุกลามไปยังสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง การปรับฐานทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชียวันนี้ติดลบ 2-3% บ่ายนี้ยังคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในแดนลบ แรงขายปรับพอร์ตจากนักลงทุนต่างชาติยังมีอยู่

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 819.15 จุด ลดลง 18.58 จุด(-2.22%) มูลค่าการซื้อขาย 10,401 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 821.79 จุด และทรุดตัวลงหนักแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 813.14 จุด

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นโดยรวมปรับฐานตามตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากมีความวิตกเกี่ยวกับปัญหา Sub-prime Mortgage Loan ของที่สหรัฐว่าจะลุกลามไปยังสินเชื่อที่ยังมีความเสี่ยงสูงและทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีการปรับพอร์ตขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาและโยกเข้าหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เช่น ตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตร เป็นต้น

"การปรับฐานทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะแถบเอเชียวันนี้ติดลบ 2-3% ถ้วนหน้า และทำให้หุ้นไทยย่อลงระดับไล่เลี่ยกันกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน"นายพิชัย กล่าว

แนวโน้มช่วงบ่ายยังเคลื่อนไหวในแดนลบและช่วงนี้เชื่อว่ายังมีแรงขายปรับพอร์ตจากนักลงทุนต่างชาติอยู่คงมีความกังวลเรื่องแรงขายเพื่อสำรองเงินสดเผื่อการไถ่ถอนของผู้ถือหน่วยลงทุนต่างๆ ด้วย
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,119.64 ล้านบาท ปิดที่ 294.00 บาท ลดลง 8.00 บาท
RRC มูลค่าการซื้อขาย 1,068.40 ล้านบาท ปิดที่ 23.70 บาท ลดลง 0.70 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 894.38 ล้านบาท ปิดที่ 118.00 บาท ลดลง 5.00 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 739.18 ล้านบาท ปิดที่ 118.00 บาท ลดลง 6.00 บาท
TOP มูลค่าการซื้อขาย 638.76 ล้านบาท ปิดที่ 77.50 บาท ลดลง 2.00 บาท

--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 06/08/2007 @ 13:36:11 :
[b:b6650b36f3">BROCK บวก 2.99%ทำนิวไฮใหม่ โบรกฯชี้โครงการรร.-บ้านจัดสรรขายต่างชาติคืบ [/b:b6650b36f3">

หุ้น BRCOK บวก 2.99% อยู่ที่ 1.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท เมื่อเวลา 10.46 น. โดยเปิดตลาดที่ 1.32 บาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 1.40 บาท และราคาปรับลงต่ำสุดที่ 1.32 บาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า หุ้น BROCK ปรับขึ้นสวนตลาดวันนี้ เป็นเรื่องของการที่บริษัทจะโอนที่ดินไปทำโครงการโรงแรม บ้านจัดสรรขายต่างชาติเป็นโครงการที่มีความคืบหน้ามาเรื่อยๆและใกล้เกิดขึ้น และประเมินว่าถ้ามีกำไรการขายคงอยู่ประมาณ 110-140 ล้านบาท ให้ราคาเป้าหมายที่ 1.68 บาท ยังซื้อได้


[b:b6650b36f3">UKEM พุ่ง 10.42%เทรดคึกคัก โบรกฯคาด"เก็งกำไร"เทคนิคดี-ลุ้นทะลุ 2.14 บ. [/b:b6650b36f3">

หุ้น UKEM ราคาพุ่งขึ้น 10.42% มาอยู่ที่ 2.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 34.86 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.46 น. โดยเปิดตลาดที่ 1.92 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.14 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1.91 บาท
น.ส.ภัทรวัลลิ์ หวังมิ่งมาศ นักวิเคราะห์เทคนิค บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ราคาหุ้น UKEM พุ่งขึ้นในเช้านี้ ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน โดยช่วงนี้ตลาด SET อยู่ระหว่างการปรับฐาน นักลงทุนจึงหันมาเล่นหุ้นในตลาด MAI กันมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าตลาด MAI สามารถแซง SET ได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย โดยสังเกตุจากหุ้นหลายตัวในตลาด MAI ได้ทำ new high ไปแล้ว

อย่างไรก็ดี ตลาด MAI ถือได้ว่าเป็นตลาดที่ High Risk High Return มีการแกว่งที่ค่อนข้างแรง นักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนด้วย

ทั้งนี้ หุ้น UKEM มีด่านที่ 2.14 บาท ที่จะต้องทะลุไปให้ได้ หากทะลุได้ก็จะมีสัญญาณทางเทคนิคชัดเจนเป็นขาขึ้น และจะมีด่านถัดไปที่ 2.20, 2.26 บาท ส่วนแนวรับจะอยู่ต่ำมากที่ 1.91, 1.85 บาท
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com