May 17, 2024   2:13:47 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > +++++ 5 อันดับหุ้นที่วิ่งแรงสุดในปีนี้ ++++++
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/08/2007 @ 09:57:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ภาวะตลาดหุ้นและทิศทางดัชนีในรอบ 7 เดือนแรก เป็นช่วงขาขึ้นชัดเจนจากดัชนีที่ระดับ 679.84 จุด (31ธ.ค.49) มาอยู่ที่ระดับ 859.76 จุด (31 ก.ค.) เพิ่มขึ้น 179.92 จุด หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น โดยในเดือนก.ค. ถือเป็นเดือนที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาก เห็นจากสถานการณ์ของดัชนีที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี

สำหรับภาวะดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นกลุ่มบลูชิพ โดยเฉพาะหุ้นพลังงานที่นับว่าได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติอย่างหนาแน่น จนทำให้ยอดซื้อสุทธิ 7 เดือนที่ผ่านมามีมากถึง 127,603.51 ล้านบาท

ทั้งนี้แรงซื้อที่เข้ามามากในหุ้นขนาดใหญ่ ส่งผลให้หุ้น 50 อันดับแรกที่เพิ่มขึ้นสูงสุด มีหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาติดถึง10 ตัว ประกอบด้วย ATC,TTA,CP7-11,TOP,RCL,BANPU,CCET,PTTCH,CPN,และPTT ที่น่าสังเกตคือหุ้นกลุ่มปตท.เข้ามาติดหลายราย เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ได้รับแรงซื้อเข้ามาเป็นหลัก

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวแรงอันดับ 1 คือ RICH หรือ บริษัท ริช เอเชีย สตีล จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 333.17% มาที่ระดับ 8.75บาท จากเดิม 2.02 บาท ราคาหุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นแรงและเห็นได้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา อันเป็นผลมาช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นรายหลาย

โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา นายสรร ดงวรรณภักดี ได้เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มจำนวน9,219,100 หุ้น หรือคิดเป็น 1.84% ของจำนวนหลักทรัพย์ทั้งหมด จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 23,000,000 หุ้น โดย ภายหลังการได้มารวมเป็น 32,219,100 หุ้นหรือคิดเป็น 6.44% ของจำนวนหลักทรัพย์ทั้งหมด

ขณะเดียวกันกลุ่มตระกูล"ลีสวัสดิ์ตระกูล"เข้ามาไล่เก็บหุ้นทำให้หลายคนมองว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจเหล็กของบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL เนื่องจากธุรกิจGSTEEL เป็นธุรกิจเหล็กกลางน้ำจำพวกเหล็กแผ่น เหล็กรีดร้อน เหล็กรีดเย็น ส่วนRICHทำธุรกิจเหล็กขึ้นรูป (เหล็กปลายน้ำ) ซึ่งหากมีการควบร่วมกันจะเอื้อต่อธุรกิจของ 2บริษัท

นอกจากนี้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าหุ้นจะมีแนวโน้มเติบโตดี หลังบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้เอาไว้ที่ 7,000 ล้านบาท หรือขยายตัวประมาณ 20% นอกจากนี้การที่นโยบายภาครัฐมีการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ RICH ได้รับประโยชน์ตามไปด้วย เพราะสินค้าที่บริษัทขายอยู่มีฐานลูกค้าอยู่ในตลาดนั้นด้วย จึงทำให้ราคาหุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นแรง

อันดับ 2 TRAF หรือ บริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)โดยราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 302.17 % มาที่ระดับ 1.85 บาท (30 มิ.ย.) จากเดิมอยู่ที่ 0.46บาท (31 ธ.ค. 49) สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเป็นผลมาจาก TRAF ได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย"SP" เพื่อสั่งห้ามการซื้อขาย เป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จนกว่ากระบวนการลดทุนจะเสร็จสิ้น

ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2550 TRAF ได้แจ้งกับตลาดฯ ว่าดำเนินการลดทุนตามกระบวนการลดทุนเสร็จสิ้นแล้ว แต่เนื่องจากบริษัทไม่สามารถนำส่งงบการเงินประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ได้ทันตามกำหนด1 มีนาคม 2550 ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย SP ต่อ

หลังจากนั้นในวันที่ 10 เมษายน 2550 TRAF ก็ได้นำส่งงบการเงินประจำปีดังกล่าวมายังตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุญาตให้ซื้อขายหุ้นตามปกติ แต่จากการลดทุนดังกล่าวตลาดเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงปล่อยให้การซื้อขายไม่มีการกำหนดราคาสูงสุดและต่ำสุดในวันดังกล่าว

ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ 30% แต่จากสภาพเศรษฐกิจในปี 2550 ที่ตกต่ำลง ส่งผลให้ TRAF น่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20-25%

อันดับ 3 PT หรือ บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ปรับตัวขึ้นแรง 167.69% มาที่ระดับ3.48 บาท จากเดิม1.30 บาท ถือเป็นหุ้นที่นักลงทุนชอบเข้ามาเก็งกำไรสาเหตุที่หุ้นขึ้นแรงเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวลือการควบรวมกิจการระหว่าง PEและ PT จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องสั่งห้ามให้มีการซื้อขาย NetSettlementและ Margin Trading เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. - 20 เม.ย. 2550ที่ผ่านมา

เนื่องจากเห็นว่าการปรับตัวขึ้นของหุ้นรายนี้ไม่ได้มีปัจจัยหรือพัฒนาการใด ๆ ที่มีนัยสำคัญมารองรับ นอกเหนือไปจากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ตามปกติของบริษัทฯ อย่างไรก็ตามหุ้นรายนี้ก็ยังมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนจะอาศัยจังหวะที่ตลาดปรับตัวขึ้นแรงเข้าไปไล่ราคาอยู่บ่อยครั้ง

ส่วน บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้โต 15-20% จากปีก่อนมียอดขายรวม 1.4 พันล้านบาท ซึ่งตามปกติอัตราเติบโตของรายได้รวมจะมาจากบริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ซึ่งบริษัท พรีเมียร์ ถือหุ้นประมาณ 80% และปีนี้ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมไอที จะเติบโตประมาณ 15% หากเติบโตได้ตามที่คาดไว้ ยอดขายบริษัทน่าจะเติบโตใกล้เคียงกับภาพรวมอุตสาหกรรม

อันดับ 4 LIVE หรือ บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 160.49% มาที่ระดับ 4.22 บาท จากเดิมอยู่ที่ 1.62 บาท หุ้นรายนี้ถือเป็นหุ้นเก็งกำไรอีกตัวที่นักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยชอบเข้ามาไล่ราคา โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงชัดเจนตั้งต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงมีสาเหตุอีกประการคือ ได้มีกระแสข่าวในเรื่องการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ในปีนี้ ซึ่งสอดรับกับข่าวที่ระบุว่าบริษัทน่าจะสรุปในเรื่องการหาพันธมิตร เปลี่ยนแปลงผู้บริหาร รวมถึงการขายรายการแชนแนล วี ออกภายในไตรมาส 3 ซึ่งหากดำเนินการได้ตามที่มีข่าวบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ทันที

อย่างไรก็ตามล่าสุดราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาก ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องสั่งห้ามNetSettlement และMargin Trading อยู่บ่อยครั้ง โดยล่าสุด LIVE ห้ามซื้อขายชั่วคราวต่อไปอีก 30 วันทำการตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2550 ถึง 6 กันยายน 2550 เพื่อเป็นการป้องกันและระงับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่อาจส่งผลกระทบเสียหายต่อสภาพการซื้อขายโดยรวม เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าหุ้นรายนี้ไม่ได้มีพื้นฐานใดๆมารองรับราคาหุ้น

อันดับ 5 UCOM หรือ บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง144.44% มาที่ระดับ 82.50 บาท จากเดิม 33.75 บาทเป็นผลมาจากนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไร หลังบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ประกาศราคาเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) อยู่ระหว่าง 34-42 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้น UCOM แล้ว น่าจะมีส่วนต่างที่สามารถทำกำไรได้อีก ภายหลังการแลกหุ้น (สว็อป) ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคากันอย่างสนุกมือ

อย่างไรก็ตามเนื่องจากมูลค่าของหุ้น UCOM ภายหลังจากผ่านพ้นวันที่ 30 สิงหาคม 2550 ซึ่งเป็นระยะเวลาสุดท้ายสำหรับการสว๊อปหุ้นจะเหลือเพียง 7-8 บาท และอาจมีมูลค่าลดลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานเมื่อนำมาแลกเป็นหุ้นดีแท็คจะมีมูลค่าราว 85บาท จึงไม่มีเหตุผลที่นักลงทุนต้องดื้อดึงถือหุ้นตัวนี้ต่อไป

ทั้งนี้หากสังเกตราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นใน 50 อันดับแรก จะเห็นว่ามีหุ้นราคาต่ำกว่า 10บาท เข้ามาถึง 29 ตัว แน่นนอนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน นักลงทุนควรมั่นศึกษาข้อมูลให้มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นที่ทราบดีว่าหุ้นดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีนักลงทุนรายใหญ่มาดันราคามากกว่าพื้นฐานของบริษัททีมีอยู่

ข่าวหุ้น

:lol: [/color:af7859ba1c">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com