*"โมนิก้า" ค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมากที่เห็นดัชนีทะยานขึ้นมาปิดบวกอย่างแข็งแกร่งเพราะสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนยังมีอยู่เปี่ยมล้น เพียงแต่เงินบนหน้าตักมีน้อยกกว่านักลงทุนต่างชาติ เลยทำได้แค่รอช้อนซื้อหุ้นช่วงอ่อนตัวลงมาเท่านั้น

*โดยเฉพาะกองทุนในประเทศอาศัยจังหวะที่หุ้นตกหนักๆ เข้าซื้อหุ้นวันละ 100 ล้านบาท เพราะเห็นว่า ราคาหุ้นถูกๆ แบบนี้ ไม่ได้มีให้ซื้อบ่อยนัก อีกทั้งยังเชื่อว่า หากขาดนักลงทุนต่างชาติไป ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์ความน่าลงทุนเสียเมื่อไหร่ ผู้จัดการกองทุนถึงออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ซื้อหุ้นตอนนี้ แล้วจะไปซื้อตอนไหน

*เดี๊ยนถึงซาบซึ้งใจผู้จัดการกองทุน บลจ. ต่างๆ เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกลุ่มคนที่คอยประคับประคองไม่ให้ดัชนีรูดลงแรง พร้อมกันนั้นก็เป็นคนส่งเสริม และกระตุ้นให้นักลงทุนรู้จักนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศ เพื่อสร้างสมดุลย์ระบบการเงินของประเทศ...หากไม่ชื่นชมกันซึ่งๆ หน้า แบบนี้ อีฉันก็คงใจไม้ไส้ระกำเกินไปนะจะบอกให้

* ยิ่งเห็นผู้จัดการกองทุนบอกว่า หากตอนนี้นำเงินไปลงทุนผ่านกองทุน FIF เพื่อไปซื้อหุ้นประเทศต่างๆ จังหวะนี้ จะได้ผลกำไรถึงสองเด้ง เพราะสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาถูกแถมได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หลังเงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่า ยิ่งทำให้เดี๊ยนกระสันอยากนำเงินที่ฝั่งในตุ๋มหลังบ้านไปลงทุนเต็มแก่...เผอิญเดี๊ยนจำไม่ได้ว่าฝังไว้ตรงไหนบ้าง ก็เลยต้องเอาเงินเฉพาะในแบงก์ไปลงทุนแก้ขัดไปพลางๆ

*มิเช่นนั้นคุณๆ อาจได้เห็น เศรษฐีนีคนใหม่ของประเทศไทยเกิดขึ้นอีกราย และหากนักลงทุนที่ติดตามอ่านคอลัมล์เจาะกระดานหุ้นเป็นประจำ ทำเหมือนกับที่เดี๊ยนทำทุกประการ ก็เชื่อว่าในไม่ช้าประเทศไทยคงมีเศรษฐีผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดนะจะบอกให้

*ถ้าใครคิดว่าเรื่องดังกล่าวยากลำบากเกินไป "โมนิก้า" ขอแนะนำให้นักลงทุนเจียดเงินสัก 40% ของเงินสดที่มีอยู่ไปช้อนซื้อหุ้นบลูชิพได้เลย เพราะราคาหุ้นเหล่านั้นลงมาเกือบ30% และคงไม่ลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เดี๊ยนถึงอยากให้คุณๆ เข้าซื้อหุ้นเหลือเกิน หลังเห็นกันจ๊ะๆ ว่า ผลตอบแทนขั้นต่ำที่นักลงทุนจะได้รับในอีก 1-2 เดือนข้างหน้ามากถึง 20%เชียวน่า

*เนื่องจากช่วงไตรมาส 4 เป็นจังหวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มถีบตัวขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าขึ้นกว่าเดิม แถมสัญญาณทางเทคนนิคก็บอกไว้ชัดเจนว่า เป็นการเทคตัวขาขึ้นรอบที่ 3 หวังจากทดสอบแรงเทขายจนสะเด็ดน้ำแบบนี้...หุ้นมีโอกาสไต่ระดับขึ้นมากกว่าลงนะจ๊ะ

*โดยเฉพาะในรายของ SCC ราคาหุ้นลงมาถึงแนวรับกอ่นใครเพื่อน พร้อมกันนั้นยังแสดงให้เห็นว่าแรงเทขายเริ่มซ่าลง "โมนิก้า" ถึงอยากให้นักลงทุนจับตาดูหุ้นตัวนี้ให้ดีเป็นพิเศษ เพราะคำว่า over value ไม่สามารถใช้กับหุ้นตัวนี้ได้ และที่ผ่านก็พิสูจน์ให้เห็นถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทุกไตรมาส จึงไม่มีความจำเป็นต้องมองข้ามหุ้นตัวนี้ แล้วไปลงทุนในหุ้นเก็งกำไรเพื่อฆ่าเวลาหรอกนะจ๊ะ

*แจ่มแจ๋วสุดๆ ต้องยกให้ KBANK และ SCB เพราะมีแรงซื้อไหลกลับเข้ามาตลอดทั้งวัน จนราคาหุ้นยืนหยัดต้านแรงเทขายได้อย่างแข็งแกร่ง แถมในระหว่างวันพยายามยื้อขึ้นมาปิดบวก "โมนิก้า" ถึงมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า แรงเทขายสะเด็ดน้ำแล้ว และถึงเวลาเข้าซื้อหุ้นพะยะค่ะ

*หุ้นกลุ่ม ปตท. ซึมลงต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ คงหาทางขึ้นลำบากแล้วกระมั่ง แม้วันศุกร์จะได้ลุ้นรีบาวนด์ แต่คงไปได้ไม่ไกล เพราะแรงเทขายยังคงหนาแน่น จึงเป็นการยากที่หุ้นจะฝ่ากระแสขึ้นไปยืนบวกได้ถาวร งานนี้หากต้องการเก็บของเข้าพอร์ตจริงๆ "โมนิก้า" ขอแนะให้ไปทยอยซื้อเรื่อยๆ จะเป็นการปลอดภัยที่ซู๊ด

*ส่วน PHATRA ไม่มีทั้งข่าวดี และข่าวร้าย หุ้นจึงแกว่งตัวไปตามภาวะของตลาดหุ้นเป็นหลัก แม้ว่าวันศุกร์หุ้นจะเริ่มแสดงอาการรีบาวนด์ให้เห็นเป็นบางครั้ง บางคราว แต่ยังไม่ใช่รอบวิ่งของหุ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากวอลุ่มที่ซับพอร์ตยังคงน้อยเกินไป ที่สำคัญการการแกว่งตัวไปมาไร้ทิศทาง ยืนยันว่าหุ้นจะต้องแกว่งตัวหาฐานที่มั่นคงอีกหลายวัน งานนี้หากจะเข้าซื้อก็ค่อยๆ ทยอยเก็บไปเรื่อยๆ

*TRUE ยังคงอ่อนไหว และโอนอ่อนเกินไปแบบนี้ เปล่าประโยชน์ที่จะเข้าไปไล่เก็บหุ้นที่ราคาสูง เพราะของมันเห็นๆ กันอยู่ว่า ของถุกกว่านี้ยังมีให้ซื้ออีกมาก รวมทั้งที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการที่จะฝ่ากระแสตลาดขึ้นไปสร้าง new high เป็นเรื่องที่ทำได้ยากถึงแม้ทำได้จริง หุ้นก็ยืนแบบขาแข้งสั่น งานนี้มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง ยังไม่มีเจีย จึงไม่แนะนำให้ทุ่มซื้อจนหมดหน้าตัก

*ตบท้ายกันที่ S2Y ราคาหุ้นร่วงเกือบติดฟลอร์ 30% ก่อนจะมาปิดที่ 1.35 บาทลบไป 0.57 บาท ถือเป็นเรื่องปกติเวลามีหุ้นเพิ่มทุนในราคา 1 บาทเข้ามาอีก 350ล้านหุ้น เพราะต้นทุนของคนเข้ามาทีหลังถูกกว่าเป็นอย่างมาก จึงไม่มีความเป็นต้องทนถือหุ้นต่อไป แถมไปรอรับที่ราคาต่ำกว่า 1 บาทยังมีโอกาสได้กำไรมากกว่าแบบนี้ "โมนิก้า"ถึงไม่อยากให้นักลงทุนอิดออดถือหุ้นต่อไปนะซี


:lol: