May 3, 2024   5:04:44 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ++++++++ แนะลงทุน4หุ้น ++++++++
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 21/08/2007 @ 09:41:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ถึงคิวหุ้นโบรกเกอร์ บล.บัวหลวง(BLS) ราคาในกระดานยังห่างจากเป้าหมายพร้อมมีแผนขึ้นอันดับท้อปไฟว์ ด้วยจุดเด่นที่หลายโบรกฯ ต้องอิฉา ส่วนบล.ภัทร(PHATRA)เปลี่ยนจาก "ขาย" เป็น"ซื้อ"ราคาเป้าหมายปรับใหม่เป็น 52บาท ด้าน บล.เคจีไอ(KGI) หุ้นราคาเบาแต่อนาคตไกล สำหรับบล.กิมเอ็ง(KEST) ราคายังต่ำกว่าเป้าหมาย แถมมีลุ้นจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล

จากการสำรวจราคาหุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์(บล.) หรือโบรกเกอร์ ที่ปรับตัวลงตามดัชนีในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีหุ้นโบรกเกอร์จำนวน 4 รายที่มองว่ามีศักยภาพ และมีราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่เหมาะสมที่ถูกประเมินโดยนักวิเคราะห์ อาทิ PHATRA-BLS-KGI-KEST ซึ่งหุ้นโบรกเกอร์เหล่านี้มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป

นักวิเคราะห์จาก บล. ฟินันซ่า จำกัด ระบุถึงปัจจัยพื้นฐานของ บล.บัวหลวง (BLS)ว่ามีจุดเด่น 2 ประเด็นคือ การเซ็นสัญญาความร่วมมือกับ 2 ยักษ์ใหญ่เริ่มจากการเป็นExclusive Partner กับ Morgan Stanley Asia Limited (MSAL) มีผล 11 มิ.ย.หนุนให้มาร์เก็ตแชร์ BLS เติบโตก้าวกระโดด (จาก มิ.ย. ก่อนเซ็นสัญญาที่ 3.28%เป็น 4.31%หลังเซ็นสัญญาในเดือนเดียวกัน) ซึ่งแม้ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยจะลดลง (เพราะต้องลดคอมฯให้ MSALจาก 0.25% เหลือ 0.15%) แต่ก็คุ้มเพราะฐานรายได้ใหญ่ขึ้นและบริหารต้นทุนง่ายขึ้น (จากที่ก่อนนี้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมความช่วยเหลือด้านงานวิจัยในรูปต้นทุนคงที่)

ส่วนจุดเปลี่ยนที่สองคือการเซ็นสัญญาบริการแนะนำลูกค้า (Introducing Agent)กับ BBL (ถือหุ้น 56%) เมื่อ 28มิ.ย.07 เพื่อสร้าง Synergy ในกลุ่ม BBL โดยธนาคารฯจะแนะนำลูกค้า High Network ให้มาเปิดบัญชีกับ BLS โดยเริ่มจาก 42 สาขาในกทม. &ปริมณฑลก่อนในปีนี้ และค่อยกระจายไปทั่วประเทศในปีหน้า

ขณะนี้ BLS อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในเปิด Cyber หรือ FullBranch ในสาขาที่มีศักยภาพของ BBL รวมถึงปีหน้า BLS ตั้งเป้าขึ้นแท่น Top 5 โบรกเกอร์ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดที่ 5% โดยเพิ่มสัดส่วนจากนักลงทุนสถาบันเป็น 45% จากเดิม 40% เพื่อลดความผันผวน

ในเวลาเดียวกันก็เน้นกระจายรายได้ไปในหลายๆแหล่ง เช่น บุกตลาดDerivatives ที่ในครึ่งแรกของปี50 ครองแชร์ 8.5% รวมถึงให้บริการกู้ยืมหุ้นแก่ลูกค้า(SBL) ส่วนงานวานิชธนกิจ (ปัจจุบันคิดเป็น 15%ของรายได้รวม) คาดครึ่งปีหลังยังมีอีก 2 ดีล IPO มูลค่ารวม 1.5พันล้านบาท

ส่วนปีหน้าทำ 4 IPO บวกการเป็นที่ปรึกษา M&A และแกนนำในการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ การบริหารกองทุนส่วนบุคคล & กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ BBL

นอกจากนี้ BLS ยังได้รับแต่งตั้งเป็น 1ใน 5 ผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุนกองทุนที่จะเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเมืองไทยคือ Exchange Traded Fund (ETF) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มซื้อขายในตลาดได้เดือน ก.ย.นี้ เพื่อความอนุรักษ์นิยมฝ่ายวิเคราะห์ได้ประมาณการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่ 5-6% ในช่วงปี 51-52 โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 52 ที่ 25.17 บาท

นักวิเคราะห์จากบล.ซิกโก้ ได้ประเมินการปรับตัวขึ้นของส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ในไตรมาส 2/50 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 6.04% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส1/50ที่ระดับ 5.76% โดยมีการประมาณการณ์ของมาร์เก็ตแชร์ ในปี2550 และ 2551 ที่ระดับ 5.90% และ 6.10% ตามลำดับ

ทั้งนี้จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นช่วยลดผลกระทบจากการลดค่าคอมให้แก่Exclusive Partnerที่ก่อนหน้านี้ได้ประเมินถึงผลดำเนินงานของ PHATRA ภายหลังการลดค่าคอมมิชชั่นให้กับคู่ค้าบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศให้แก่ Merrill Lynch ว่าจะทำให้กระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทปี 2550-2551 ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรงนั้น

ขณะนี้ปัจจัยแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปในเชิงที่เป็นแง่บวกมากขึ้น ทำให้มีการปรับมุมมองและประเมินผลกระทบอีกครั้ง โดยคาดว่า 1)มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เริ่มมีแนวโน้มสดใสจะส่งผลให้รายได้บริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น

2)การลดค่าคอมมิชชั่นดังกล่าวจะทำให้ PHATRA ได้รับคำสั่งซื้อขายจาก MerrillLynch มากขึ้นชดเชยการลดค่าคอมมิชชั่นลง ด้วยเหตุผลทั้ง 2 ประการจะช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

จากการประเมินดังกล่าวคาดว่า PHATRA จะมีปันผลระหว่างกาลเหมือนในปีที่ผ่านมาซึ่งหากใช้อัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเท่ากับกำไรของปี 2549 คาดว่า PHATRA จะสามารถจ่ายปันผลระหว่างกาลได้ 0.50 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับคำแนะนำจาก "ขาย" เป็น "ซื้อ" ภายใต้การปรับสมมุติฐานมูลค่าการซื้อ-ขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มที่สดใสมากขึ้นและได้ปรับการอ้างอิงมูลค่าพื้นฐานจากกำไรปี2550 และ 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับสมมุติฐานในการลงทุน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อมูลค่าที่เหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นด้วยภาวะการลงทุนที่นักลงทุนยังกังวลกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจระหว่างประเทศส่งผลให้ราคาหุ้น PHATRAปรับตัวลดลงกระทั่งต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่เคยศึกษาไว้ เราจึงปรับคำแนะนำจากเดิมที่แนะนำ"ขาย" เป็น "ซื้อ" ด้วยมูลค่าเหมาะสมปี 2551 ราคาเหมาะสมที่ 52.00 บาท อิงค่าพีอีที่ 16 เท่า

ด้านนางสาวสิริณัฏฐา เตชะสิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส เคยประมาณว่าบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGIมีความน่าสนใจในแง่ของการมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจาก KGI มี พอร์ตลงทุนมูลค่าสูงถึง 3.3 พันลบ. ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบล. อื่น นอกจากนี้ส่วนแบ่งตลาดของKGI ก็เพิ่มอย่างเห็นได้ชัด จาก 3 % ในไตรมาส 1/50 เป็น4.39% ในไตรมาส 2/50จึงแนะนำซื้อ มีราคาเหมาะสมอย่ที่ 2.70 บาท

ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์บล.ซิกโก้ ได้มองการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของKEST ในไตรมาส/50 อยู่ที่ 7.55% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/50 ที่ 7.16% ในขณะที่ไตรมาส 3มาร์เก็ตแชร์ช่วงแรกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 8.51% เรายังคงประมาณการณ์ส่วนแบ่งการตลาดของ KEST ในปี 2550และ 2551 ไว้ที่ 8.0% และ 7.75% ตามลำดับ

นอกจากนี้ KEST ไม่ได้รับผลกระทบจาก Exclusive Partner เนื่องจากไม่มีExclusive Partner โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นลูกค้าระดับรายย่อย แต่ทั้งนี้ได้มีการคาดการณ์กันว่าจะมีปันผลระหว่างกาลที่ระดับ 0.10-0.15 บาท/หุ้น บนพื้นฐานของกำไรช่วงครึ่งปีแรกที่มีกำไรต่อหุ้น 0.30 บาท ซึ่งหาก KEST ใช้อัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราเดียวกับปี 2549 เท่ากับว่า KEST จะจ่ายปันเงินผลประมาณ 0.13 บาท/หุ้น และน่าจะขึ้น XD ในช่วงปลายเดือน สิงหาคม นี้

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าทางพื้นฐาน ซึ่งมีผลต่อการปรับคำแนะนำการลงทุน จึงได้มีการปรับคำแนะนำจาก "ขาย" เป็น "ถือ" ด้วยราคาเหมาะสมปี2551ที่ 23.90 บาท อิงค่าพีอีที่ 18 เท่า ขณะที่มูลค่าเหมาะสมสำหรับปี 2550 อยู่ที่ 21.09บาท อิงค่าพีอีที่ 18 เท่าเช่นกัน


ข่าวหุ้น

:lol: [/color:a95640bc89">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com