ตลาดหุ้นไทยซึมลึก เหตุหุ้นพื้นฐานถูกทิ้งขณะที่หุ้นเก็งกำไรคึกไม่ออก จากที่ผู้บริหารตลาดฯคุมพฤติกรรมเข้ม วิ่งแรงเป็นโดนเครื่องหมายห้ามเน็ต-มาร์จิ้นสกัดดาวรุ่ง แถมบางครั้งจี้โบรกฯรายงานคำสั่งซื้อขาย ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มไม่กล้าเข้าไปเก็งกำไรเพราะกลัวความเสี่ยงจากคำสั่งของทางการ ด้านขาใหญ่ระบุช่วงตลาดฯเจอแรงกดดันจากปัญหาซับไพร์ม หุ้นเก็งกำไรเป็นหลุ่มหลบภัยชั้นดี แต่ต้องระวังกว่าเดิมเพราะอาจถูกมองเป็นหุ้นปั่นได้ง่าย ส่วนนักลงทุนเก็งกำไรโวยตลาดฯทำเซ็งชอบขัดขาช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ช่วงหุ้นโดนทุบไม่เคยช่วยอะไร กลายเป็นนักเก็งกำไรตายทั้งขึ้นทั้งล่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานการซื้อขายหุ้นบนกระดานวานนี้ว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างซึมเซา เนื่องจากหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่หลายตัวยังมีแรงเทขายออกมากดให้ดัชนีฯลดลง ในขณะที่ด้านหุ้นเก็งกำไรบรรยากาศการซื้อขายก็ไม่คึกคักเท่าที่ควร โดยหุ้นเก็งกำไรหลายตัวที่เคยเคลื่อนไหวอย่างโดดเด่นในช่วง 1-2 วันก่อนหน้านี้ราคาก็อ่อนตัวลง ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่เคลื่อนไหวค่อนข้างคึกคัก และมีปัจจัยเข้ามาสนับสนุนค่อนข้างโดดเด่น นักเก็งกำไรยังไม่กล้าเข้าไปซื้อในช่วงท้ายตลาดฯ เนื่องจากเกรงว่าตลาดหลักทรัพย์จะมีมาตรการใด มาตรการหนึ่งออกมากำราบความร้อนแรง เนื่องจากเคยมีบทเรียนจากหุ้นหลายตัวที่ถูกตลาดฯสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net
Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading)หรือต่ออายุรอบสองแบบค้านสายตามาแล้ว

- S2Y หยุดคึกหลังเซียนหุ้นออกเขย่าประสาท ระบุวิ่งเกิน 2 บาทเจอดีแน่
หลังจากที่ราคาหุ้น บริษัท สยามทูยู จำกัด (มหาชน) หรือ S2Y วิ่งต่อเนื่องมาถึง 4 วันทำการ (21-24 ส.ค.) จากราคาปิดที่ 1.37 บาท ในวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา มาทำระดับสูงสุดที่ 1.95 บาท เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2550 โดยมีมูลค่าการซื้อขายเข้ามาสนับสนุนอย่างหนาแน่นเมื่อเทียบกับการซื้อขายในช่วงปกติ และถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนกับดัชนีฯซึ่งปรับลดลงอย่างชัดเจนในช่วงดังกล่าว ทำให้มีผู้สันทันกรณีในวงการหลายรายออกมาเตือนถึงความเสี่ยงในการเข้าเก็งกำไร โดยแหล่งข่าวจากวงการหลักทรัพย์ให้ความเห็นว่าหุ้น S2Y ถือเป็นหุ้นที่น่าจับตามอง และควรระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นค่อนข้างหวือหวา และวิ่งขึ้นโดยที่ไม่มีปัจจัยมาสนับสนุน ดังนั้นอาจจะมีโอกาสที่จะถูกตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์ และมาร์จิ้นได้

ขณะที่นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่าหุ้น S2Y เป็นหุ้นที่เหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น โดยในส่วนของ S2Y ถ้ายังวิ่งต่อเกิน 2 บาท ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นเพราะถือว่าร้อนแรงเกินไป

ทั้งนี้ การออกมาเตือนของนักวิเคราะห์ดังกล่าวทำให้วานนี้ (28 ส.ค.) ราคาหุ้น S2Y ได้ปรับลดความร้อนแรงลงอย่างชัดเจน โดยเปิดการซื้อขายที่ระดับ 1.83 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท และจากนั้นได้ลดลงมาทำระดับต่ำสุดที่ 1.73 บาท ก่อนจะตีตื้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 1.78 บาท ลดลง 0.03 บาท มูลค่าการซื้อขาย 161.01 ลบ.

แหล่งข่าวนักลงทุนรายหนึ่งกล่าวว่า การปรับลดลงค่อนข้างเร็วของหุ้น S2Y เป็นเพราะนักลงทุนเก็งกำไรไม่มั่นใจในสถานการณ์การลงทุน เนื่องจากในช่วงนี้ ตลาดหลักทรัพย์มักจะเข้มงวดกับหุ้นเก็งกำไรมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้หุ้นที่วิ่งผิดปกติเพียงเล็กน้อยก็อาจจะถูกตลาดฯสั่งขึ้นเครื่องหมายห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นได้ ซึ่งนักลงทุนบางส่วนก็อาจจะได้รับความเสียหายจากมาตรการดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปต่อยอดซื้อหุ้นในราคาที่วิ่งขึ้นไปสูง

"ถ้าเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้จะพบว่าช่วงนี้หุ้นวิ่งเพียงไม่กี่วันก็จะถูกจับตามองจากตลาดฯ ผิดกับช่วงก่อนที่วิ่งต่อเนื่องกันหลายวันทำการ และมูลค่าการซื้อขายผิดปกติอย่างชัดเจน จึงจะถูกตลาดฯสั่งขึ้นเครื่องหมายห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้น"

ทั้งนี้นักลงทุนดังกล่าวได้ยกตัวอย่างราคาหุ้น บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ที่ถูกขึ้นเครื่องหมายห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 24 ก.ค.50 หลังจากที่พบว่าในช่วงวันที่ 7 ถึง 12 มิถุนายน 2550 มีการเปลี่ยนแปลงของราคาและมูลค่าการซื้อขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากช่วงเวลาก่อนหน้าซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม และมีการซื้อขายอย่างกระจุกตัว โดยไม่มีสารสนเทศใดที่มีผลกระทบต่อสภาพการซื้อขาย โดยในวันที่ 7 มิ.ย. พบว่าราคาหุ้น LIVE ปิดที่ระดับ 2.30 บาท และปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำระดับสูงสุดที่ 3.48 บาท เพิ่มขึ้น 1.18 บาท หรือ 51.31% ภายในเวลาเพียง 4 วันทำการ แต่หลังจากนั้นราคาหุ้น LIVE ได้ปรับเพิ่มขึ้นแรงกว่าเดิมจนถึงไปทำราคาสูงสุดที่ระดับ 5.80 บาท เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.50 และค่อยๆ อ่อนตัวลงมาจนทำราคาต่ำสุดที่ 4.30 บาท ในวันที่ 12 ก.ค. และเพิ่มขึ้นใหม่จนปิดการซื้อขายที่ระดับ 5.30 อีกครั้งในวันที่ 24 ก.ค.ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดคำสั่งห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางกว่าในช่วงก่อนห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นอย่างชัดเจน และในวันเดียวกัน ตลท.ก็ได้ต่ออายุห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นต่ออีก 30 วันทำการ (25 ก.ค.-6 ก.ย.) โดยให้เหตุผลว่าราคาหุ้นยังไม่ลดความร้อนแรง

"หากจะสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่าราคาหุ้น LIVE ปรับตัวค่อนข้างร้อนแรงมานานตั้งแต่เดือนต้นเดือนมิ.ย.แล้ว โดยในช่วงนั้นราคาหุ้น LIVE ราคาหุ้นพ่งแรงถึง 189.11% เลยทีเดียวจึงจะถูกห้ามเน็ตฯ และมาร์จิ้นครั้งแรก แต่ในช่วงหลังราคาหุ้นเริ่มจะลดดีกรีความรุนแรงลงตั้งแต่เดือกกรกฎาคม จนคาดหมายกันว่าตลาดฯ จะยกเลิกมาตรการ แต่กลับกลายเป็น
ผิดคาด เพราะตลาดฯยังคงยืนยันคำเดิมที่จะให้คงห้ามซื้อขายเน็ตฯ- มาร์จิ้นออกไปก่อนจนกว่าการซื้อขายจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งถือว่าค้านกัยบสายตานักลงทุนมาก ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ" นักลงทุนรายเดิมกล่าว


:lol:

- APURE เด้งไม่ไหว แม้วานนี้ห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นวันสุดท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE ถูกคำสั่งห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้น ชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันทำการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฏาคม ถึง 28 สิงหาคม 2550 หลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรงเพียง 3 วันทำการ และจากนั้นราคาหุ้นก็ปรับลดลงอย่างชัดเจน รวมทั้งมูลค่าการซื้อขายก็เบาบางลง จนราคาหุ้นเริ่มปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในวันที่ 17 ส.ค.และปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพียง 2 วันทำการแล้วพักฐาน หลังจากนั้นก็ขึ้นลงสลับกันแบบซื้อวันขายวัน และแม้ว่าราคาจะปรับขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับวันที่ราคาขึ้นไปทำระดับสูงสุดก่อนถูกสั่งห้ามเน็ตฯมาร์จิ้น (4.28 บาท ) โดยล่าสุดในวันที่ 28 ส.ค.ราคาปิดที่ 3.68 บาท แต่การซื้อขายก็เป็นไปอย่างเบาบาง และราคาหุ้นก็เคลื่อนไหวไม่รุนแรงนัก ถ้าเทียบกับหุ้นตัวอื่นที่ราคามักจะปรับเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้ถึงวันห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นวันสุดท้าย

นักลงทุนรายหนึ่งกล่าวว่า การเคลื่อนไหวแบบไม่หวือหวาของ APURE วานนี้น่าจะเป็นเพราะเกรงว่าจะเจอคำสั่งห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นต่ออีก เพราะถ้าดูจากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นระยะหลังนี้ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นมาก แม้มูลค่าการซื้อขายเบาบางลง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ทำให้นักลงทุนเก็งกำไรไม่กล้าเข้ามาลงทุนในหุ้น APURE จึงทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวไม่หวือหวานัก

โดยเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ราคาหุ้น APURE เปิดการซื้อขายที่ระดับ 3.64 บาท ปรับขึ้นสูงสุดที่ 3.72 บาท และลดลงต่ำสุดที่ 3.54 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 3.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 50.18 ลบ.

- MDX ใช้สูตรขึ้น 2 ลง 1 หนีแส้ ตลท.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จาการสำรวจความเคลื่อนไของราคาหุ้น บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MDX ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ราคาหุ้นได้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นชัดเจนมาตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.50 และต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 23 ส.ค.ก่อนจะอ่อนตัวลงในวันที่ 24 ส.ค. และหลังจากนั้นราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในวันที่ 27 ส.ค.ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 28 ส.ค. ซึ่งพบว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้น MDX เป็นลักษณะขึ้น 2 วัน ลง 1 วัน หรือขึ้นสลับลง ไม่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงรวดเดียวต่อเนื่องเหมือนหุ้นเก็งกำไรหลายตัวในช่วงก่อนหน้านี้

โดยนักลงทุนรายเดิมกล่าวต่อว่า การเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นแบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยของหุ้นเก็งกำไรในช่วงนี้ เป็นเพราะนักลงทุนเก็งกำไรบางกลุ่มยังไม่ต้องการเสี่ยงต่อเครื่องหมายห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นของตลาดฯ หลังจากที่เจอแบบค้านสายตาในกรณีของ LIVE ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงนี้การซื้อขายหุ้นเก็งกำไรจะซบเซาลงมากเมื่อเทียบกับช่วงที่หุ้นพื้นฐานถูกเทขายในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะได้เห็นหุ้นเก็งกำไรกลับมาเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก

- ขาเก็งโวยถูกตีขนาบทั้งขาขึ้นขาลง หมดอารมณ์เล่นหุ้น
นักลงทุนเก็งกำไรรายหนึ่งกล่าวว่า ช่วงนี้แม้ว่าหุ้นขนาดใหญ่จะถูกเทขายและตลาดฯค่อนข้างซึมแต่ก็ไม่ได้เข้ามาซื้อขายหุ้นเก็งกำไรเหมือนเมื่อก่อน เพราะเบื่อกับมาตรการตลาดฯ ที่เหมือนกับการรุมตีขนาบนักลงทุนไทย เพราะช่วงที่ตลาดฯถูกนักลงทุนต่างชาติเทขายกดดันจนราคาหุ้นตกลงไปมากนักลงทุนก็บาดเจ็บกันพอแล้ว แต่พอจะเล่นหุ้นเก็งกำไร ไล่ราคากันขึ้นมาบ้างก็จะโดนจับตามองจากทางการ โดยบางครั้งยังมีข่าวออกมาว่ากำลังขอข้อมูลการซื้อขายจากโบรกเกอร์บ้าง บางครั้งก็บอกว่ากำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้การซื้อขายหุ้นเหมือนการทำผิดกฎหมายต้องคอยระวังตัว บางครั้งก็หมดอารมณ์ลงทุน

"การเข้มงวดเรื่องหุ้นเก็งกำไรของตลาดฯ ในช่วงนี้ทำให้บรรยากาศการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรไม่คึกคักนัก เพราะนักลงทุนบางกลุ่มเซ็งกับมาตรฐานของตลาดฯ เห็นได้จากก่อนหน้านี้ถ้าช่วงไหนหุ้นใหญ่ถูกเทขายหุ้นเก็งกำไรก็จะกลับมาคึกคัก เพราะนักลงทุนหลบแรงขายมาเล่นหุ้นเก็งกำไรแทน แต่ช่วงนี้จะเห็นว่าเงียบเหงามาก ตั้งแต่เจอเรื่อง LIVE ถูกคำสั่งรอบสองไปครั้งนั้น บรรยากาศการซื้อขายก็ไม่คึกคักเหมือนเคย เพราะมันเหมือนกับว่าเจอทั้งขึ้นทั้งล่อง ช่วงที่หุ้นเก็งกำไรวิ่งแรงก็เจอตลาดฯสั่งห้ามเน็ตฯมาร์จิ้น แต่ช่วงที่หุ้นใหญ่ถูกเทลงแรงก็ไม่เห็นจะมีใครเข้ามาช่วยดูแล ทำให้รู้สึกว่าเหมือนถูกกระหน่ำซ้ำเติม อารมณ์อยากซื้อขายหุ้นก็เลยไม่ค่อยจะคึกคักเหมือนเมื่อก่อน เรื่อง MDX ก็เหมือนกันความจริงวันนี้มีข่าวเรื่องการแตกพาร์ออกมาหนาหู แต่ราคาก็ขึ้นเหมือนกล้าๆ กลัวๆ ก็คงเรื่องเดียวกันนั่นแหละ คือ กลัวมาตรการตลาดฯ" นักลงทุนกล่าว

- ขาใหญ่ยังต้องระวังตัวแจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่ตลาดฯซึมเพราะเจอปัญหาเรื่องซับไพร์ม ในตลาดสหรัฐอเมริกากดดัน นักลงทุนรายใหญ่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง โดยระบุว่า ในช่วงตลาดหุ้นผันผวนง่ายและมองไม่เห็นทิศทาง ได้หันมาเล่นสั้นเก็งกำไรแทนแต่เป็นไปอย่างระมัดระวัง

นายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ช่วงนี้พอร์ตลงทุนของตนเองจะเน้นลงทุนระยะสั้นมากกว่าระยะยาว โดยมองว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนและไร้ทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน แม้ว่าจะมีความชัดเจนด้านการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ปัจจัยต่างชาติที่ปัญหาซับไพรมยังไม่จบ จึงกดดันตลาดหุ้นให้มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมากกว่า ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้จึงเน้นลงทุนหุ้นระยะสั้น เพราะมีโอกาสเล่นเก็งกำไรได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนเก็งกำไรในช่วงนี้จะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

"ธรรมชาติของตลาดหุ้นถ้าปรับตัวขาขึ้นก็จะไม่พรวดพราด แต่จะขึ้นอย่างค่อยๆ เป็นเหมือนขั้นบันได ต่างจากตลาดหุ้นขาลงที่ร่วงได้เร็วมาก จึงทำให้ถ้าเข้ามาลงทุนระยะยาวในช่วงที่เดาตลาดได้ยากจึงไม่ใช่วิธีที่ดี แต่การเล่นเก็งกำไรก็ต้องติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิดด้วย เพราะเท่าที่ผ่านมาเวลาที่ราคาหุ้นขึ้นไป 25% แล้วก็จะเกิดการเก็งกำไรก็จะถูกมองว่าเป็นการปั่นหุ้นแทน ซึ่งก็ต้องออกให้ทันก่อนที่จะถึงจุดนั้น สำหรับตนก็มีลงทุนบ้างแต่ไม่เยอะ สามารถเล่นในระยะสั้นๆ ได้" นายวัชระกล่าว


:lol: