April 29, 2024   6:34:42 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นเด่นเล่นสั้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 30/08/2007 @ 09:25:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET
วานนี้ดัชนีมีความผันผวนมากเป็นพิเศษโดยปรับลดลงถึงจุดต่ำสุดที่ 773 จุด ซึ่งเป็นการหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่เคลื่อนผ่านบริเวณ 780 จุด อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นการปรับลงระหว่างวันเท่านั้น ซึ่งในท้ายสุดสามารถดีดกลับมาบวกและปิด ณ 792 จุดได้พร้อมด้วยรูปแบบ Hammer อีกตัวหนึ่ง ขณะที่สัญญาณ RSI มีสถานะที่เป็นบวกอย่างยิ่ง สะท้อนถึงโครงสร้างของดัชนีมีความแข็งแกร่งอยู่มาก คาดว่าการดีดตัวจะสามารถปิด gap ที่ 810 จุด ได้ในที่สุด นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้สูงที่ดัชนีจะดีดตัวถึง Dead Cross เดิมบริเวณ 850 จุดด้วย อนึ่งการปรับฐานใดๆ ในระยะสั้นยังคงมีเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน เป็นแนวรับดังเดิม

มุมมองระยะกลาง - BAY
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
รูปแบบการเรียงตัวของเส้นค่าเฉลี่ย BAY แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวอย่างสมบูรณ์เมื่อฝ่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ ณ 7.00 บาท ตั้งแต่ต้นปี 46 เรื่อยมา ราคาหุ้นสามารถทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 29.75 บาท เร็วๆนี้ การปรับฐานหลักจึงเกิดขึ้นอีกหน อย่างไรก็ตาม ราคาปรับลงถึงเพียงเส้นค่าเฉลี่ยระยะกลาง 75 สัปดาห์บริเวณ 21.00 บาท ก็สามารถดีดกลับได้อย่างรวดเร็ว และยังทรงตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ ณ ระดับราคาปัจจุบัน การฟื้นตัวของ MACD แสดงถึงโอกาสของขาขึ้นนี้ยังไม่สิ้นสุด โอกาสที่หุ้นจะทำจุดสูงสุดใหม่มีสูงมาก

หุ้นเด่น เล่นสั้น - BCP
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
จากกราฟรายวัน ราคามีรูปแบบการกลับตัว (Reversal pattern) ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน พร้อมกับการสะสมกำลังมาระยะหนึ่ง เพื่อรอการ break up ของราคา นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic อีกด้วย อย่างไรก็ดี มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 14.20-14.40 บาท ซึ่งเป็นบริเวณแนวต้านตามจุดสูงสุดในรอบที่ผ่านมา จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 12.00-12.20 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 11.80 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน

หุ้นเด่น เล่นสั้น - EWC
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
จากกราฟรายวัน จะเห็นได้ว่ากราฟเป็นขาขึ้นโดย สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน พร้อมกับรูปแบบ Continuation pattern ในขาขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณซื้อจาก RSI & Stochastic ดังนั้น ในระยะกลาง มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปทดสอบเป้าหมายที่ 11.30-11.50 บาท ซึ่งเป็นบริเวณแนวต้านตามจุดสูงสุดในรอบที่ผ่านมา จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 8.90-9.10 บาท สำหรับจุด Stop loss อยู่ที่ 8.80 บาท เมื่อหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 30/08/2007 @ 12:41:04 :
Strategy Update: กนง. เปิดช่องลดอัตราดอกเบี้ยต่อ


คงอัตราดอกเบี้ย R/P ที่ 3.5% แต่เปิดช่องปรับลดในอนาคต
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) ระยะเวลา 1 วัน ไว้ที่ 3.25% โดยประเมินว่าอุปสงค์ภายในประเทศเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักธุรกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของการส่งออก (หลังจากมูลค่าการส่งออกในเดือน ก.ค. เติบโตเพียง 8.9%YoY เทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปี 50 ที่ขยายตัวสูงถึง 18.6%) ส่วนหนึ่งได้ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว พิจารณาจากประมาณการอัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกทั้งปีอยู่ที่ 12-15% เท่านั้น ดังนั้น เราคาดว่า หากมูลค่าการส่งออกในช่วง 5 เดือนที่เหลือ เติบโตไม่น้อยกว่า 6%YoY เศรษฐกิจไทยก็น่าจะขยายตัวได้ราว 4% นอกจากนี้ กนง. ยังมีการหารือเกี่ยวกับปัญหา subprime แม้จะไม่มีการสรุปผลกระทบที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจไทย แต่ก็เปิดช่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต หากปัญหาดังกล่าวลุกลามจนเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

แม้จะลดดอกเบี้ย ก็กระทบตลาดไม่มาก
แม้ความเสี่ยงด้านการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่ แต่เราเชื่อว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ณ ขณะนี้จะมีผลต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศไม่มาก เนื่องจากที่ผ่านมานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายส่งผ่านไปถึงผู้บริโภคค่อนข้างน้อย พิจารณาจาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะเวลา 1 วันลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวม 1.75% จาก 5.0% ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.25% ในปัจจุบัน แต่ปรากฎว่า ธนาคารพาณิชย์ตอบสนองด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยลงเพียงแค่ 0.86% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจสะท้อนมุมมองของธนาคารพาณิชย์ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสถานการณ์ปัจจุบัน คงไม่สามารถกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อได้มากนัก ท่ามกลางความเชื่อมั่นผู้บริโภค และนักธุรกิจที่ตกต่ำ (ยอดสินเชื่อสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปี 50 ของธนาคาร 8 แห่งที่เราดูแล เติบโตเพียงแค่ 0.28% เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา) จึงเลือกที่จะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (net interest margin) ของตนเองไว้แทน (NIM ของธนาคารใน Seamico Coverage เพิ่มขึ้นจาก 3.14% เมื่อช่วงต้นปี มาอยู่ที่ 3.24% เมื่อสิ้นสุด 2Q50) โดยเราคาดว่ากา
รบริโภคภาคเอกชนอาจกระเตื้องขึ้นก่อนในช่วงการเลือกตั้ง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนอาจต้องรอการฟื้นตัวยาวไปจนเห็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ชัดเจน

อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใกล้ติดลบ
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ (อัตราเงินเฟ้อ 7 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 2.1%) โดยคาดว่าเฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 2-2.2% จะเห็นว่ายังมีช่องว่างให้ กนง. สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกในการประชุมที่เหลือของปี (กนง. เหลือการประชุมอีก 2 ครั้ง ในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. 50) อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ย เงินฝากที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในอัตราที่สูงกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (ตาราง) ทำให้แรงกดดันไปตกหนักอยู่ที่ผู้ฝากเงิน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (ประจำ 1 ปี) ลดลงมากถึง 2% มาอยู่ที่เฉลี่ย 2.13% นับจากต้นปี ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกำลังจะติดลบ ซึ่งอาจจะลดแรงจูงใจในการออมภายในประเทศได้ ทำให้เราเชื่อว่า อย่างดีที่สุด กนง. อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% มาสิ้นสุดที่ 3.0% เมื่อสิ้นสุดปี

หุ้นปันผล อีกทางเลือกการลงทุน
ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใกล้จะติดลบ เราเห็นว่า หุ้น ปันผลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน อย่างไร ก็ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด การคัดเลือกหุ้นปันผลของเรา จึงมิได้พิจารณาเฉพาะแต่เพียงผลตอบแทนเงินปันผลเพียงแค่มิติเดียว แต่ยังพิจารณาตัวแปรอื่น ประกอบด้วย อาทิ อัตราการเติบโตของกำไร (เพื่อให้มั่นใจว่าจะรักษาความสามารถในการจ่ายปันผลในอนาคต) และมีประวัติการทำกำไรที่ดี (ROE >10%)


:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 30/08/2007 @ 12:41:53 :
MPT: TDK ซื้อหุ้นใหญ่ MPT ราคา 2.72 บาท/หุ้น

" MIL ขายหุ้นทั้งหมดให้ TDK Magnecomp International Limited (MIL) ตกลงขายหุ้น MPT ทั้งหมด 74.3% หรือประมาณ 1,550 ล้านหุ้น ให้กับบริษัทญี่ปุ่น TDK คิดเป็นมูลค่ารวม 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4,219 ล้านบาท) หรือ 2.72 บาท/หุ้น โดย TDK จะซื้อหุ้นส่วนแรก 64.3% และที่เหลืออีก 10% ภายในระยะเวลา 18 เดือน หลังการซื้อขายครั้งแรกเสร็จสิ้น ทั้งนี้ TDK จะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์จากผู้ถือหุ้น รายย่อย ประมาณ 4Q50 (แต่ยังไม่มีการยืนยันสถานะการจดทะเบียนในตลาดฯ)
" เก็งกำไรไม่เกินราคาเสนอซื้อ ราคาเสนอซื้อ MPT ที่ 2.72 บาท/หุ้น คิดเป็น 1.6 เท่าของ BV สิ้นสุด 2Q50 และสูงกว่าราคาตลาดล่าสุดอยู่ราว 9.7% กอปรกับการได้ TDK ซึ่งเป็นผู้นำและผู้ผลิตหัวอ่านสำหรับ Hard Disk Drive อิสระรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน MPT น่าจะช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ ที่ต้องแข่งขันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในระดับสูงได้ดีขึ้น จึงอาจเป็นโอกาสในการเก็งกำไรระยะสั้น ที่ระดับราคาไม่เกินราคาเสนอซื้อ 2.72 บาท/หุ้น เพราะรอดูนโยบายของผู้ถือหุ้นใหม่ว่าจะสามารถพลิกให้ MPT กลับมามีกำไรได้มากน้อยเพียงใด

Semico

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com