May 4, 2024   9:09:28 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ======= 5 อันดับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากสุดในเดือนส.ค ========
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/09/2007 @ 09:49:41
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เดือนสิงหาคมถือเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตการลงทุนมาก เห็นได้จากแรงเทขายของต่างชาติที่ออกมามากกว่า 35,407.20 ล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 889.76จุด (31 ก.ค.) และมายืนอยู่ที่ระดับ813.21 จุด (31 ส.ค.) หรือลดลง 46.55 จุด คิดเป็นดัชนีปรับลดลงถึง 5.41%

จากภาวะแรงเทขายที่ออกมาทั้งเดือน ส่งผลให้หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากสุดในเดือนส.ค.จึงมีเพียงหุ้นต่ำสิบเท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากเป็นหุ้นที่ซื้อง่ายขายคล่อง ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นได้เพียง 4 ตัว ประกอบด้วย KSL,TUF,GLOW และ MAKRO เท่านั้นที่ติดในกลุ่มราคาหุ้นขึ้นสูงสุด 50 อันดับแรก

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวแรงอันดับ 1 คือ SCAN หรือ บริษัท สแกนดิเนเวียลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 54.76% มาที่ระดับ 6.50 บาท (31 ส.ค.) จากเดิมอยู่ที่ 4.20
บาท (31 ก.ค.) หุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นแรงชัดเจนเมื่อวันที่ 16 ส.ค.. ที่ผ่านมา เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯได้บันทึกผลกำไรจากการซื้อหนี้จำนวน 231.7 ล้านบาท

โดยเป็นรายการพิเศษจากการหักกลบลบหนี้ระหว่างหนี้สินภายใต้สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ฉบับใหม่ และสิทธิร่วมในหนี้เงินกู้ยืม ของบริษัทฯ - สุทธิ" ในงบกำไรขาดทุนสำหรับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน2550 แล้ว ทำให้ผลการดำเนินงานปกติในงวดหกเดือนของบริษัทฯมีกำไรสุทธิจำนวน197.7 ล้านบาท หรือ 3.29 บาทต่อหุ้น
ประกอบกับปีนี้บริษัทได้จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.75 บาท ต่อหุ้นหุ้น เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนไม่มีการจ่ายปันผล จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนหุ้นรายนี้อย่างหนาแน่น

อันดับ 2 SAM หรือ บริษัท สามชัย สตีล อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 39.50% มาที่ระดับ 8.30 บาท จากเดิมอยู่ที่ 5.95บาท สาเหตุที่หุ้นปรับตัวแรงน่าจะเป็นผลมาจากการเก็งกำไรตามข่าว(EU)จะประกาศบกเลิกการทุมตลาด(เอดี)เหล็ก

ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทมีลูกค้าเก่าที่ยุโรปอยู่แล้ว ประกอบกับบริษัทอยู่ระหว่างการสำรวจตลาดในยุโรปเพิ่ม หาก SAM ส่งออกเหล็กไปยังประเทศแถบยุโรปได้ จะทำให้บริษัทมียอดส่งออกเหล็กเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดไว้ประมาณ 8-10% จากเมื่อปี 2549 ที่บริษัทมีอัตราการส่งออกสินค้าเพียง 2% เท่านั้น เนื่องจากตลาดยุโรป บริษัทไม่มีการส่งออกไปนานกว่า 4 ปีแล้วและบริษัทมีแผนขยายการส่งออกไปยังตลาดแถบสหัฐด้วย

ส่วนอันดับ 3 TCC หรือ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 36.62% มาที่ระดับ 1.94 บาท จากเดิมอยู่ที่ 1.42 บาทสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลมาจากแรงซื้อเก็งกำไรที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาหุ้นถูกทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคา

นอกจากนี้สัญญาณทางเทคนิคที่เป็นบวก ยิ่งเป็นแรงหนุนให้นักลงทุนแห่เข้ามาเล่นหุ้นรายนี้อย่างหนาแน่นอีกทาง อย่างไรก็ตามหากดูผลการดำเนินงานจะเห็นว่ายังขาดทุน ดังนั้นการเข้าลงทุนหุ้นรายนี้ต้องหาจังหวะเข้าออกให้ดี

อันดับ 4 EMC หรือ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 4.24 บาท จากเดิม 3.52 บาท หรือเพิ่มขึ้น 20.45% ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงเป็นผลมาจากผลประกอบการไตรมาส 2 ที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 33.90 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 9.14 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการก่อสร้าง เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 402 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 103

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจางานก่อสร้างในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านบาท คาดว่าได้ข้อสรุปภายในเดือนกันยายนนี้ และล่าสุดบริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารับงานในโครงการ CONSTRUCTION OF THE COLLEGE OFBUSINESS & COMPUTER SCIENCE (CMU) at Doha, State of Qatar จากเจ้าของโครงการในประเทศกาตาร์มูลค่า 350 ล้านบาท ซึ่งงานดังกล่าวเป็นงานระบบประกอบอาคาร ระยะเวลาสิ้นสุดการก่อสร้าง 5 มีนาคม 2551

ส่วนล่าสุด นายโกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ทยอยขายหุ้น EMC ออกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากวันที่ 8 ธ.ค.49 มาจนถึงปัจจุบันกว่า 23.93 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า107.68 ล้านบาท และประเด็นที่นายโกมลจะลาออกจากตำแหน่งกรรมการ EMC ก็เป็นไปได้ ว่าตัวเองไม่ได้ถือหุ้นแล้ว ส่วนจะเกี่ยวโยงกับกรณีการขายหุ้นของ BBL หรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ต้องถามนายโกมลเอง

อันดับ 5 BAT-3K หรือ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 20% มาที่ระดับ 54.00บาท จากเดิม 45.00 บาท การที่หุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นน่าจะเป็นการเก็งกำไรของนักลงทุนรายใหญ่ เนื่องจากหุ้นรายนี้อยู่กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นหลัก

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 78.45 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 18.98 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายในไตรมาสที่ 2/2550 จำนวน 1,267.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 426.96 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 50.77 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน

สาเหตุมาจาก มูลค่าขายในประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 30.33 เนื่องจากภาวะการแข่งขันด้านราคาของตลาดในประเทศยังคงมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถปรับราคาขายเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบได้ นอกจากนี้มูลค่าขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 80.67 ทั้งนี้ เนื่องจากการเพิ่มปริมาณ การส่งออก และการปรับราคาขายเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบ

ทั้งนี้แม้หุ้นขนาดเล็กจะปรับตัวขึ้นแรง แต่อย่าลืมว่าหุ้นเหล่านี้มีความสเยงเนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเก็งกำไร ดังนั้นการลงทุนในหุ้นประเภทนี้นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ เพราะการปรับตัวขึ้นของหุ้นบางครั้งจะปราศจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งมารองรับ


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com