May 3, 2024   11:45:53 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ไทยแลนด์โฟกัสกระสุนด้าน!
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 12/09/2007 @ 20:42:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เปิดม่านงานไทยแลนด์โฟกัส วันแรกมูลค่าการซื้อขายบางเฉียบไม่ถึงหมื่นลบ. ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นได้แบบเฉียดฉิว แถมต่างชาติขายสุทธิอีกกว่า 700 ลบ. แม้ ตลท.-ผู้ร่วมจัดงาน คุยฟุ้งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 558 คน เชื่อเรียกความเชื่อมั่นใจการลงทุนกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้แน่ แถมบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ-ราคาน้ำมันดิบหนุนสุดลิ่ม แต่ยังไม่สามารถปลุกบรรยากาศการลงทุนให้คึกคักได้ เซียนหุ้นฟันธง เป็นเพราะไม่มีประเด็นใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นมามีกระตุ้นการลงทุน จึงทำให้บรรยากาศยังจืดชืดเหมือนเดิม
วานนี้ (12 ก.ย.50) เป็นวันแรกของการเปิดงานประชุมผู้ลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์นานาชาติ Thailand Focus 2007 : Platforms for Growth ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และ Merrill Lynch ซึ่งหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้จัดเองคาดหวังกันว่างานดังกล่าวจะเข้ามาช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ให้คึกคักขึ้น เนื่องจากเป็นการฉายภาพที่ชัดเจนของทั้งภาพการเมืองและเศรษฐกิจของไทยที่จะมีผลต่อการลงทุนให้กับนักลงทุนทั้งสถาบันและต่างชาติได้รับทราบโดยตรง ซึ่งน่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้กลับคืนมาได้

- กก.และผู้จัดการ ตลท.มั่นใจงานนี้เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้แน่
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า การจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ปี 2547 และ ปี 2548 ที่ผ่านมานั้นประสบความ สำเร็จอย่างดียิ่ง เพราะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนัก ลงทุนสถาบันต่างประเทศ ส่งผล ให้มีการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส 2007 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และ Merrill Lynch ระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน2550 ณ โรงแรมพลาซ่าแอธินี กรุงเทพฯ นับเป็นช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะสถานการณ์ภายในประเทศมีความเหมาะสม โดยเฉพาะการลงประชามติเรียบร้อยไปด้วยดีและจะมีการเลือกตั้งภายในปีนี้

?การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ รวมทั้ง นักลงทุนสถาบันมีโอกาสรับฟังเป้าหมาย และยุทธศาสตร์การบริหารประเทศจากองค์กรธุรกิจจากผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกองทุน ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนสถาบันชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา กลุ่มประเทศยุโรป และกลุ่มประเทศเอเชียประมาณ 90 คน ซึ่งมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการกว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (หรือมีมูลค่าประมาณ 105 ล้านล้านบาท) ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยประมาณ 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (หรือมีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท)

นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงและผู้จัดการกองทุนสถาบันภายในประเทศประมาณ 90 คน ซึ่งเป็นผู้ดูแลกองทุนทั้งในรูปของกองทุนหุ้น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ตอบรับในการเข้าร่วมงาน โดยมีสินทรัพย์ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยกว่า 4 แสนล้านบาท? นางภัทรียากล่าวและว่า การจัดงานในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษหัวข้อเรื่อง ?This Governments Legacy for Thailand? โดยผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง รวมทั้ง ผู้บริหารระดับสูง จากธนาคารแห่งประเทศไทย , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) , ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)หรือ EXIM BANK , ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (ตสล.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย , สมาคมธนาคารไทย , สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

?นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกที่ตลท. ได้เชิญตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนอีก 5 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ให้ส่งบริษัทจดทะเบียนของตนมาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางและความท้าทายของการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นจุดแข็งของภูมิภาคนี้ นับเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนที่มีเป้าหมายร่วมกันที่จะสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดของตลาดทุนในภูมิภาค? กก.และผจก.ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าว

-รองผู้จัดการ ตลท. ย้ำชัดเป็นผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ด้านนายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลท. กล่าวถึงการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน ผ่านทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ว่า เชื่อว่าการจัดงานดังกล่าวจะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กองทุนต่างประเทศได้มากขึ้น หลังจากที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองมานาน จนทำให้ปีที่แล้วไม่ได้จัดงานไทยแลนด์โฟกัส เนื่องจากนักลงทุนจะได้รับทราบว่าทิศทางการเมืองไทยและแนวนโยบายของรัฐบาลในอนาคตจะเป็นอย่างไร
?งานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ จะมีผู้จัดการกองทุนจากทั่วโลกเข้าร่วมงานประมาณ 250 คน และมีบริษัทจดทะเบียนของไทยที่กองทุนต่าง ๆ อยากพบเข้าร่วมงานประมาณ 63 บริษัท ครอบคลุมมูลค่าของตลาดกว่าร้อยละ 60 โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะปาฐกถาถึงนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันและการส่งต่อให้กับรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง จากนั้นจะมีแกนนำของพรรคใหญ่คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาแสดงวิสัยทัศน์หากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล? นายวิเชษฐ์ กล่าว

นายวิเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในงานนี้จะมีการสัมมนาของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เข้าร่วมงานด้วย อาทิวันที่ 12 ก.ย. 50 จะมีการสัมมนาของกลุ่มยานยนต์ในหัวข้อ ?Thailands
Automotive Industry Outlook? เนื่องจากไทยมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์เป็นจำนวนมาก แต่มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่มากนัก ถ้าสามารถ
นำบริษัทเหล่านี้มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) นับแสนล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้เชิญบริษัทจดทะเบียนของสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม มาเข้าร่วมพูดคุยเรื่อง Opportunities and Challenges for Tourism
Development in ASEAN เป็นต้น

?หลังการจัดงาน Thailand Focus ครั้งนี้ จะต้องใช้เวลา 30- 45 วัน กว่าจะเห็นผลอย่างชัดเจน เพราะนักลงทุนจะต้องนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ก่อนที่จะตัดสินใจ?
นายวิเชฐ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีทุนต่างชาติลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทยคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่ารวม หรือ 1.5 ล้านล้านบาท จาก 6 ล้านล้านบาท และเฉพาะปีนี้มีเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติซื้อสุทธิล่าสุดกว่า 90,000 ล้านบาท ในบางช่วงบางเวลาที่มองว่าตลาดหุ้นซบเซานั้น ถ้ามองยอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทตลอดมา แต่ที่เห็นซบเซาลงไปคือการลงทุนของรายย่อยที่อาจซึมซับข่าวในประเทศมากกว่าชาวต่างประเทศ

- บล.ภัทรมั่นใจไฮไลต์ของงานอยู่ที่ สปีดนายกฯ
นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ภัทร กล่าวว่า ไฮไลต์ของงาน Thailand Focus ครั้งนี้ คือ การกล่าวเปิดงานของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในตลาดทุน รวมทั้งยังมีตัวแทนพรรคการเมืองที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับนโยบายในการบริหารประเทศด้วย นอกจากนั้นยังมีการสัมมนาของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการพบปะพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นนักลงทุนสถาบันที่มาร่วมงานนี้ก็จะได้รับข้อมูลทั้งนโยบาย และการบริหารงานของบริษัทจดทะเบียนในอนาคตด้วย

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมี Market Cap 6 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประมาณ 50% ของ Market Cap หรือ 3 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 50% ที่เหลือแบ่งเป็นนักลงทุน
ต่างชาติประมาณ 33% นักลงทุนสถาบัน 8 - 10% และที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย เมื่อนักลงทุนต่างชาติมีการเคลื่อนไหวการลงทุน ก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทันที ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรจะเร่งสร้างนักลงทุนให้มากขึ้น รวมทั้งการหาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนด้วย

นายสุวิทย์เห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรที่จะประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของกิจการขนาดใหญ่รับทราบถึงประโยชน์ของการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่เข้าใจว่า เมื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะทำให้สูญเสียความเป็นเจ้าของ รวมทั้งยังมีต้นทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย

- Merrill Lynch เชื่อเป็นโอกาสที่ต่างชาติจะมีมุมมองที่ถูกต้องต่อไทย
นายแอนเดอร์ส วิลห์บอร์น (Anders Wihlborn) ผู้บริหารระดับสูงจาก Merrill Lynch กล่าวว่า การจัดงาน Thailand Focus ในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้นักลงทุนต่าง
ประเทศได้มีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย โดยระยะที่ผ่านมาเมอรริล ลินช์ได้มีมุมมองต่อตลาดทุนไทยมีความน่าลงทุนในระยะสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค เพราะเชื่อว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด (V-shaped recovery) ทั้งนี้ พีอีของไทยก็ต่ำกว่าพีอีในภูมิภาคประมาณ 40% เนื่องจากกำไรของบริษัทไม่ขยายตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและปัญหาจากความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์ต่างๆการเมือง และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงทั้งในเชิงของการบริโภคและการลงทุน ทั้งนี้ คาดว่าการเมืองที่คลี่คลายจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น

- ตลท.ฟุ้ง ไทยแลนด์โฟกัส วันแรกคึกคัก ผู้ร่วมงานเกินคาด มียอดผู้ลงทะเบียน 558 คน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงการจัดการประชุมผู้ลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์นานาชาติ Thailand Focus 2007 :Platforms for Growth ในวันที่ 12 กันยายน 2550 ว่า งานนี้ได้รับความสนใจเกินความคาดหมาย โดยมีผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมงานถึงกว่า 270 คน เกินกว่าที่ได้รับแจ้งว่าผู้เข้าร่วมงานจะมีประมาณ 200 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ลงทุนจากต่างประเทศ ประมาณ 90 คน และในประเทศประมาณ 180 คน

นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารจากองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนอีกกว่า 218 คน รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศอีก 140 คน รวมแล้วมีผู้ที่ลงทะเบียนร่วมงาน Thailand Focus 2007 ถึง 558 คน

ทั้งนี้ การกล่าวปาฐกถาในช่วงเช้าโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ได้ให้ความมั่นใจต่อผู้ลงทุนว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่
สำคัญของการพัฒนาทางการเมืองในอนาคตของประเทศไทย เนื่องจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในสิ้นปีนี้ ทำให้คาดได้ว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเดือนมกราคม นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการวางรากฐานในกาปฏิรูปนโยบาย เพื่อเป็นฐานที่แข็งแกร่ง 4เสาหลักเพื่อการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ประกอบด้วยการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน การสร้างรากฐานแก่การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม การเสริมสร้างความเข้มแข็งเป็นน้ำหนึ่งใจดียวกันในชาติ และการปฏิรูปทางการเมือง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมที่ยังถือได้ว่ามีเสถียรภาพ โดยคาคว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะ
เติบโตร้อยละ 4 ? 4.5 โดยมีปัจจัยหลักด้านส่งออกเป็นตัวผลักดัน ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้ง การขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับความสนใจของผู้เข้าฟังการสัมมนาในวันแรกนี้ ปรากฏว่ามีผู้ลงทุนสนใจร่วมฟังข้อมูลตลอดทั้ง 2 หัวข้อ และเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย นับว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อไป และมีแนวโน้มที่จะมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งแสดงความมั่นใจว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยจะเติบโตได้ในอัตราร้อยละ 16 ในปัจจุบัน และจะเพิ่มเป็นร้อยละ 37 ในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 2553) โดยเชื่อว่าจะมีการลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาในอนาคต จึงอุตสาหกรรมยานยนต์นับเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่เป็นเป้าหมายของผู้ลงทุนต่างประเทศเช่นกัน

ในขณะที่การนำเสนอข้อมูลโดยตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนในงาน Thailand Focus เป็นครั้งแรก โดยบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นตัวแทนจากตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซ่า มาเลเซีย
ตลาดหลักทรัพย์จาการ์ตา ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดแข็งของภูมิภาคนี้โดยชี้ว่าธุรกิจทั้งด้านการท่องเที่ยวและสายการบินยังมีอนาคตที่สดใส เห็นได้จากอัตราการจองห้องพักที่มีอย่างต่อเนื่อง และไม่เพียงพอกับความต้องการ รวมทั้งเริ่มมีความต้องการบุคลากรเพื่อทำงานในสาขานี้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริหารของบริษัทต่างๆ ยังแสดงความมั่นใจที่จะลงทุนเพิ่มในธุรกิจของตนด้วยจึงนับได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนนี้ที่สำคัญยังเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความพยายามในการทำงานร่วมกัน เพื่อแสดงศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน และเพิ่มความแข็งแกร่งของภูมิภาคนี้ โดยตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนจะร่วมมือกันเพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องต่อไป


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 12/09/2007 @ 20:44:41 :
ผิดคาด! เปิดงานวันแรกกระสุนด้าน ต่างชาติยังขายสุทธิเกือบ 800 ลบ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ว่าวานนี้จะมีการเปิดงาน Thailand Focus เป็นวันแรก แต่ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ตอบรับกับข่าวนี้เท่าใดนัก เพราะบรรยากาศการซื้อขายในวันนี้ยังเป็นไปแบบซึมเซา โดย ตลอดทั้งวันดัชนีฯ แกว่งตัวในกรอบแคบ 800-805 จุด แม้ว่าวานนี้จะมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนในหลายปัจจัย ทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนใหญ่จะปรับเพิ่มขึ้น ทั้งดัชนีดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 180.54 จุด ดัชนีเวทเต็ดปิดเพิ่มขึ้น 15 จุด และดัชนีฮั่งเส็ง ปิดเพิ่มขึ้น 357.90 จุด และราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนตุลาคม ที่ตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดที่ราคา 78.23 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ แต่ก็ไม่ช่วยให้การซื้อขายในหุ้นกลุ่มน้ำมันคึกคักขึ้นได้มากนัก จึงทำให้ปิดการซื้อขาย ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นเพียง 0.46 จุด หรือ 0.06% มาอยู่ที่ระดับ 802 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 8,884.84 ล้านบาท และประการสำคัญนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ ถึง 784.61 ลบ. สะท้อนว่า ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนให้คืนกลับสู่ตลาดหุ้นไทยได้

- เซียนหุ้นฟันธงงานไม่มีผลต่อตลาดฯ เพราะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนยาว
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่าจากปริมาณการซื้อขายที่เบาบางในตลาดหุ้นไทยวานนี้ สะท้อนว่าเม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศยังไม่กลับเข้ามาลงทุนเต็มตัวจากความกังวลในเรื่องปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้เคลื่อนไหวหวือหวา และแม้ว่าวันนี้จะมีการจัดงาน Thailand Focus 2007 ขึ้นเป็นวันแรก และมีนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในวันนี้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการจัดงานดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ระยะยาวในการลงทุนมากกว่า

"วันนี้หุ้นบ้านเรา Side way ตลอดทั้งวัน หลักๆ เป็นเพราะ Fund Flow ยังไม่กลับเข้ามาลงทุน เพราะยังรอดูในเรื่องของปัญหาซับไพร์มว่าจะลุกลามมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติรอประเมินสถานการณ์แบ่งพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ ซึ่งเชื่อว่าหากปัญหาซับไพร์มสามารถคอนโทรลได้ เชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติก็จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น"นางสาวมยุรี กล่าว

ด้านนายกมลชัย พลอินทวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนิตี้ กล่าวว่างานไทยแลนด์โฟกัสที่เปิดงานวันนี้เป็นวันแรก มองว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยได้ในอีก 1 เดือนข้างหน้า โดยจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบผันผวน คือขึ้นแรง แล้วก็ปรับตัวลดลง และก็ปรับเพิ่มขึ้นอีก เช่นเดียวกับการจัดงานครั้งที่ผ่านมา

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันพรุ่งนี้คาดว่า ดัชนีฯมีโอกาสแกว่งตัวในแดนบวก แต่บรรยากาศการลงทุนก็ยังคงไม่คึกคักมากนักเนื่องจาก เชื่อว่านักลงทุนยังคงกังวลกับปัญหาซับไพร์มของสหรัฐที่กระทบเศรษฐกิจวงกว้าง จนกว้างจะจึงการประชุมของเฟดในวันที่ 18 กันยายนนี้

- ฟินันซ่า เชื่อ เป็นงานนี้เพราะไม่มีประเด็นใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นมามีกระตุ้นการลงทุน
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวว่าหลังจากที่เราได้เข้าร่วมรับฟังการสัมมนางาน Thailand Focusในช่วงเช้าที่ผ่านมาสรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้

1) นายกรัฐมนตรี ยืนยันกับนักลงทุนต่างชาติที่เข้าร่วมงานว่า รัฐบาล และคมช.จะร่วมกันดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรมเพื่อนำประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบโดยเร็ว ซึ่งคาดว่าจะมีรัฐบาลใหม่ในเดือนม.ค.51

2) เศรษฐกิจของไทยมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพียงพอจะรองรับผลกระทบทั้งจากภายในและภายนอกได้ดีและคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับ 4.0-4.5% ปีนี้
โดยมีการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนหลักขณะที่รัฐบาลพยายามเร่งรัดการใช้จ่ายเพื่อช่วยกระตุ้นอีกแรงหนึ่ง

3) การลงทุนในสาธารณูปโภคจะถูกผลักดันให้เริ่มขึ้นภายในปีนี้โดยโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินจะเร่งการประมูลสำหรับ 2 เส้นทางในกรุงเทพ และชานเมืองรวมถึงการลงทุนด้านท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการรออนุมัติของBOI และ EIA สำหรับโครงการด้านปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

4) ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว 14.8ล้านคนในปี 2550ขณะที่งานเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษาครบ 80พรรษามีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดปี

5) รัฐบาลยังคงขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน ระหว่างไทยและประเทศอื่นๆผ่านข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคี อาทิ JTEPA และ อินเดีย

กล่าวโดยสรุป ถ้อยแถลงดังกล่าวแม้เป็นประโยชน์ต่อประเทศและสร้างความเชื่อมั่นในบรรยากาศการลงทุน แต่ไม่มีประเด็นใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นหรือผลักดันการลงทุนให้กับตลาด ส่วนในวันนี้จะมีการสัมมนาเกี่ยวกับ นโยบายพลังงานและการเสนอนโยบายเศรษฐกิจของสองพรรคการเมืองได้แก่ พลังประชาชน และ ประชาธิปัตย์เป็นปัจจัยต่อการคาดการณ์มุมมองของนโยบายก่อสร้างในรัฐบาลใหม่ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา และวัสดุก่อสร้าง แนะนำ STEC, ITD และ SCCส่วนการสัมมนาในช่วงสายจะเกี่ยวกับหุ้นกลุ่ม ICT ซึ่งเราคาดว่าไม่น่าจะมีอะไรใหม่หรือเป็นบวกต่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงแต่เป็นการฉายภาพธุรกิจรวมกับอุปสรรคที่ผู้ประกอบการพบเจอเท่านั้น




:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com