April 29, 2024   2:56:08 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ต.ค. เดือนทองคำ ได้เวลาเกี่ยวกำไร
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 02/10/2007 @ 22:53:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เดือน ต.ค. ได้เวลาเก็บเกี่ยวกำไร เซียนหุ้นฟันธงก่อนเลือกตั้งัชนีฯวิ่งแน่ 6 เซียนเฟ้นหุ้นเด็ด ราคาสบายกระเป๋า UMS-MCOT-BEC-CK-ITD-BAY จัดเป็นหุ้นดีในดวงใจ ด้าน บล.บัวหลวง ชี้รออีกหน่อยปลอดภัยกว่า มองหุ้นไม่พ้น 850 จุด มีโอกาสอ่อนตัวลงแตะ 800 จุดต้นๆอีกครั้ง

เดือน ต.ค.นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว หรือเก็บหุ้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค. นี้ ซึ่งนอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องของการเลือกตั้งแล้ว ยังมีเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะต้องมีการลดดอกเบี้ยลงอีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาปัญหาซับไพร์ม ขณะที่เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วว่าช่วงปลายปีจะมีเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุน ท่ามกลางเหตุผลเดิมๆ ว่าหุ้นไทยยังมี P/E ต่ำกว่าตลาดอื่นๆ
eFinanceThai.com รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนสำหรับรายย่อย ด้วยการเฟ้นหาหุ้นเด็ดจาก 5 เซียน ที่ราคาอยู่ในระดับไม่สูงเกินเอื้อม เพื่อเป็นทางเลือก ให้เลือกช้อปกันได้ตามสะดวก

**บิ๊กไซรัส เปิดสถิติหุ้นก่อนเลือกตั้งขึ้นทุกครั้ง แม้เกิดปฏิวัติ
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส เปิดเผยว่า จากสถิติที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทุกครั้งก่อนการเลือกตั้ง แม้กระทั่งในช่วงปี 2535 ที่มีการเลือกตั้งใหม่หลังจาก รสช.ยึดอำนาจการปกครอง ดัชนีฯก็ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 711 จุดไปสู่ 826 จุด ก่อนการเลือกตั้ง ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงคาดการณ์ว่า ดัชนีฯก็น่าจะปรับขึ้นได้เช่นกัน แม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งหลังเกิดการรัฐประหารก็ตาม

อย่างไรก็ตามสำหรับรอบนี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาซับไพร์ม และการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมไปเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ที่อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นของตลาดฯ
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน) (ASL) เปิดเผยว่า ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสูงที่จะปรับเพิ่มขึ้น และมองว่าจะเป็นเดือนที่ระดับดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด เนื่องจากความกังวลจากปัญหาซับไพร์มเบาบางลง รวมทั้งนักลงทุนส่วนหนึ่งจะเข้ามาซื้อหุ้น โดยคาดหวังปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดีเชื่อว่าในสัปดาห์นี้จะมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ เร่งเข้ามาซื้อหุ้นก่อนที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อ ดังนั้นหากนักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาซื้อหุ้นในเวลาปัจจุบันอาจจะถือว่าช้าเล็กน้อย แต่ยังประเมินภาพรวมว่าตลอดทั้งเดือนตุลาคมก็ยังสามารถลงทุนได้ โดยเน้นกลยุทธ์ซื้อมากกว่าขาย

ทั้งนี้หลังจากเดือนตุลาคมไปแล้ว คือในเดือนพ.ย. และธ.ค. อาจมีแรงขายหุ้นออกมาจนทำให้ตลาดหุ้นผันผวน โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น ได้แก่ความไม่แน่นอนของการกำหนดวันเลือกตั้งและผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มรอบสอบอันเกิดจากการขยายตัวของปัญหาที่ลามไปสู่ภาคธุรกิจที่แท้จริง หากสหรัฐฯไม่สามารถจำกัดการขยายวงกว้างของปัญหาซับไพร์มในช่วงนี้ได้

นอกจากนี้ในส่วนของราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวนเช่นกัน ก็จะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยด้วย เนื่องจากแม้การที่ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นแรงจะช่วยให้หุ้นหลายๆตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น PTT, PTTEP ปรับขึ้นแต่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงกลั่นได้แก่ TOP,RRC จะได้รับค่าการกลั่นลดลง ส่งผลกระทบไปยังผลประกอบการได้

**ทรีนีตี้ให้หุ้นไม้เด็ดก่อนเลือกตั้ง UMS-AP-RRC ชี้ราคาไม่แพง-พื้นฐานแน่น
นายกมลชัย พลอินทวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึง หุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อยก่อนการเลือกตั้งในช่วงสิ้นปีนี้ ได้แก่ หุ้นบมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (UMS) หุ้นบมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) และ โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) ซึ่งหุ้นดังกล่าวมีราคาไม่แพงมากเกินไป และมีแนวโน้มที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและสามารถรอขายทำกำไรหลังช่วงการเลือกตั้งได้
โดยหุ้น UMS จะมีความโดดเด่น เนื่องจากในช่วงเดือนหน้าจะมีการแจกวอร์แรนต์ จึงน่าจะทำให้ราคาหุ้นขยับเพิ่มขึ้นมาได้ โดยประเมินแนวรับ 24.00-23.00 บาท แนวต้าน 27.00-28.00 บาท

ส่วน AP คาดการณ์ว่าจะมีผลกำไรในไตรมาส 3 ออกมาค่อนข้างดี ซึ่งมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นตอบรับข่าว Q3 ประเมินแนวรับ 6.3-6.0 บาท แนวต้าน 7.00-7.30 บาท และหุ้น RRC ที่ยังมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับผลประโยชน์ที่ควบรวมกับ ATC (บมจ.อะโรเมติกส์) ในช่วงปีหน้า แนะนำให้นักลงทุนที่มียังไม่หุ้นอยู่ในพอร์ตรอซื้อที่แนวรับ 24.5-23.5 บาท โดยไม่ขอประเมินแนวต้าน เพราะต้องการให้นักลงทุนที่มีหุ้น RRC อยู่ในพอร์ตให้ถือเก็บไว้รอขายทำกำไรในเดือนมกราคม

**พัฒนสินชี้ CK-BEC แจ่มจริง
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวถึงหุ้นที่น่าสนใจก่อนการเลือกตั้งสำหรับนักลงทุนรายย่อย ว่าน่าจะซื้อเก็งกำไรหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC
โดย CK เป็นบริษัทฯที่น่าจะได้รับงานเมกะโปรเจ็กต์หลังจากมีมีรัฐบาลเข้ามา รวมทั้งบริษัทน้ำประปาไทยซึ่งเป็นบริษัทฯย่อยเตรียมที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิ้นปีนี้ และล่าสุดบริษัทฯก็เพิ่งได้รับงานก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทาง และจัดการจราจรของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยด้วย จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจ ทั้งนี้ประเมินแนวรับระยะสั้นไว้ที่ 9 บาทส่วนแนวต้านประเมินที่ 9.70 บาท โดยประเมินแนวรับระยะยาวก่อนการเลือกตั้งไว้ที่ 8.60 บาท และแนวต้าน 10.50 บาท

สำหรับ BCE มองว่าน่าจะได้รับรายได้เพิ่มจากการโฆษณาหาเสียงของพรรคการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้งขึ้น ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และอินเตอร์เน็ต โดยประเมินแนวรับระยะสั้นไว้ที่ 22.50 บาท ส่วนแนวต้านประเมินที่ 24 บาท และแนวรับระยะยาวก่อนการเลือกตั้งประเมินที่ 22 บาท ส่วนแนวต้าน 25.50 บาท


**นครหลวงไทยให้ MCOT-BEC เหตุรับผลดีจากงบประชาสัมพันธ์
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า หุ้นที่น่าสนใจช่วงก่อนการเลือกตั้ง โดยนักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าซื้อได้เช่น หุ้นของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT และหุ้นของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC เพราะได้รับผลดีจากการได้งบประมาณเพื่อประชาสัมพันธ์ก่อนการเลือกตั้ง

**ฟาร์อีสท์ ระบุต้องรับเหมาเท่านั้น
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์เปิดเผยถึงหุ้นน่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเก็งกำไรในช่วงก่อนการเลือกตั้งว่าน่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะเดินหน้าหลังมีความชัดเจนเรื่องรัฐบาลชุดใหม่ โดยหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มนี้มองว่าเป็นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เพราะจะได้รับผลดีจากบริษัทร่วมคือ น้ำประปาไทย (TTW) กำลังจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯต้นธันวาคม 2550 ซึ่ง CK จะมีกำไรจากการขายหุ้นเพิ่มทุน( IPO) และกำไรที่ยังไม่รับรู้จากการลงทุนในระยะยาวใน TTW ประเมินแนวรับ 9.10 บาท แนวต้าน 9.80 บาท

นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ทั้งนี้มองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการเมืองที่มีความชัดเจนภายหลังการเลือกตั้ง น่าจะส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าจะส่งผลให้มีโครงการใหม่เพิ่มขึ้นทำให้อุตสาหกรรมในปีหน้าเติบโต แนะนำซื้อ มีแนวรับ 7.45 บาท แนวต้าน 8 บาท

ส่วนหุ้นน่าจะเข้าเก็งกำไรจากการจ่ายปันผลดีคือ บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) อีกทั้งราคาปัจจุบันยังถือว่าต่ำกว่าราคาเหมาะสมคือ 4.80 บาท แนะนำซื้อ นอกจากนี้มองว่าหุ้นในกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ ก็น่าจะได้รับผลดีจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังการเลือกตั้ง เพราะน่าจะช่วยทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจในส่วนของยอดส่งออกเติบโตขึ้น ซึ่งหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มนี้คือ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET เนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและธุรกิจบริษัทที่เติบโตต่อเนื่อง แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 7 บาท

**ASP แนะรับเหมา-แบงก์-พลังงาน
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธการลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่าหลักทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนก่อนจะมีเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 หุ้นในกลุ่มพลังงานรับเหมาก่อสร้างและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรวมทั้งมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งนักลงทุนรายย่อยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็กได้ โดยหุ้นที่มีความโดดเด่นประกอบตัว บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน)หรือ RRC ,บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC ,บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ,บริษัท ซิโน-ไทยเอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ,ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY
"การลงทุนก่อนเลือกตั้งก็ควรเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัว โดยนักลงทุนรายย่อยก็เล่นในกลุมพลังงาน แบงก์ รับเหมาที่ราคาไม่แพงมากและตัวเล็ก โดยทยอยลงทุนได้ " นายภูวดล กล่าว

**จัดพอร์ตแบบกิมเอ็ง
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำการจัดพอร์ตโดยยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ 70% ของพอร์ทการลงทุน

สัดส่วน(%) หุ้นหลัก
เงินสด 30%
หุ้นขนาดใหญ่ 20% PTT, ADVANC, KBANK และ BBL
หุ้นไวต่อดัชนี 24% BAY, TOP, DTAC, TTA, ASP, BLS และ BSEC.
หุ้นมีประเด็น 20% SAT, MCOT, HANA, KCE, CPF, STEC, และ MAJOR
หุ้นขนาดเล็ก 6% OISHI, MCS, TRC, MFEC,TPC, TOG และ NNCL

นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวถึงหุ้นที่น่าสนใจก่อนการเลือกตั้งสำหรับนักลงทุนรายย่อยว่าน่าจะเก็งกำไรหุ้นของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT เพราะบริษัทได้รับงบโฆษณาจากภาครัฐ โดยให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 36 บาท และหุ้นของบริษัทบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เนื่องจากการจัดกิจกรรมของบริษัทฯ น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น จึงทำให้ธุรกิจการขายมือถือก็น่าจะดีตาม โดยให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 16 บาท

นอกจากนี้ แนะนำให้ซื้อเก็งกำไรหุ้นของบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เพราะคาดว่ายอดขายรถยนต์น่าจะเพิ่มขึ้น จึงอาจจะทำให้ตลาดรถยนต์มีโอกาสเติบโตขึ้น และหุ้นของบริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ CP7-11 โดยเชื่อว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคน่าจะเพิ่มขึ้น โดยให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 12 บาท

**BLS ชี้ยังไม่ใช่จังหวะซื้อหุ้น
นาวสางปองรัตน์ รัตนะตวนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ยังไม่แนะนำนักลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้ แม้จะประเมินว่าหุ้นจะขึ้นก่อนการเลือกตั้ง หลังจากที่ดัชนีขึ้นทดสอบแนวต้าน 850 จุด หลายครั้งแต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงเพื่อพักฐานมาที่ระดับ 800 จุดต้นๆอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นจังหวะที่สามารถซื้อหุ้นเพื่อดักข่าวการเลือกตั้งได้

ส่วนหุ้นที่น่าสนใจ ยังเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และเดินเรือ แต่ให้รอจังหวะอ่อนตัวในการเข้าซื้อจะดีกว่า

ล่าสุดดัชนีฯปิดการซื้อขายที่ 845.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.45 .35 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,785.73 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 959.60 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 41.13 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,000.74 ล้านบาท



:lol: [/color:dc28bac191">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com