April 29, 2024   10:16:02 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เซียนหุ้นมองกลุ่มเหล็ก รับผลดี
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/10/2007 @ 09:28:56
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เซียนหุ้นมองตรงกัน โครงการรถไฟฟ้ามีความชัดเจนแล้ว 2 เส้นทาง เชื่อเป็นผลดีต่อหุ้นเหล็กยกยวง เนื่องจากทำให้ปริมาณการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติถึง 2-3 เท่าตัว แต่ยอมรับจะเห็นผลดีชัดเจนทั้งราคาหุ้นและผลประกอบการในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงเริ่มการก่อสร้าง แต่ช่วงนี้เป็นโอกาสเก็บของเพื่อเก็งกำไรรับข่าวเป็นระยะ พร้อมฟันธง! TSTH เจ๋งสุดในกลุ่มเหตุ ได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่งในช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกพุ่ง แนะเก็งกำไร ให้ราคาเหมาะสม 1.80-2.24 บาท

ความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจ็กของรัฐบาล ที่เริ่มชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ที่ล่าสุดได้มีความชัดเจนแล้วถึง 2 เส้นทาง คือ เส้นทางสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ที่ล่าสุดได้เปิดขายซองประมูลแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3-12 ตุลาคม และเส้นทางสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ที่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมานั้น ทำให้หลายฝ่ายมองว่านอกจากกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยตรงแล้ว กลุ่มเหล็กก็จะได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากจะทำให้ปริมาณความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และในเรื่องนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักได้มองเห็นตรงกัน ถึงประโยชน์ที่ผู้ประกอบการเหล็กจะได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว

- เซียนหุ้นมองกลุ่มเหล็ก รับผลดีหลังรถไฟฟ้าเริ่มเดินหน้า โดยเฉพาะ TSTH สุดแจ่ม
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงว่า ความชัดเจนของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งสองเส้นทาง ทั้งสายสีแดง และสายสีม่วง น่าจะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวมีการซื้อขายคึกคักขึ้น รวมทั้งหุ้นในกลุ่มเหล็ก ที่รับประโยชน์โดยตรงจากความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโครงการดังกล่าว

เขากล่าวอีกว่า สำหรับหุ้นในกลุ่มเหล็กมองว่าหุ้นที่น่าสนใจที่สุด คือ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ TSTH เนื่องจากนอกจากจะได้รับประโยชน์จากการเริ่มเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าแล้ว TSTH ยังถือเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากราคาเหล็กเส้นที่แพงขึ้น ซึ่งมีการซื้อขายภายในประเทศกันที่ 19.60 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ TSTH ได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่า จาการนำเศษเหล็กมาเป็นวัตถุดิบและสามารถหลอมเองได้ ซึ่งคู่แข่งอย่างบริษัทบางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน ) หรือ BSBM ยังคงประสบปัญหาการนำเข้าของวัตถุดิบ Billet จากจีนที่ใช้ในการทำเหล็กเส้น ซึ่งมีราคาแพงถึง 20 บาท/กิโลกรัม จึงมองว่าหุ้นTSTH เหมาะสมในการลงทุนจากการเริ่มดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้า ทั้งนี้มองว่าจะมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มเหล็กเข้ามาชัดเจนภายในกลางปีหน้า เนื่องจากเป็นช่วงที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าดังกล่าว โดยมองราคาพื้นฐานของ TSTH ปี51 ไว้ที่ 2.10 บาท

ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่ คาดว่าหุ้นกลุ่มเหล็กก็น่าจะได้รับผลดี เนื่องจากจะทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นจากใช้เดิมถึง 2-3 เท่า แต่มองว่าช่วงนี้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจจะยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่อง จากยังไม่เห็นความชัดเจนในก่อสร้างโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ประเมินว่าจะเห็นความชัดเจนของราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นได้นั้นคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลางปีหน้าประมาณไตรมาส 2/2551 และไตรมาส 3/2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้า

"แม้ว่าหุ้นกลุ่มเหล็กเป็นหุ้นที่ได้รับผลดีทางอ้อม แต่ก็ถือว่าได้รับผลดีจากโครงการรถไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ส่วนหุ้นที่รับผลโดยตรงก็คงเป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เข้าร่วมประมูลรับงานก่อสร้างในโครงการเหล่านี้ " นักวิเคราะห์ กล่าวและว่า

มองว่าหุ้นทุกตัวในกลุ่มเหล็กน่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวแต่คาดว่าหุ้นที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นหุ้นบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เนื่องจาก TSTH ได้เปรียบคู่แข่งทางด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพราะมีบริษัทฯแม่ ตั้งอยู่ที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำอุตสากรรมเหล็กระดับโลก ที่ป้อนผลิตภัณฑ์มาให้ซึ่งถ้าหากว่าขายเหล็กไม่หมดก็สามารถส่งคืนกลับได้ จึงทำให้บริษัทฯมีกำไรมาก รวมทั้งราคาเหล็กอยู่ในระดับสูง จึงได้เปรียบคู่แข่งอื่น ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำว่าให้ซื้อเก็งกำไร โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 2 บาท

ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์อีกรายหนึ่ง กล่าวว่า ความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล็ก แต่เนื่องประเด็นดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในระยะสั้น เพราะการก่อสร้างกว่าจะเกิดขึ้นต้องใช้เวลาอีกนาน จึงมองว่าน่าจะส่งผลดีกับกลุ่มเหล็กในระยะยาวมากกว่า และมองว่ากลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าน่าจะเป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมากกว่า

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเหล็กที่น่าลงทุนที่สุด คือหุ้นของ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มเหล็กที่มีความโดดเด่น ผลประกอบการที่ดี และในปลายปีหน้าบริษัทมีการลงทุนโรงงานถลุงเหล็ก ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาพื้นฐานอยู่ที่ 1.87 บาท
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบล.นครหลวงไทย กล่าวว่า จะส่งผลดีทั้งทางด้านจิตวิทยา และด้านการลงทุนที่แท้จริงต่อกิจการที่เกี่ยวข้องกับเหล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่มีการจำหน่าย หรือเป็นผู้ผลิตเหล็กเส้นสำหรับใช้ในโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น บมจ.ทาทาสตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH ที่มองว่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงมากที่สุดเนื่องจากโดยปกติ TSTH ก็มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 28%อยู่แล้ว และแนวโน้มก็ยังจะสามารถปรับสูงขึ้นได้อีกมาก

อย่างไรก็ตามแม้จะประเมินว่าบริษัทเหล็กอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์ด้วย แต่ผลดีอาจจะน้อยกว่าและคงไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเพราะในภาพรวมผู้ผลิตเหล็กเส้นย่อมจะได้รับประโยชน์ก่อน โดยช่วงเวลาที่ผลประกอบการของบริษัทต่างๆจะออกมาดีอย่างชัดเจน คาดว่าจะเป็น ไตรมาส 3 /2551 เพราะความต้องการเหล็ก และการสั่งซื้อเหล็กเก็บเข้าสต็อกรอใช้หรือขาย จะเกิดขึ้นประมาณช่วงกลางปี 2551 นอกจากนี้ยังมองว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเหล็กชนิดอื่นเช่นเหล็กแผ่นรีดร้อน รีดเย็น เป็นต้น จะได้รับผลดีจากผลพวงของการทำรถไฟฟ้าทางอ้อม และการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวม

อีกทั้งในปีนี้ รัฐบาลยังไม่ได้มีการวางโครงการขนาดใหญ่ๆออกมามากเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นในรัฐบาลชุดต่อไปน่าจะมีโครงการลงทุน หรือก่อสร้างเพิ่มเติมออกมาอีก ทำให้ความต้องการใช้เหล็กทุกชนิดคอยๆเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้เชื่อว่าในปี2550นี้จะนับเป็นจุดต่ำสุดของกลุ่มธุรกิจเหล็ก และในอนาคตทุกบริษัทจะมีการฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจได้

บทวิเคราะห์ บล.ซิมิโก้ ระบุว่า TSTH จะได้รับประโยชน์จากการเดินหน้าเต็มที่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ทั้งสายสีแดงที่จะเริ่มขายเอกสารประกวดราคาวานนี้ และสายสีม่วง ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติรูปแบบการลงทุน โดยประเมินว่า รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยังจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ดังนั้นนอกเหนือจากเป็นผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้รับเหมารายใหญ่ อย่าง CK (มูลค่าพื้นฐาน 11.70 บาท), ITD (8.90 บาท) และ STEC (7.20 บาท) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง แนะนำ SCC (275 บาท) แล้ว ยังเป็นผลดีต่อ TSTH ด้วย โดยให้ราคาที่ 2.24 บาท

- TSTH ขยับขึ้นทันควันรับข่าวดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจราคาหุ้น TSTH บนกระดานวานนี้พบว่า ราคาหุ้น TSTH และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นชุดที่ 1 และ 2 หรือ TSTH-W1 และ TSTH-W2 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากรับข่าวความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าและได้รับประโยชน์จากราคาเหล็กที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามราคาวัตถุดิบ Billet ในตลาดโลก
ที่แพงขึ้น ซึ่งขณะนี้มีราคาอยู่ที่ 20 บาท/กิโลกรัม ทำให้คู่แข่งรายอื่นที่ใช้วัตถุดิบประเภทนี้ไม่สามารถแข่งขันได้ ทำให้ TSTH จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มจากการที่บริษัทฯ
มีต้นทุนต่ำกว่าจากการนำเศษเหล็กมาหลอมเอง จึงมองว่าน่าจะส่งผลดีต่อหุ้น TSTH และทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นกันอย่างคึกคัก

โดยในระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย TSTH เปิดการซื้อขายที่ระดับ 1.79 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท ก่อนจะปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของวันที่ระดับ 1.88 บาท และปิดการซื้อขายที่ระดับเดียวกัน เพิ่มขึ้น 0.13 บาท หรือ 7.43% มีมูลค่าการซื้อขาย 120.30 ล้านบาท ขณะที่ราคา TSTH-W1 อยู่ที่ 0.69 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ 6.15% มีมูลค่าการซื้อขาย 93.26 ล้านบาท และ TSTH-W2 อยู่ที่ 0.23 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 9.52% มีมูลค่าการซื้อขาย 14.57 ล้านบาท

- ดีบีเอสวิคเคอร์ส มอง TSTH ได้ประโยชน์จากมีเตาหลอมเศษเหล็กเอง
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ได้ออกบทวิเคราะห์ ถึงหุ้นในกลุ่มเหล็ก โดยส่วนหนึ่งระบุถึง TSTH ว่า ราคาสินแร่เหล็กปรับขึ้นต่อ โดยมีการประมาณการว่าราคาสินแร่เหล็กในตลาด RBC Capital ปี 51 จะสูงขึ้น 30-35% เนื่องจากปริมาณการบริโภคที่เพิ่มขึ้นมาก และอุปทานจำกัด โดยราคา Billet ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงขึ้น ราคาเหล็กแท่ง (Billet) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กทรงยาว ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นข่าวลบกับผู้ผลิตเหล็กในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีเตาหลอมเศษเหล็ก (BSBM, SSI) เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่ากลุ่มที่มีเตาหลอม (GSTEEL, NSM, TSTH) ในขณะที่ราคาขายเหล็กในประเทศทั้งที่เป็นเหล็กแผ่นและเหล็กทรงยาวปรับขึ้นได้ไม่มาก เนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซาตามภาคการก่อสร้างที่ชะลอตัว ดังนั้นหากราคาสินแร่เหล็กในปี 51 ปรับขึ้นแรงถึง 30-35% จะทำให้ราคา
วัตถุดิบขั้นกลาง ทั้งที่เป็น Slab และ Billet ขยับขึ้นมาก ซึ่งราคาขายในประเทศอาจปรับขึ้นตามไม่ทัน ยังผลให้อัตรากำไรของผู้ประกอบการเหล็กในประเทศจะถูกกดดันต่อไป

ยังคงให้ TSTH เป็นหุ้น Top pick และแนะนำซื้อ เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี มีการใช้เศษเหล็กมาหลอมทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่ากลุ่มที่นำเข้าเหล็กแท่งเข้ามารีด ยังผลให้ใช้กำลังการผลิตได้ในอัตราที่สูงกว่า ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยจึงต่ำกว่า การปรับปรุงโรงงาน NTS ที่แล้วเสร็จทำให้สามารถผลิตสินค้าที่มี Value added ได้เพิ่มขึ้น บริษัทแม่ คือ ทาทา สตีล ที่มีเครือข่ายกว้างขวางทำให้บริษัทสามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของการส่งออกจะต่ำมาก แต่ช่วยให้บริษัทใช้กำลังการผลิตในระดับสูง ในอนาคตบริษัทจะได้รับประโยชน์จากโรงถลุงขนาดเล็กกำลังการผลิต 5 แสนตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.51 และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายปี 51 - ต้นปี 52 ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลงประมาณ 5% ผลิตภัณฑ์หลากหลายและมีคุณภาพสูงขึ้น นอกจากนั้นยังแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มจาก 1.7 ล้านตันต่อปี เป็นอย่างน้อย 2.0 ล้านตันต่อปีด้วย เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 50/51 และปี 51/52 ขึ้น 5% และ 6% ตามลำดับ สะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าคาดการณ์เดิม ณ ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ PE ปี 51/52 เท่ากับ 9.0 เท่า, EV/EBITDA 6.6 เท่า และ PBV 0.8 เท่า ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐานเท่ากับ 2.13 บาท คาดการณ์ Dividend Yield ปี 50/51 และปี 51/52 เท่ากับ 4.0% และ 4.4% ตามลำดับ แนะนำซื้อ

- บล.กิมเอ็ง ให้ TSTH ราคาเหมาะสมเท่ากับ 1.8 บาท

บทวิเคราะห์จาก บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) คาดว่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ราคาเหล็กในปัจจุบัน โดยราคา Billet นำเข้าของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เร็วๆนี้ได้พุ่งขึ้นมาถึง 570-590 เหรียญ/ตัน (ข้อมูลจาก www.isit.or.th และ Mysteel.net ) เทียบกับ 530 เหรียญ/ตัน ในเดือน มิ.ย. และ 440 เหรียญ/ตัน ในเดือน ม.ค. จึงส่งผลทำให้ผู้ที่ใช้ Billet เป็นวัตถุดิบประสบปัญหาด้านต้นทุน ในขณะที่ราคาเศษเหล็กนำเข้าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ TSTH ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเป็น 370-380 เหรียญ/ตัน จาก 350 เหรียญ/ตัน ในเดือน มิ.ย. และ 310 เหรียญ/ตัน ในเดือน ม.ค. ทั้งนี้ Mysteel.net ระบุว่าทางการจีนกำลังพิจารณาปรับเพิ่มภาษีส่งออกสำหรับ Billet อีกเป็น 25% ในช่วงปลายเดือน ก.ย. นี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศเก็บภาษีส่งออก Billet จาก 0% เป็น 15% จนทำให้ราคา Billet ทะยานพุ่งขึ้นอย่างมาก

ราคาเหล็กเส้นในประเทศปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สถานการณ์ราคาเหล็กเส้นในประเทศปัจจุบันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นประมาณ 19,500-19,800 บาท/ตัน จากราคาเฉลี่ยในไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 19,300 บาท/ตัน จากแรงกดดันด้านต้นทุนวัตถุดิบ แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายน้อยกว่าต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตามปริมาณขายของ TSTH ยังอยู่ในเกณฑ์ดีคือประมาณ 100,000 ตันต่อเดือน จากผู้ผลิตรายอื่นที่ใช้ Bileet เป็นวัตถุดิบประสบปัญหา

ปรับประมาณการปีนี้ และ ปีหน้าขึ้นเล็กน้อย จากสถานการณ์ราคาเหล็กในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินก่อนหน้านี้ และ ราคาสินแร่ ซึ่งนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย และ บราชิล มีแนวโน้มที่จะตกลงราคาใหม่ที่สูงขึ้น สถานการณ์ล่าสุด China Iron & Steel Association กำลังจะเจรจากับตกลงราคารอบใหม่กับผู้ส่งออกแร่เหล็กรายใหญ่อย่าง BHP Billiton และ Rio Tintoในเดือน ต.ค. นี้ ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าราคาแร่เหล็กอาจจะปรับเพิ่มอีก 40% โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาแร่เหล็กได้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 189% ดังนั้นจากสถานการณ์ที่ TSTH ยังมีความได้เปรียบผู้ผลิตรายอื่นๆ และ ราคาเหล็กคาดหมายว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากผลของต้นทุนแร่เหล็กที่สูงขึ้น เราได้ปรับประมาณการปีนี้และปีหน้า
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

จากประมาณการที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และ ภายใต้ฐาน P/E 10 เท่าในปีหน้า เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 1.8 บาท ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.7 บาท เล้กน้อย ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 1.74 บาท ได้วิ่งขึ้นจากราคา ณ ต้นปีที่ 1.05 บาท ถึง 66% นับว่าซื้อขายบนการคาดหวังที่สูง และ สถานการณ์ราคาเหล็กในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการพลิกผันได้ตลอดเวลา รวมแล้วเราคงคำแนะนำ ถือ จากปัจจัยแวดล้อมปัจจุบันยังเอื้อประโยชน์ต่อ TSTH อยู่


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 04/10/2007 @ 09:29:56 :
- บล.นครหลวงไทย แนะนำ ?ซื้อ? ราคาเหมาะสม 2.10 บาท
บล.นครหลวงไทยได้ออกบทวิเคราะห์ถึง TSTH หลังจากมีประเด็นข่าวว่า คาดรายได้ปี 2550 ว่าจะเติบโตมากกว่า 10% จาก 1.88 หมื่นล้านบาทในปี 2549 และแนวโน้มกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 707 ล้านบาท หลังจากปริมาณการขายเติบโตต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจในประเทศจะชะลอตัว แต่บริษัทฯ เพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น ผลักดันให้รายได้ และกำไรเป็นไปตามเป้าหมายได้

โดยบทวิเคราะห์ระบุว่า มีความเห็นสอดคล้องกับประเด็นข่าวดังกล่าว เพราะแม้กำลังซื้อในประเทศยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 2550 ทำให้ราคา
ขายยังทรงตัวที่ประมาณ 19 บาท/กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม การที่คู่แข่งประสบปัญหาราคา Billet ราคาแพง ทำให้เกิดความไม่คุ้มทุนในการผลิต จนทำให้ต้องลดกำลังการผลิตลง ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 28% จาก 25% ประกอบกับความสามารถในการส่งออกโดยอาศัยเครือข่ายของบริษัทแม่ที่เพิ่มขึ้นเป็น 5-10% ของยอดขายรวม ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิของ TSTH ปี 2550 คาดจะเพิ่มขึ้นจาก 18,854 และ 707 ล้านบาท ในปี 2549 เป็น 22,884 และ 1,200 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2551 SCIBS ประเมิน TSTH จะได้รับประโยชน์จากราคาขายเหล็กเส้นเฉลี่ยปี 2551 ที่คาดจะปรับขึ้นสูงกว่า 20 บาท/กิโลกรัม เพราะต้นทุนการผลิตเหล็กต้นน้ำ อาทิ สินแร่เหล็กและถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูงและแนวโน้มประเทศจีนเตรียมประกาศลดการคืนภาษีสินค้าสำเร็จรูปลงอีก นอกจากนี้ กำลังการผลิตส่วนเพิ่มจำนวน 500,000 ตัน ที่จะได้รับจากโครงการโรงถลุงเหล็กปลายปี 2551 สามารถรองรับกับกำลังซื้อที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ประกอบกับโครงการโรงถลุงเหล็กขนาดย่อม ทำให้บริษัทสามารถผลิตเหล็กเกรดพิเศษ เพื่อขยายตลาดไปสู่ธุรกิจยานยนต์ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากการเข้ามาบุกตลาดรถยนต์ในประเทศไทยของ TATA STEEL โดยการร่วมทุนกับกลุ่มธนบุรีพาณิชย์ จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 13% และส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิปี 2551 เติบโต 16% yoy เป็น 1,396 ล้านบาท

การเป็นผู้นำในตลาดในประเทศ และผลบวกที่ได้รับจากแรงผนึกทางธุรกิจของของ TATA STEEL ทำให้ผลการดำเนินงานยังเติบโตสม่ำเสมอ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านตัน โดยคาดจะเป็นสายการผลิตเหล็กเส้น 2 ล้านตันและเป็นการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนจำนวน 2 ล้านตัน เพื่อต่อยอดธุรกิจยานยนต์ที่บริษัทแม่เข้าลงทุนในประเทศไทย เสริมศักยภาพให้บริษัทมีสินค้าที่หลากหลายและสามารถตอบสนองอุปสงค์การใช้เหล็กที่ยังอยู่ในระดับสูง จากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้บริษัทก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทขยายตัวอย่างมั่นคงดังนั้น SCIBS แนะนำ ?ซื้อ? โดยมีราคาเหมาะสม 2.10 บาท/หุ้น (DCF, WACC
ที่ 12% และใช้ Terminal Growth Rate 4.5%)

- บล.กรุงศรีอยุธยา แนะนำ ซื้อ Fair Price ที่ 2.10 บาท
บล.กรุงศรีอยุธยา ได้ออกบทวิเคราะห์ถึง TSTH ว่าได้ทำการประมาณการ TSTH ใหม่โดยปรับกำไรสุทธิงวดบัญชีปี 50/51 และ 51/52 ขึ้นจากประมาณการเดิม 12% และ 21% เป็น 1,528 ล้านบาท และ 1,751 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปรับสมมุติฐานราคาขายเหล็กเส้นในปี 50 และ 51 ขึ้น เนื่องจากประเมินว่าราคาเหล็กในประเทศมีแนวโน้มที่จะพุ่งทะลุ 20.00 บาท/กก.ได้ในปลายปี 50 นี้ และคาดว่าจะยังแข็งแกร่งต่อเนื่องไปถึงปี 51 เนื่องต้นทุนที่กำลังขยับขึ้นแรงมาก ขณะที่ด้านราคาบิลเล็ตยังมีแนวโน้มว่าจะกดดันให้อุปทานเหล็กเส้นครึ่งหนึ่งของตลาดหายไปถึงปี 51 เพราะแม้ TSTH จะปรับราคาขึ้นไปเป็น 21.00 บาท/กก. ก็ยังไม่สามารถทำให้คู่แข่งที่พึ่งพาการใช้บิลเล็ตสามารถทำกำไรได้อันจะส่งผลดีต่อเนื่องถึงปริมาณการขายของTSTH ในปี 51

AYS ปรับ Fair Price ปีหน้า (อิงงวดบัญชี 51/52 สิ้นสุดเดือน มี.ค.) ไว้ที่ 2.10 บาท/หุ้น ซึ่งราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบันนอกจากจะให้ Upside จาก Fair Price ที่คำนวณใหม่แล้ว ยังน่าสนใจเข้าซื้อเพราะเป็นราคาที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 1.71 บาท ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับบริษัทที่มีผลกำไรอย่างต่อเนื่องทั้งยังมีศักยภาพในเติบโตไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว AYS จึงแนะนำ ซื้อ

- บล.ซีมิโก้ แนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 2.24 บาท
บล.ซีมิโก้ ได้ออกบทวิเคราะห์ถึง TSTH ว่า เป็น Top Pick ของกลุ่มเหล็ก ด้วยความโดดเด่นจากพัฒนาการทั้งด้านประสิทธิภาพการผลิตและการตลาด (ลดต้นทุนผลิตและค่าใช้จ่าย ทำให้ GM มีเสถียรภาพที่ระดับสูงกว่า 10% ใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมาติดต่อกัน) และมีแนวโน้มว่าอัตรากำไรจะมีเสถียรภาพในทิศทางที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังปี 52/53 ที่
โรงถลุงเหล็กของบริษัทเริ่มผลิต ตลอดจนฐานะการเงินที่ดีขึ้น และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เรายังคงประมาณการกำไรปี 50/51 และ 51/52 ไว้ที่ 1.0 พันล้านบาท และ 1.17พันล้านบาท ตามลำดับ และประเมินมูลค่าพื้นฐาน 2.24 บาท (DCF, WACC 9.71% และ
terminal growth =3%) ราคาหุ้นปัจจุบันให้ Upside 38% จากมูลค่าพื้นฐานและมี PER ปี 50/51 และ 51/52 เท่ากับ 11.5 และ 8.9 เท่า ตามลำดับ ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับแนวโน้มการ
เติบโตของกำไร 135% และ 15% ตามลำดับ

ราคานำเข้าบิลเล็ตอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นไปทำ New high จากภาวะตึงตัวของตลาด billet เพราะมาตรการเก็บภาษีส่งออก 15% ของจีน และราคาสินแร่เหล็ก+ถ่านหินที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตในไทยที่ต้องพึ่งการนำเข้า billet ไม่สามารถแบกต้นทุนวัตถุดิบที่สูงได้ จนต้องลดการผลิตลง ทำให้ Supply ในประเทศลดลงในขณะที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขายของตลาดในประเทศช่วง 4Q ก่อนที่จะสูงสุดใน 1Q ทำให้คาดหมายว่าราคาเหล็กก่อสร้างในประเทศจะปรับขึ้นต่อเนื่องใน 6 เดือนข้างหน้า (ปัจจุบันราคาปรับขึ้นเป็น 19.5-19.7 บาท/กก.) ซึ่งจะทำให้ TSTH (มีเตาหลอมบิลเล็ตเอง) ได้รับประโยชน์ทั้งปริมาณและราคาขายที่ดีขึ้น

การลงทุนในโรงถลุงเหล็กขนาดเล็กที่คาดว่าจะเริ่มผลิตต้นปี 52 จะช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ทำให้อัตรากำไรเพิ่ม 2-5% และมีเสถียรภาพที่ดีขึ้น จึงคาดว่ากำไรปกติปี 52/53 จะโต 30% เป็น 1.5 พันล้านบาท

Tata Steel Group มีความตั้งใจจะขยายขนาดกำลังผลิตของ TSTH จากปัจจุบัน 1.7 ล้านตัน/ปี (เหล็กทรงยาว) เป็น 4-5 ล้านตัน/ปี (เหล็กทรงยาวและทรงแบน) ภายในเวลา 4-5 ปี ข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ TSTH กลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านการจัดการกระบวนการผลิตและบริหารต้นทุน เพื่อตอบสนอง Demand ทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาค



:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com