April 29, 2024   2:22:47 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > +++5 อันดับหุ้นที่ปรับตัวแรงสุดในเดือนกันยา+++
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/10/2007 @ 09:35:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เดือนกันยายนภาวะตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังได้รับแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาเป็นหลัก ที่สำคัญเดือนดังกล่าวเป็นช่วงสุดท้ายของการปิดงบไตรมาส 3 ทำให้บรรยากาศการลงทุนคึกคักมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากหุ้นเกือบทุกตัวที่สามารถปรับตัวขึ้นได้

ทั้งนี้จากการสำรวจราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นสูงสุด 50 อันดับแรก กลับพบว่าหุ้นที่ราคาต่ำสิบ มีแรงซื้อเข้ามามากเหมือนเช่นเคย เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้มีราคาถูกและง่ายต่อการดันราคาซึ่งจะสังเกตได้จากหุ้น 1 ใน 10 อันดับแรก จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่เข้ามาติดมากที่สุด

อย่างไรก็ตามแม้หุ้นขนาดใหญ่จะไม่ติด 1 ใน 10 อันแรก มากนัก แต่เป็นที่น่ายินดีว่าเมื่อมาเปรียบเทียบหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นในเดือนกันยายนกับเดือนที่แล้ว จะพบว่าจำนวนหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นได้มีมากกว่าเดือนที่แล้วอย่างชัดเจน โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้มีมากถึง 14 ตัว ในขณะที่เดือนสิงหาคมมีเพียง 4 ตัว เท่านั้น

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวแรงอันดับ 1 คือ BLISS หรือ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 24.43% มาที่ระดับ 5.45 บาท (30 ก.ย.) จากเดิมอยู่ที่ 4.38 บาท(31 ส.ค.) เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีข่าวว่าบริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรมาร่วมทุนยิ่งทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาไล่ราคากันอย่างคึกคัก ทั้งนี้แม้หุ้นจะปรับตัวแรงมากขนาดไหน ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นได้แค่หุ้นเก็งกำไรเหมือนที่ผ่านมาส่วนเรื่องการหาที่ปรึกษาการเงิน เพื่อมาแสดงความคิดเห็นการเข้าซื้อสินทรัพย์ ในการดำเนินของบริษัท ไออีซี อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IECเพื่อทำรายการแบ่งแยกธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ออกเป็นการค้าปลีกและค้าส่ง

ล่าสุดทาง BLISS ก็ยังหาที่ปรึกษาการเงินไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจะหาที่ปรึกษาเพื่อมาดำเนินการให้เสร็จภายใรไตรมาส 3 นี้

อันดับ 2 NWR หรือ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 22.95% มาที่ระดับ 0.75 บาท จากเดิมอยู่ที่ 0.61 บาท หากสำรวจทิศทางหุ้นรายนี้จะพบว่าราคาหุ้นเริ่มมาปรับตัวแรงช่วงปลายเดือนก.ย. การปรับตัวแรงในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเพียงการเล่นเก็งกำไร

ทั้งนี้แม้แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลัง บริษัทมองว่าน่าจะพลิกกลับมามีกำไร เนื่องจากบริษัทไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเหมือนกับไตรมาส 2 ที่ 150ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมของทั้งปีจะยังขาดทุนอยู่ เพราะครึ่งปีแรกบริษัทขาดทุนกว่า 626 ล้านบาท ทำให้ทั้งปีมีขาดทุนสะสมรวมกว่า 990 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อมาเสริมรายได้ช่วงที่งานรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะงานของภาครัฐชะลอตัว ล่าสุดบริษัทร่วมกับพันธมิตรเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมย่านพัทยา ภายใต้ชื่อ"SeaBreeze Villa"มูลค่า 550 ล้านบาท(สัดส่วนถือหุ้น NWR 20%) กำลังจะเริ่มดำเนินการประมาณปลายปีนี้

นอกจากนี้ยังมีโครงการบ้านเดี่ยวที่สมุย (สัดส่วนถือหุ้น NWR 80%) มูลค่าโครงการ1,200 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับบมจ.ชาญอิสระเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม ชาญอิสระ

อันดับ 3 BANPU หรือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) นับเป็นเป็นหุ้นที่ร้อนแรงในกลุ่มพลังงานในเวลานี้ โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงกว่า 22.95% โดยตลอดทั้งเดือนกันยายนราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นถึง 64 บาท จากระดับ 248 บาท มายืนที่ระดับ 348.00 บาท

เนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ระดับ 6,000 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจถ่านหินยังทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง

โดยปัจจุบันราคาถ่านหินยังคงยืนอยู่สูงที่ 67 เหรียญสหรัฐต่อตัน และจากการปรับสมมติฐานราคาจำหน่ายถ่านหินของบริษัทในปีหน้าเพิ่มขึ้น 8% ทำให้ปรับประมาณการผลกำไรในปี 51 เพิ่มขึ้น 8% เป็น 6.8 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 25.09 บาท เติบโต 14%จากปีก่อน ทำให้นักลงทุนเข้ามาเล่นหุ้นรายนี้อย่างหนาแน่น

อันดับ 4 SINGHA หรือ บริษัท สิงห์พาราเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 2.74 บาท จากเดิม 2.24 บาท หรือเพิ่มขึ้น 22.32% เนื่องจากเป็นการปรับตัวขึ้นตามสัญญาณเทคนิค และจากปริมาณการซื้อที่หนาแน่นทำให้ทิศทางของราคาหุ้นมีสัญญาณว่ายังจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ ทำให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาเล่นเก็งกำไร

ส่วนปีนี้บริษัทมองว่าจะสามารถทำเป้ารายได้ 1,500 ล้านบาทตามแผนงาน เพราะยังคงมีงานเข้าจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมากอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯต้องเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก

ทั้งนี้สัดส่วนการส่งออกของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 85% และจำหน่ายในประเทศ 15%ซึ่งการจำหน่ายในประเทศทางบริษัทจะมีการร่วมมือกับซีเมนต์ไทยเพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า

อันดับ 5 TCJ หรือ ที.ซี.เจ เอเซีย จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 21.36% มาที่ระดับ 6.25 บาท จากเดิม 5.15 บาท สำหรับหุ้นรายนี้ถือเป็นหุ้นเก็งกำไรเพราะจากที่ผ่านมาหุ้นไม่สามารถเคลื่อนไหวตามภาวะตลาด

ทั้งนี้หลังจากที่ราคาหุ้นมีแรงซื้อเข้ามามากในช่วงวันที่ 5-12 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องออกมาจับตาความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด ทำให้นักลงทุนที่เข้าไปเล่นหุ้นช่วงดังกล่าวขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่าน่าจะเติบโตที่ 10% ได้ เพราะดูจากยอดขายในครึ่งปีแรกที่ 451 ล้านบาท ดังนั้นในครึ่งปีหลังที่เหลือจึงเชื่อว่าน่าจะทำได้อีกประมาณ
400 ล้านบาท โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถโฟร์คลิฟท์ของ KIONGROUP จากประเทศอิตาลีภายใต้ชื่อ OM แต่เพียงรายเดียวในประเทศไทย ลาว กัมพูชาและพม่า

อย่างไรก็ตามหากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวติด 1 ใน 10 อันดับแรก จะเห็นว่าล้วน แต่เป็นหุ้นเก็งกำไรทั้งสิ้น สิ้น และยิ่งหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวแรงมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่หุ้นกลุ่มนี้จะลงแรงและทำให้ท่านขาดทุนหนักก็มีมากเช่นกัน


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com