April 29, 2024   10:43:10 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เล่นอิเลกทรอนิกส์ ระวังถูกกับระเบิด
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/10/2007 @ 21:12:32
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ธุรกิจชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ ตีปีก วงการ ประสานเสียง Q3-4 ผลประกอบการสุดแจ่ม หลังยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเดือน ส.ค. 2550 ยังเติบโตทั้ง yoy และ mom ต่ดกันเป็นเดือนที่ 2 เข้าสู High Season ของธุรกิจอย่างแท้จริง ขณะที่ตลาดส่งออกใหม่อย่างอินเดีย ช่วยหนุนยอดขายของกลุ่มชิ้นส่วนฯ คาดงบฯ แต่ละบริษัทฯ อาจโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ตามวงจรธุรกิจขาขึ้น และมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง ระบุ DELTA - HANA โดดเด่นสุดๆ เชียร์ซื้อลงทุน


กลายเป็นหุ้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวคึกคักที่สุดสำหรับ กลุ่มชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ เมื่อวานนี้( 4 ต.ค.) โดยก่อนหน้าราคาของหุ้นกลุ่มดังกล่าวก็ได้ปรับขึ้นมาหลายวันต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) บมจ. อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ (EIC) บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) บมจ. ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) (SPPT) เพียงแต่วานนี้ ราคาปรับขึ้นค่อนข้างโดดเด่น และถือเป็นการปรับขึ้นสวนทางกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งโบรกเกอร์หลายสำนักก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า กลุ่มชิ้นส่วนอิเลกฯ มีทิศทางจากนี้ค่อนข้างสดใส เพราะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเลกฯ ในครึ่งปีหลังเติบโตอย่างโดดเด่นทั่วโลก และเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจดังกล่าวขยายตัวดีขึ้นด้วย อีกทั้งแนวโน้มการส่งออกของประเทศที่ยังบคงขยายตัวได้ดี รวมไปถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจชิ้นส่วนอิเลกฯ สดใสขึ้นกว่าครึ่งปีแรกมาก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าพื้นฐานของหุ้น และผลประกอบการที่คาดว่าจะออกมาดีในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 หรือในช่วงครึ่งปีหลังนี้นั้น จะเป็นปัจจัยที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับหุ้น แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาาค่อนข้างมากก็เริ่มทำให้มองเห็นความเสี่ยงจากการลงทุนด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่ากลุ่มชิ้นส่วนฯ ขณะนี้จะมีสตอรี่ให้เล่น แต่เมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องมามากก็อาจจะมีการขายทำกำไรออกมา โดยเฉพาะราคาหุ้น HANA ที่ปรับขึ้นมาถึง 8 วันทำการแล้ว หากนับตั้งแต่ราคาปิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ระดับราคา 23.70 บาท มาอยู่ที่ระดับราคาสูงสุดของเมื่อวานที่ 26 บาท เท่ากับราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมา 2.30 บาท หรือ 9.70% นอกจากนั้นหุ้น SPPT ก็ปรับขึ้นมาเช่นกันในช่วง 4 วันทำการ จากราคาปิด ณ วันที่ 28 ก.ย. ที่ 4.38 บาท มาอยู่ที่ระดับราคาสูงสุดวานนี้ที่ 4.62 บาท เพิ่มขึ้นมา 0.24 บาท หรือ 5.47% ส่วนราคาหุ้น DELTA KCE ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ติดต่อหลายวันทำการเหมือน 2 ตัวแรก

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นแล้ว ตอนนี้หุ้นกลุ่มดังกล่าวจึงมีความเสี่ยงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นนักลงทุนจึงควรระมัดระวัง ยิ่งนักลงทุนประเภทเก็งกำไร ไม่ได้เน้นลงทุนระยะยาวด้วยแล้ว อาจจะกลายเป็นเป็นติดกับดักได้เช่นกัน ยิ่งภาวะตลาดในช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงพักฐาน และค่อนข้างผันผวนในระหว่างวันอยู่มาก โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ที่นักลงทุนส่วนใหญ่อาจจะชะลอลงทุนเพื่อรอดูผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพราะฉะนั้นดัชนีในช่วงนี้จึงอาจจะยังไม่ปรับตัวขึ้นมากนัก อีกทั้งวานนี้นักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิออกมาเช่นเดียวกัน 906.44 ล้านบาท ดังนั้นแม้ว่าราคาหุ้นจะวิ่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าวันต่อไปราคาจะวิ่งขึ้นสวนทางกับดัชนีฯ เมื่อวานนี้

โดยราคาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ ประกอบด้วย DELTA ปิดที่ 22.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 5.04% มูลค่าการซื้อขาย 41.55 ล้านบาท HANA ปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 0.75% มูลค่าการซื้อขาย 63.86 ล้านบาท KCE ปิดที่ 4.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือ 3.53% มูลค่าการซื้อขาย 46.73 ล้านบาท SPPT ปิดที่ 4.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ 0.87% มูลค่าการซื้อขาย 4.58 ล้านบาท EIC ปิดที่ 4.74 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ1.28% มูลค่าการซื้อขาย 54.81 ล้านบาท และ TEAM ปิดที่ 9.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 2.27% มูลค่าการซื้อขาย 49,000 บาท

แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มดังกล่าวก็ยังน่าจะเหมาะกับการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวมากกว่าอยู่ดี เพราะพื้นฐานหุ้นแต่ละตัวโดยเฉพาะ 2 ตัวหลักในกลุ่มคือ DELTA และ HANA ถือว่าแข็งแกร่งและเหมาะกับการถือลงทุน ในขณะที่หุ้นทั้ง 2 ตัวยังรับประกันในส่วนของเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นด้วย นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ก็มีแนวโน้มผลประกอบการจะเติบโตอย่างโดดเด่น


*SCIBS ระบุยอดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเดือน ส.ค. โตทั้ง yoy และ mom
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. นครหลวไทย ระบุว่า ยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเดือนล่าสุดส.ค. 2550 ยังคงเห็นการเติบโตทั้ง yoy และ mom ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยขยายตัว 4.9% yoy อยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และ 4.4% mom ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวจัดว่าสูงกว่าเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับภาพที่ SCIBS ประเมินถึงการเข้าสู่ฤดูกาล High Season ของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับประเด็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จะมีผลกระทบหรือไม่นั้น หากพิจารณาถึงตลาดที่มียอดขายเซมิคอนดักเตอร์สูงสุดจะอยู่ในเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) คิดเป็นสัดส่วน 49% ของยอดขายรวมในเดือนส.ค. ขณะที่สหรัฐฯ มีสัดส่วนเพียง 17% ของยอดรวมเท่านั้น นอกจากนี้ตลาดอาจมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราส่วน SEMI Book-to-Bill Ratio ล่าสุดเดือนส.ค.ยังลดลงต่อเนื่องเหลือ 0.83x และต่ำกว่า 1x เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันก็ตาม แต่การสำรวจดังกล่าวเป็นเพียงผู้ผลิตเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือเท่านั้น จึงไม่สามารถนำมาเป็นดัชนีชี้นำทิศทางธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้งหมด


* เลือก DELTA เป็นหุ้น Top Pick
SCIBS เลือกให้ DELTA เป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจาก Leading PER ในปี 2551 ที่ 7.67 เท่านั้น ซึ่งต่ำสุด เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่อย่าง HANA และ CCET อีกทั้งแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานของ DELTA ตั้งแต่ Q3/50 เป็นต้นไป จะมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะDELTA ได้ยกเลิกสายการผลิต VDBG ซึ่งมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GPM) ต่ำ การแข่งขันด้านราคาสูง และต้องสำรองเงินทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก โดยแผนธุรกิจในระยะยาว DELTAจะเน้นการผลิตสินค้าในกลุ่มสื่อสารระดับ High Technology มากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันด้านราคา รวมถึงการรุกเข้าไปยังตลาดอินเดียและประเทศใกล้เคียง จากการรายงานของ Department of Telecom, India เฉพาะจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ปี 2545-2549 พบว่าเติบโต (CAGR) เฉลี่ยถึง 115.0% ต่อปีย่อมทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องเร่งติดตั้งสถานีฐานรับ-ส่งสัญญาณมากขึ้น จึงเป็นที่มาถึงการตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตสินค้าในกลุ่มสื่อสารของ DES ในอินเดีย คาดว่าจะผลิตได้อย่างเป็นทางการปลาย Q1/51 ส่งผลกำไรสุทธิในปี 2551 SCIBS คาดว่า DELTA จะสามารถทำได้ถึง 3,544 ล้านบาท เติบโต 75.9% yoy พร้อมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยกว่า 6% ต่อปี ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2550 ที่ 24.49 บาท

นอกจากนี้ประเด็นของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้น SCIBS ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2551 ของ DELTA จำกัด เพราะล่าสุดสัดส่วนราย ได้ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 18% เท่านั้น (รวมรายได้จากส่วน DES แล้ว) ทำให้โอกาสเสี่ยงที่ SCIBS จะปรับประมาณการปี 2551 ลงจึงอยู่ในระดับต่ำ


* CCET เป็น Top Pick อันดับ 2 ราคาเหมาะสม สิ้นปี50 ที่ 7.52 บาท
สำหรับ CCET เป็น Top Pick อันดับที่ 2 ของ SCIBS ด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกับ DELTA ที่รุกเข้าสู่ตลาดสื่อสารในอินเดีย ปี 2550 CCET ได้คำสั่งผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G CDMA จำนวน 12 ล้านเครื่อง ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่สูงสำหรับการเปิดตลาดในครั้งแรก และเป็นที่มาของการร่วมถือหุ้นในสัดส่วน 40% กับบริษัทอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิต Semi Knock-down ให้แก่โทรศัพท์มือถือและ PC Peripheral รวมถึงการขยายกำลังการผลิตในจีนเพิ่มอีก 1 โรงงาน ซึ่งจะสร้างรายได้ราว US$20ล้าน/เดือน เป็นการรองรับการเปิดตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียกลาง โดยประเมินว่าตลาดอินเดียจะเป็น Key Growth Driver ต่อไปของ CCET เช่นกัน

SCIBS ประเมินกำไรสุทธิในปี 2551 ของ CCET ไว้ที่ 3,581 ล้านบาท เติบโต20.4% yoy พร้อมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยกว่า 5% ต่อปี ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2550 ที่7.52 บาท และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้น SCIBS ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2551 ของ CCET ไม่มากนัก เพราะ CCET ส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง20% ของรายได้ใน Q2/50 ทำให้โอกาสเสี่ยงที่ SCIBS จะปรับประมาณการปี 2551 ลงจึงอยู่ในระดับต่ำ


** HANA เป็น Top Pick อันดับ 3
HANA เป็น Top Pick อันดับที่ 3 ของกลุ่มนี้ เพราะแม้ว่า Leading PER ในปี 2550 และ 2551 ของ HANA สูงกว่าของ DELTA และ CCET อีกทั้ง HANA เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า DELTA และ CCET ในแง่ของโอกาสการปรับประมาณการปี 2551 ลงจากปัจจุบันที่ประเมินไว้ 2,396 ล้านบาท เติบโต 21.5%yoy เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกของ HANA ไปยังตลาดสหรัฐฯ 40% ของรายได้รวม แม้ว่าสินค้าสำเร็จรูป (Finish Product) จะถูกจัดจำหน่ายไปยังตลาดโลกก็ตาม แต่ด้วยลักษณะพิเศษของสินค้าที่ HANA ผลิตเป็นสินค้าขนาดเล็ก (Microelectronics) ทั้ง PCBA และ IC Packaging อีกทั้งทิศทางสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ PC และ Consumer Electronics มีขนาดเล็กลง ทำให้ SCIBS เชื่อว่าธุรกิจของ HANA จะยังเห็นการขยายตัวต่อเนื่อง แต่อาจไม่โดดเด่นเท่ากับ DELTA และ CCET สำหรับมูลค่าเหมาะสมของ HANA นั้น SCIBS ประเมินไว้ที่ 31.43 บาท พร้อมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5%ต่อปี


* เกียรตินาคิน คาดงบฯ หลายบริษัทปีนี้โต 2 หลัก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3 ของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นั้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากทั้งในปีที่ผ่านมา และในไตรมาส 2/50 เนื่องจากในไตรมาส 3 นั้เป็นช่วงฤดูกาลของของกลุ่มธุรกิจนี้อยู่แล้ว ทำให้ยอดขายนั้นปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับบริษัทฯผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น จึงทำให้มีมาร์จิ้นที่ดีขึ้นตาม จึงเป็นผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังนั้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 4 นั้น อาจจะโตไม่โดดเด่นอย่างในไตรมาสที่ 3 ก็ตาม

"ผลงานใน Q4 อาจจะทรงๆ เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะสั่งซื้อสินค้าก่อนหน้านี้ และมีการรับรู้รายได้ช่วงนไตรมาส 3 เยอะทำให้ใน ไตรมาส 4 นั้นไม่ค่อยจะโตเท่าไร อีกทั้งในไตรมาส 4 เองก็มีวันหยุดทำการเยอะ เพราะฉะนั้นก็ขายของได้น้อย ทำให้ Q4 นั้นน่าจะทรงๆ แต่ถ้าเทียบครึ่งปีหลังกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็จะต้องดีกว่า เพราะไตรมาส 3 นั้นเป็นช่วงที่พีคสุด " นักวิเคราะห์รายเดิม กล่าว

ขณะที่ทั้งปีคาดว่า ผลประกอบการแต่ละบริษัทฯนั้นน่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก จากปีก่อน เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงเป็นขาขึ้น และน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกยังมีอยู่สูง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ สามารถนำเข้าวัตถุดิบได้จำนวนมากขึ้น ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้าถูกลง ดังนั้นหากต้องการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นั้น ก็ยังสามารถเข้าซื้อได้อยู่

ทั้งนี้ แนะนำให้ ซื้อ SVI และให้ ซื้อเมื่ออ่อนตัวในหุ้น CCET เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทฯมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาต่อเนื่อง และเป็นผลให้ยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยประเมินยอดขาย SVI ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5.50 พันล้านบาท ปละน่าจะมีกำไรอยู่ที่ 310 ล้านบาท ส่วน CCET คาดว่าน่าจะมียอดขายอยู่ที่ 9.77 หมื่นล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 2.91 ล้านบาท ให้ราคาเหมาะสม SVI ไว้ที่ 1.73 บาท ส่วน CCET ให้ไว้ที่ 7.60 บาท


* ซิกโก้ ชี้ แรงซื้อกลุ่มอิเลคฯ มาแรง ภาพรวมทั้งปียังโตต่อ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า แรงซื้อในหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนที่มองแนวโน้มของกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคฯ จะเติบโตมากขึ้น เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วง HIGH SEASON จึงเป็นสาเหตุที่แรงซื้อเข้ามาตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยภาพรวมของธุรกิจกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคฯ ในไตรมาส 3 จะเติบโตกว่าไตรมาส 2 ส่วนภาพรวมทั้งปีคาดว่าจะเติบโตกว่าปี 2549 เพราะ กลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเลคฯ เริ่มทำกำไรได้จากตลาดใหม่ โดยเฉพาะที่ประเทศ อินเดีย หลังจากก่อนหน้านี้จะเน้นส่งออกไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มดังกล่าว มีแนวโน้มมีกำไรเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคฯ ที่มีความโดดเด่นและยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มได้อีก คือ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA) โดยไตรมาส 3 จะมีกำไรสุทธิขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่มีกำไร 604 ล้านบาท เพราะเป็นช่วง HIGH SEASON ของ DELTA ส่วนทั้งปีคาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2549 ที่มีกำไรปกติ 2,600 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงปีนี้มีการปิดโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต LCD จึงส่งผลกระทบให้รายได้ DELTA ลดน้อยลง โดยราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นในวันนี้เป็นผลมาจากแนวโน้มไตรมาส 3 จะทำกำไรได้

อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำให้นักลงทุนซื้อในหุ้น DELTA เนื่องจากราคาหุ้นยังมีราคาถูกและยังมีโอกาสทำราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานค่อนข้างดี ประเมินราคาพื้นฐาน 27.90 บาท


* ASP ชี้ HANA ผลงาน Q3/50 สุดเจ๋ง ยกนิ้วเด่นสุดกลุ่มอิเล็กฯ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ราคาหุ้น บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวันทำการว่า ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นเพราะยอดขายซิลิคอนเวเฟอร์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของการผลิต IC เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขาย IC ของบริษัทฯเพิ่มขึ้นทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส3/2550 และไตรมาส4/2550 ถือเป็นช่วง High Season ของธุรกิจกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ด้วย จึงน่าส่งให้ผลประกอบการบริษัทฯออกมาดี และจูงใจให้นักลงทุนมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาดันราคาปรับเพิ่มขึ้น

ซิลิคอนเวเฟอร์ในประเทศไต้หวั่นเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์ถึง 70 % ของทั่วโลก โดยซิลิคอนเวเฟอร์เป็นต้นน้ำของการผลิต IC และ HANA เป็นผู้ผลิต IC ดังนั้นหากซิลิคอนเวเฟอร์มียอดขายมาก IC ก็แปรผันตาม โดย HANA มียอดขายIC 35 % จากยอดขายรวมนักวิเคราะห์ กล่าว

ทั้งนี้ ประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2550 ของ HANA ถือว่าโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีการรับรู้รายได้พิเศษเข้ามาจากการขายหุ้น AIT ของประเทศฮ่องกงเป็นจำนวน 530 ล้านบาท รวมทั้งเป็นช่วง High Season จึงมียอดขาย IC เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ผลประกอบการทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีกำไร 2,321 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีกำไร 2,216 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรพิเศษที่ได้บันทึกเข้ามา
อย่างไรก็ตาม แนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายปี 51 ไว้ 28.42 บาท


* บิ๊กKCE ชี้หุ้นเด้งวันนี้ เพราะนลท.เห็นอนาคต แถมปีนี้พลิกมีกำไรแน่
นายปัญจะ เสนาดิสัย กรรมการ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าสาเหตุที่ราคาหุ้น KCE มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องในวันนี้ เป็นเพราะนักลงทุนประเมินว่าแนวโน้มของผลประกอบการในอนาคตจะออกมาดี หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถทำกำไรได้กว่า 100 ล้านบาท จึงเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้นักลงทุนสนใจและเข้ามาซื้อหุ้น KCE

ที่ราคาหุ้นขึ้นน่าจะเป็นเพราะนักลงทุนเข้ามาซื้อ อีกอย่างแนวโน้มของบริษัทฯ ก็ดี มีกำไร แต่ข่าวดีอื่นๆที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นยังไม่มีเลย ผมจึงคาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุนี้มากกว่า นายปัญจะ กล่าว

ส่วนในปี 2550 ประเมินว่าบริษัทฯจะสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรได้จากปีก่อนที่ขาดทุน 116.35 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตที่ 93%
นอกจากนี้ ยังมีการปรับขึ้นราคาขายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งยังสามารถควบคุมของเสียที่เกิดจากขั้นตอนการผลิตและบริหารด้านค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นอีกด้วย ในขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังได้เพิ่มสัดส่วนสินค้า high-end ด้วย อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าหลักของบริษัทฯ ยังคงเป็น PCB สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์รวมทั้งสินค้าไฟฟ้าเครื่องใช้ในครัวเรือนอยู่

นายปัญจะ กล่าวต่อไปว่าในปีนี้มีแนวโน้มว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ เนื่องจากบริษัทฯ เริ่มพลิกกลับมามีกำไรตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2549 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังไม่มีแผนที่จะลงทุนอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทุกปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการจ่ายเงินปันผลทุกงวด ยกเว้น ปี 2549ที่ขาดทุน เพราะได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ ซึ่งส่งสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศกว่า93% ส่วนที่เหลือ 7% ขายในประเทศ แต่ปีนี้บริษัทฯมีการบริหารต้นทุนที่ดีประกอบกับค่าเงินบาทเริ่มทรงตัวและมีการทำประกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าจึงไม่ได้รับผลกระทบมาก ดังนั้นจึงทำให้ผลประกอบการออกมาดีและน่าจะจ่ายเงินปันผลได้ แต่นโยบายยังไม่ได้กำหนดเพราะต้องรอคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นอนุมัติก่อน


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com