*"โมนิก้า" เห็นดัชนีแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว แต่สุดท้ายก็กลับขึ้นมายืนปิดเหนือแนวต้าน 850 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง คงไม่มีเหตุผลอื่นใดสามารถอธิบายได้ดีเท่ากับการบอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนกลุ่มต่างๆ ถึงเข้ามาไล่ซื้อหุ้นตอนอ่อนตัวเป็นประจำ

*ประกอบกับอิทธิพลทางการเมือง และปัจจัยลบรอยตลาดหุ้นไม่รุนแรงเหมือนช่วงต้นปีดัชนีถึงไต่ระดับขึ้นมาสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้อย่างโดดเด่น โดยมีหุ้นกลุ่มแบงก์ และหุ้นกลุ่มพลังงงานเป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีที่สำคัญเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

*ชั่วโมงนี้เดี๊ยนถึงไม่ worry ว่า ดัชนีจะปรับตัวขึ้น หรือปรับตัวลง เพราะตราบใดที่นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันในประเทศ ยังไม่โยกเงินออกจากตลาดหุ้นไทยตราบนั้นดัชนีก็ยังมีโอกาสทำ new high อีกนะค่ะ

*ส่วนประเด็นที่กังวลกันหนักหนาว่า หากซื้อหุ้นจังหวะนี้ อาจแพงเกินไป เพราะหุ้นหลายตัวปรับขึ้นมากเกินไปนั้น เดี๊ยนขอบอกว่าอย่าวิตกกันเกินเหตุ...เนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่า หุ้นที่นอกเหนือจากกลุ่มบลูชิพยังขยับขึ้นอยู่เรื่อยๆ ขณะที่หุ้นกลุ่มบลูชิพก็อยู่ในช่วงย่ำฐานให้แน่นก่อนทะยานขึ้นต่อนะจ๊ะ

*เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้เข้าที่เข้าทางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อนั้นดัชนีจะขยับขึ้นฝ่าแนวต้าน 860 จุดให้เห็นอีกครั้งอย่างแน่นอน ในระหว่างนี้นักลงทุนจึงควรเตรียมเม็ดเงินไว้ช้อนซื้อหุ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...เนื่องจากการขยับตัวของดัชนีหลังจากนี้จะเป็นไปในลักษณะ ขึ้นวัน ลงวัน อีกพักใหญ่

*ประเดิมพื้นที่ข่าวเม้าท์ของวันนี้คงเริ่มต้นที่ SHIN เป็นลำดับแรก เพราะการตัดขายหุ้น แคปิตอล โอเค ออกไปให้กับ ACAP กับพันมิตรญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า "โอริกซ์" ถือเป็นการปิดฉากความล้มเหลวในการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันก็ทำให้ตัวชินปลดเปลื้องภาระขาดทุนไปได้เป็นจำนวนมาก และยังสามารถบันทึกผลกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวเกือบ 1 พันล้านบาทเชียวน่า

*เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ทำให้ราคาหุ้นชินกระชากขึ้นรับข่าวมาปิดที่ 29 บาทบวกไป 0.75 บาท...ส่วนรายหลังต้องดิ้นรนเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นทั้งหมด 38.24ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 50.99% ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จเป็นเงินทั้งสิ้น 150 ล้านบาท ราคาหุ้นก็เลยอ่อนตัวลงมาปิดที่ 6.70 บาท ลบไป 0.30 บาท

*สถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้ ADVANC พลอยรับอนิสงส์ตามไปด้วย เพราะเดิมทีทิศทางของหุ้นก็อยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่แล้ว แต่พอมีข่าวดีเริ่มให้เห็นประปราย ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาปิดที่ 93.50 บาท บวกไป 1.50 บาทแบบนี้ "โมนิก้า" คิดว่าน้อยเกินไปหน่อยสำหรับหุ้นที่มีราคาเป้าหมาย 100 บาทนะจ๊ะ

*สำหรับหุ้นยอดนิยมของตลาดอย่าง PTT เดิมทีเดี๊ยนจะไม่กล่าวถึงอยู่แล้วเชียวแต่มีข่าวเรื่องการตัดสินถอดถอนออกจาตลาดหุ้นมากระทบใบหูอันเรียวงาม ก็เลยต้องพูดถึงสักหน่อย เพราะเม้าท์กันให้แซ่ดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้จะมีการตัดสินชะตาชีวิตจะได้อยู่ในตลาดหุ้นหรือไม่นั่นเอง

*น่าแปลกตรงที่ข่าวดังกล่าวกลับไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวลงเหมือนกับที่วิตกกังวลและดูเหมือนว่ากำลังจะทะยานกลับขึ้นไปยืนเหนือแนวรับเก่าครั้งก่อนอีกด้วย แถมราคาปิดที่ 328 บาท ไม่แพงเกินไปสำหรับหุ้นอนาคตไกลนะจ๊ะ

*ส่วนม้ามืดที่เดี๊ยนอยากให้จับตาดูมากเป็นพิเศษยามนี้ก็คือ TPC เพราะ 2 วันสุดท้ายราคาหุ้นกระชากขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมมีการเข้ามาเล่นเวียนเทียนกันหลายรอบแบบนี้ ต่อให้ไม่ข่าวดีเลิศเล่อเพอร์เฟ็คขนาดไหน "โมนิก้า" ก็ไม่ขอเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยนะจ๊ะ

*เนื่องจากรู้กันเป็นภายในว่า หุ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ แถมประวัติเก่าในอดีตไม่เคยยืนระยะได้นานเลยสักครั้ง เดี๊ยนถึงไม่กล้าแนะนำให้นักลงทุนกระโจนเข้าไปวัดดวง หลังเห็นช่วงเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปถึงที่ 20.70 บาท แต่พอตกบ่ายกลับอ่อนตัวลงมาปิดที่ 20.20 บาท...มันน่าลุนไหมหล่ะ

*ย่ำแย่สุดๆ คงเป็น 2 ผู้ยิ่งใหญ่วงการเหล็ก GSTEEL และ SSI เพราะมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าปีหน้าจะไม่มีการยืดใช้กำแพงภาษีเหล็กอีกแล้ว เนื่องจากไม่เห็นประโยชน์ของการต่อระยะเวลากำแพงภาษี หลังจากนั้นก็มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่า มีการวิ่งเต้นให้ยืดกำแพงภาษีต่อไปอย่างรวดเร็ว

*เนื่องจากเกรงวว่าหากเปิดโอกาสให้เหล็กต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อนั้น 2 ผู้ยิ่งใหญ่จะไม่เหลือซากอะไรอีกต่อไป เพราะหมดทางสู้คู่แข่งจากต่างประเทศทุกประตูหน้าต่างนั่นเอง

*ส่วนรายที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ น่าจะเป็น TSTH เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นถึงผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลก ราคาหุ้นถึงแอบปรับตัวขึ้นวันละเล็กวันละน้อย และมีแค่พวกขาประจำเท่านั้นที่เข้ามาเก็บหุ้นก่อนข่าวดีจะออก...เนื่องจากทุกวันนี้ก็ทำกำไรได้อยู่แล้ว และหากเปิดเสรีอีกหล่ะก้อ กำไรไม่ระเบิดระเบ้อเหรอค่ะ


:lol: