April 29, 2024   8:10:09 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 5 อันดับหุ้นที่ร่วงหนักสุดในเดือนกันยา
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 09/10/2007 @ 09:01:27
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ดูเหมือนว่าเดือนกันยายนหุ้นขนาดเล็กและหุ้นเก็งกำไร จะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนทอดทิ้งอย่างหนัก เพราะเมื่อพิจารณาจำนวนหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงมากสุด 50 อันดับแรก พบว่าหุ้นกลุ่มนี้มีแรงเทขายขายทำกำไรออกมามากถึง 42 ราย ส่วนที่เหลืออีก 8 ราย เป็นหุ้นขนาดกลางและหุ้นขนาดใหญ่

โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวลดลงมีเพียง 3 ราย เท่านั้น คือ THAI,ADVANCและCPNจุดนี้แสดงให้เห็นว่าหุ้นขนาดใหญ่ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน อีกทั้งยังแสดงห้เห็นว่านักลงทุนยังเชื่อมั่นในภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างดี

ส่วนหุ้นที่ร่วงลงหนักมากที่สุดคือ RASA หรือ บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 29.83% มาที่6.35 บาท จากเดิม 9.05 บาทนับตั้งแต่บริษัทประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ลดลง ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก

ขณะเดียวกันหุ้นรายนี้ไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ทำให้ตอลดทั้งเดือนกันยายนมีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากการโอนรวม 250ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม บริเวณถนนพหลโยธิน จำนวน 150 ล้านบาท ที่จะเริ่มโอนในเดือนกันยายน 50 และบ้าน จำนวน 100 ล้านบาท ที่ได้เริ่มทยอยโอนแล้ว

ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เอาไว้ที่ 3,000 ล้านบาท จาก 3 โครงการคือ โครงการเดอะไลท์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมบริเวณถนนประดิพัทธ์-พหลโยธิน มีมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยว รสาพาร์ค เลนวัชรพล มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท

อันดับ 2 NEP หรือ บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 27.63% มาที่ 0.55 บาทจากเดิมอยู่ที่ 0.76 บาทเนื่องจากหุ้นรายนี้เป็นหุ้นเก็งกำไร และการปรับตัวขึ้นต้องอาศัยข่าวเข้ามาสนับสนุน แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นรายนี้ไม่มีข่าวเข้ามา ทำให้นักลงทุนที่เคยเข้ามาเล่นหุ้นก่อนหน้านี้ขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามล่าสุด NEP ได้ลดทุนจดทะเบียนบริษัทจากเดิม 2.81 พันล้านบาท และทุนชำระแล้วของบริษัทจากเดิม 1.35 พันล้านบาทเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 1.41 พันล้านบาทและทุนชำระแล้ว 678.89 ล้านบาท โดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทเป็นหุ้นละ0.50 บาททั้งนี้บริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ว่าบริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ เพราะต้องรอดูผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ว่าจะมีกำไรหรือไม่

อันดับ 3 EMC หรือ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นลดลง 23.11%มาที่ 3.26 บาท จากเดิมอยู่ที่ 4.24 บาท สาเหตุที่หุ้นปรับตัวลงแรง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนาย โกมล วงศ์พรเพ็ญภาพกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทยอยขายหุ้นออกมาจำนวน 2รายการ รวม 13.8 ล้านหุ้นรวมมูลค่า 65.06 ล้านบาท

ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็นฉนวนการแตกหักระหว่าง"ชนะชัย ลีนะบรรจง"ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ"โกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ"อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ EMC อยู่ในขณะนี้

อันดับ 4 SNC หรือ บริษัท เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 20.25% มาที่ 12.60 บาท จากเดิมอยู่ที่ 15.80 บาท สาเหตุที่ปรับตัวลงแรง จากการเทขายของนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับการเกิดไดลูชั่น เอฟเฟ็ค หลังจากบริษัทอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 201.40 ล้านบาท เป็น 301.40 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มจำนวน 100 ล้านหุ้น

ส่วนเรื่องที่บริษัทได้ตกลงเซ็นสัญญากับบริษัท SANTEC ประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมลงทุนด้านธุรกิจการออกแบบและสร้างแม่พิมพ์สำหรับการผลิต ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานพาหนะและชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องจักรกล การดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท เอส เอ็น ซีแซนเทค จำกัด คาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มที่ช่วงไตรมาส 4/50 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่ารายได้ปี 51 จะเติบโตประมาณ 60% หรืออยู่ที่ประมาณ 5พันล้านบาท จากยอดออเดอร์ที่ทยอยปรับตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะยอดสั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะผลิตชิ้นส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้าเองเพื่อลดต้นทุนการผลิตดังนั้นมั่นใจว่ารายได้ปี 51 จะเติบโตตามคาดอย่างแน่นอน

อันดับ 5 EASON หรือ บริษัท อีซึ่น เพ้นท์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 15.28 % มาที่ 2.44 บาท จากเดิมอยู่ที่ 2.88 บาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันช่วงที่ผ่านมาผู้บริหารทยอยขายหุ้นออกมา ยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง

อย่างไรก็ตามผู้บริหารของ EASON เคยได้กล่าวไว้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะหันมาเน้นงาน Can Coating และชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นสีเพิ่มมากขึ้น โดยมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 60%ของกำลังผลิตรวมที่ 7,000 ตันต่อปี

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาในการทำตลาดสี สำหรับรถจักรยานยนต์ในประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีการขยายตัวอัตราสูงมากและขยายตลาดส่งออก จากปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 1-2% เท่านั้น โดยล่าสุดอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเข้าไปตั้งโรงงานรือหาพันธมิตรร่วมลงทุนในประเทศดังกล่าว

ทั้งนี้หากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวลงจะพบว่าเป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่า 10 บาท และเป็นกลุ่มที่ง่ายต่อการดันราคา นอกจากนี้การปรับตัวแรงของหุ้นในแต่ละครั้ง มักจะไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นแท้จริงของบริษัท ดังนั้นในเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจต้องศึกษาข้อมูลประกอบหลายๆด้าน เพราะความเสี่ยงมักเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาสำหรับหุ้นประเภทนี้


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com