May 15, 2024   6:06:08 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้น....?หลบภาษี?
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 10/10/2007 @ 13:13:30
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เรื่องหุ้นการเมืองนั้น คาดว่าคงหอมปากหอมคอ และเป็นแนวคิดได้ ส่วนในภาคปฏิบัติจริงๆ ก่อนลงมือ ?ปฏิบัติการซื้อหุ้น? นั้น อาจจะต้อง ?ทำการบ้าน? หาข้อมูล ตรวจสอบข้อมูล ติดตามพฤติกรรมหุ้นที่สนใจ ดูปริมาณการซื้อขาย ดูกราฟ หรือหาข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้ มาประกอบการตัดสินใจพอสมควร แต่หากตัวช่วยดี เช่น เมืองนอกดี ดอกเบี้ยลด ราคาน้ำมันลด การเมืองสร้างสรรค์ ก็ทำงานไม่เครียดมาก แต่นักลงทุนบางท่านอาจจะไม่ชอบ ?อะไรที่ตื่นเต้นมาก? แต่อยากได้หุ้นชนิด ?เรือเดินทะเล? นิ่ง ไปเรื่อย ๆ ถึงเป้าหมาย นี่คือที่มาของ ?หุ้นหลบภาษี(ชั่วคราว)?

ขอเกริ่นต่อจากวันก่อนว่า ไตรมาสที่ 4 ต่อจนถึงช่วงก่อนสิ้นไตรมาสที่ 1 นั้น มักจะมีกิจกรรมลงทุน ลดภาษีทั้งภาคนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ซึ่งทำให้เงินออมส่วนหนึ่งมุ่งเป้าไปที่ตลาดหุ้น เพราะเหตุผลทางด้านภาษี และจากอดีตที่ผ่านมา ไตรมาสที่ 4 กับไตรมาสที่ 1 มักจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสำหรับตลาดหุ้นไทย เรียกว่าปีหนึ่ง ๆ นั้น ช่วงดี ๆ นั้นค่อนข้างสั้น ส่วนช่วงน่าเบื่อนานหน่อย ซึ่งสร้างเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้น ยุคดอกเบี้ยถูก ภาษีจ้องจะขึ้นได้พอสมควร(เริ่มโหมโรงโยนหินถามทางเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 เป็น 8%) ซึ่งนี่เป็นที่มาของการเก็งกำไร หรือลงทุนหุ้นที่เกี่ยวโยงกับพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บริษัท ประกันชีวิต บริษัทประกันภัย หรือกองทุนจากต่างประเทศ ตลอดจนนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนเพิ่ม แต่ไม่อยากเสี่ยงกับหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะมีปัญหาเรื่องผลประกอบการ และความโปร่งใสในการบริหารงาน

แต่ปัญหาสำคัญคือ หุ้นประเภท Investment Grade หรือหุ้นลงทุนนั้น ส่วนมากระดับราคาหุ้นจะ ?เต็มมูลค่า หรือราคาขึ้นห้าง? เสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ส่วนมากนักลงทุนไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตัวหุ้น เพราะข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ทั้งข้อมูลดิบเกี่ยวกับบริษัท ผลการดำเนินงาน หรือข้อมูลที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์รูปแบบต่าง ๆ นั้นมักจะสามารถเสาะหาได้เยอะพอสมควรในยุค ?ดอทคอม? แต่ปัญหาที่พบมักจะเป็นเรื่อง ?การประเมินมูลค่า? ที่บ่อยครั้งสูงกว่าข้อเท็จจริง หรือต่ำกว่าข้อเท็จจริง(Over or Under statement) ทำให้นักลงทุนไม่แน่ใจว่าจะใช้ข้อมูลใดที่ทำให้ซื้อหุ้นได้ในราคาได้เปรียบตลาด ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อกำไรหรือขาดทุนของพอร์ตการลงทุนระดับหนึ่ง ดังนั้นปัญหาคือ นักลงทุนซื้อหุ้นดี แต่ราคาหุ้นที่ซื้อไม่ดี หรือจังหวะในการลงทุนไม่ดี มักจะเป็นเหตุผลหลักที่กระทบต่อการลงทุน

ประเด็นอื่น ๆ ที่นักลงทุนอาจจะไม่ค่อยเต็มใจเล่นหุ้นกลุ่มนี้ อาจจะเนื่องมาจาก 1.ใช้เงินลงทุนสูงต่อหน่วย 2.การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นไม่ค่อยหวือหวา และผลตอบแทนไม่หวือหวา โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่ม 30% มีโอกาสน้อยมากเมื่อเทียบกับหุ้น Small Cap 3.รอบในการลงทุนค่อนข้างนาน แต่ในทางกลับกันข้อดี ของหุ้นกลุ่มนี้คือ 1.ราคาหุ้นค่อนข้างเสถียร 2.ความเสี่ยงไม่สูง 3.สภาพคล่องในการลงทุนสูง 4.เป็นที่นิยมของนักลงทุนสถาบัน 5.โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้ Margin แต่ไม่ค่อยมีคนซื้อเก็งกำไร 6.มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับเพิ่มหากมีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ หรือนักลงทุนสถาบันใช้ชื้อเพื่อผลประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งประเด็นนี้เองที่คาดว่าเป็นจุดน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้ 7.เริ่มมีตราสารอนุพันธ์และกองทุน TDEX ที่เชื่อมโยงกับหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้นทำให้ราคาหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิม

สำหรับนักลงทุนประเภท ?พรานเบ็ด? ที่นิยมซื้อหุ้นแล้ว นอนเล่นไปพลางเพื่อรอปลามากินเหยื่อ อาจจะศึกษาหุ้นกลุ่มนี้ ไว้เป็นทางเลือกสำหรับจับจังหวะในการซื้อ หรือขาย เพื่อเหตุผลทางการเก็งกำไร หรือลงทุนก็แล้วแต่ จุดเด่นที่น่าติดตามสำหรับหุ้นกลุ่มนี้คือ 1.ผลกำไรและอัตราการเติบโตควรสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 2.มีเงินปันผลรองรับในอัตราที่น่าสนใจ 3.ฐานะทางการเงินและแนวโน้มกิจการดี 4.สภาพคล่องที่วัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด มูลค่าสูงแสดงว่ามีเงินลงทุนมาซื้อหุ้นกลุ่มนี้เยอะ 5.โครงสร้างทางเทคนิคเป็นแนวโน้มกระทิง ราคาหุ้นเกาะเหนือค่าเฉลี่ยมักจะมีโอกาสของราคาที่ดีกว่า แต่หากในกรณีหุ้นปรับตัวลดลง และราคาหุ้นเริ่มยืนและเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเทคนิคก็อาจจะเป็นอีกมุมหนึ่งที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ

สำหรับหุ้นกลุ่ม ?หลบภาษี หนีดอกเบี้ยต่ำ? ที่น่าติดตาม ขอแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่ม ผู้นำ Leaders กับกลุ่ม ผู้ตาม Followers โดยกลุ่มผู้นำ ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้นำของกลุ่ม เช่น ส่วนแบ่งทางการตลาด ขนาดของสินทรัพย์ หรือ ผลประกอบการ รวมทั้งสภาพคล่องที่วัดจาก Size Market Cap ส่วกลุ่มผู้ตาม มักจะเป็นรองในเรื่อง ประเด็นที่กล่าวถึง แต่ยังจัดอยู่ในกลุ่ม เว้นแต่ Market Cap อาจจะสามารถขยับขึ้นมาใกล้เคียงกับหุ้นกลุ่มแรกๆ ได้ แต่อาจจะมีความเสี่ยงด้านการเงินสูงกว่า และอาจจะอ่อนไหวต่อดัชนี หรือตัวแปรที่กระทบรุนแรงกว่ากลุ่มแรก

สำหรับหุ้นกลุ่มแรก และกลุ่มที่สอง เช่น BBL KTB SCB KBANK SCIB SCC SCCC PTT PTTEP TOP RRC ADVANC AOT THAI ATC AMATA LH PTTCH MCOT BEC TRUE TPIPL IRPC CK STEC ITD TTA RCL PSL BECL ASP KEST PHATRA TCAP TISCO KK เป็นต้น แต่ทั้งนี้ควรปรับกลยุทธ์ในเรื่องจังหวะการลงทุน แล้วค่อย ๆ ปรับตัวเล่น เพราะหากซื้อทุกตัวคราวเดียวคงไปซื้อ TDEX ดีกว่า (แสดงความคิดเห็น Email : cnantawat@yahoo.com )

ทันหุ้น

:lol:

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 11/10/2007 @ 09:06:51 :
ขอบคุณค่ะ :wink: :wink: :wink:
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 14/10/2007 @ 11:17:25 :
แท๊งกิ้ว หลาย ๆๆๆ
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com