May 14, 2024   4:40:31 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ทุนนอกทะลัก!
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 10/10/2007 @ 23:17:02
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ถึงเวลาทุนนอกทะลักเข้าไทย ล่าสุดซื้อสุทธิกัน 3 วันทำการ เซียนหุ้นฟันธงรอบนี้ไม่ใช่แค่เก็งกำไรแต่มุ่งลงทุนยาว แนะจับตาพลังงาน-แบงก์เป้าหมายหลัก เชื่อมีลุ้นดัชนีฯทะยานขึ้นแตะ 936 จุดได้สำเร็จในปีนี้ ส่วนปีหน้าว่ากันถึงระดับ 1 พันจุด เหตุหุ้นไทยราคายังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน แถมการเมืองคลี่คลาย เศรษฐกิจภายในประเภทฟื้นตัว เมื่อทุกอย่างเอื้ออำนวยจึงถึงเวลาที่หุ้นไทยจะหลุดออกจากปากอุโมงค์เสียที
การซื้อสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม และเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วง 3 วันทำการล่าสุด ที่มีมูลค่ารวมกว่า 4,600 ล้านบาท ของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการตลาดหุ้นต่างมองในทิศทางเดียวกันว่า ทุนนอกหรือแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากที่ขายทำกำไรออกมา เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากปัญหาการปล่อยกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้กับกลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (ซับไพร์ม) ในตลาดสหรัฐ เกือบตลอดเดือนกันยายนในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากพบว่าปัญหาดังกล่าวไม่ร้ายแรงอย่างที่หลายฝ่ายหวาดวิตก ประกอบกับปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก
โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิอย่างชัดเจนอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ซื้อสุทธิ 985.55 ล้านบาท และซื้อสุทธิมาต่อเนื่องมาอีก 4 วันทำการคิดเป็นมูลค่ารวม 8,512.32 ลบ. จนเริ่มขายสุทธิอีกครั้งในวันที่ 4-5 ตุลาคม มูลค่า 906.44 ลบ.และ 777.12 ลบ. และหลังจากนั้นนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มซื้อชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะ 3 วันทำการล่าสุดซื้อรวมกันกว่า 4,600 ลบ. โดยในวันที่ 8 ตุลาคม นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,171.67 ลบ. วันที่ 9 ต.ค. ซื้อสุทธิ 1,616.57 ลบ. และล่าสุด 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซื้อสุทธิอีก 1,866.10 ลบ.

ปัจจัยที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง คือ ราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน-แบงก์ ซึ่งพบว่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ราคาหุ้นของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB รวมทั้ง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ซึ่งเป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนต่างชาติ และมูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นชัดเจนขึ้น

โดยในวันที่ 8 ต.ค. ดัชนีตลาดปิดที่ 863.16 จุด เพิ่มขึ้น 10.83 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,161.85 ล้านบาท วันที่ 9 ต.ค.ดัชนีตลาดปิดที่ 867.59 จุด เพิ่มขึ้น 4.43 จุด มูลค่าการซื้อขาย 22,242.38 ล้านบาท และวานนี้ 10 ต.ค. ดัชนีตลาดปิดที่ 875.10 จุด เพิ่มขึ้น 7.51 จุด มูลค่าการซื้อขาย 27,750.84 ล้านบาท

ทั้งนี้ การกลับเข้ามาซื้อสุทธิรอบใหม่ของนักลงทุนต่างชาติในครั้งนี้ ทำให้ผู้เกี่ยวข้องในวงการค้าหลักทรัพย์หลายรายได้มีมุมมองตรงกันว่าการกลับเข้ามาครั้งนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ไม่ธรรมดา แต่เป็นการลงทุนที่หวังผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าเข้ามาเก็งกำไรแล้วขายออกภายในเระยะเวลาไม่นานนัก

- SCIBS มองเงินนอกหนุนหุ้นไทยคึกสุดขีด ลุ้น SET Index ปีนี้ทะลุ 936 จุด
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ค่อนข้างจะคึกคัก ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น ซึ่งดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นน่าเป็นไปตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศที่คาดว่ากลับเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอีกครั้ง สังเกตได้จากมีแรงซื้อสะสมหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เข้ามาหลายวันทำการ โดยเฉพาะพลังงาน และธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ จากพฤติกรรมการซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศที่ทยอยซื้อสะสม ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมาที่เข้าซื้อหุ้นคราวละมากๆ ลักษณะเก็งกำไรระยะสั้น จึงประเมินว่าเป็นการซื้อลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวช่วง 6 เดือน - 12 เดือนจากนี้ โดยจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติดังกล่าวคาดว่าจะเป็นตัวแปรขับเคลื่อนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 936 จุดได้

"วานนี้หุ้นยืนบวกได้ทั้งวัน ซึ่งหลักๆ น่ามาจาก Fund Flow ของต่างประเทศที่กลับเข้ามา และครั้งนี้น่าเป็นการลงทุนจริงจัง ไม่เหมือนครั้งก่อนที่เฮดจ์ฟันด์เข้ามาเก็งกำไรแล้วก็ไปแถมหุ้นต่างประเทศก็บวกหนุนอีก หุ้นไทยเลยบวกได้ ซึ่งแม้ล่าสุด กนง.(คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% แต่ก็ไม่มีผลกระทบกับการลงทุนตลาดหุ้นไทย" นางสาวมยุรี กล่าว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงนี้ยังต้องติดตามผลการประกาศตัวเลขยอดค้าส่งของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยรายวันอย่างราคาน้ำมันในตลาดโลก ทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ และดัชนีค่าระวางเรือ เนื่องจากมีผลต่อการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้อง โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำให้ซื้อ TDEX และหากสนใจลงทุนรายกลุ่ม แนะนำหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะ PTTEP ราคาเป้าหมาย 158 บาท และ BBL ราคาเป้าหมาย 156 บาท

- บล.กสิกรไทยเชื่อเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยว่า ยังคงมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ประกอบกับนักลงทุนให้ความสนใจในตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจากมีค่าพีอีต่ำ รวมทั้งปัญหาซับไพร์มที่คลี่คลายลง ก็ช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุนมากขึ้น

ทั้งนี้ ปัจจัยในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งเรื่องของการเมือง ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ ทำให้มีความเสี่ยงลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 13% จึงหนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ไทย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ อย่างพลังงานด้วยเช่นกัน
โดยประเมินดัชนีฯ สิ้นปีนี้อยู่ที่ 895 จุด และคาดการณ์ปีหน้าอยู่ที่ 1,050 จุด เนื่องจากเชื่อว่าภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศฟื้นตัวขึ้น

- ASP มั่นใจปีนี้ดัชนีฯ พุ่ง 900 จุด หลัง ได้หุ้นพลังงาน-แบงก์ หนุน
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 900 จุด ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากแนวโน้มค่าเงินในภูมิภาคเอเซียเริ่มแข็งค่าขึ้น แต่ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าอยู่ และราคาหุ้นก็ไม่แพง จึงส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศหันมาสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

สำหรับ สภาวะการเมืองในประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น หลังการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม นี้ ประกอบกับ เชื่อว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้ง น่าจะเริ่มเดินเครื่องงานโครงการเมกะโปรเจ็กใหม่ๆ ก็น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างประเทศอาจจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าช่วงปลายปีจะมีปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น เพราะเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว จึงคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่หนุนให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าน่าจะได้รับแรงหนุนจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิม จึงทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝากไม่เปลี่ยนแแปลง ซึ่งทำให้ธนาคารน่าจะได้ประโยชน์จากส่วนนี้

จึงแนะนำ ซื้อหุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ เช่น KGI และKEST เพราะน่าจะได้รับประโยชน์จากปริมาณการซื้อขายที่เริ่มกลับเข้ามา และหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ราคายังคงไม่แพงมากนัก เช่น EGCO, PTTEP และ RATCH และ หุ้นในกลุ่มอสังหาริทรัพย์ SPALI , AP, LPN และPS และหุ้นที่พื้นฐานดี และยังได้รับประโยชน์จากดัชนีค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น TTA และหุ่นในกลุ่มสื่อสาร เช่น DTAC และ ADVANCE เพราะเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีความชัดเจน และปัญหาภายในองค์กรของ TOT น่าจะคลี่คลาย โดยน่าจะส่งผลให้มีงานโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าในปีนี้ และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น SCB KTB และ KBANK

- ธปท.คงดอกเบี้ย R/Pไว้ที่ 3.25% สะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวหนุนการลงทุนในตลาดหุ้น
วานนี้ ธปท.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25% เหตุมองเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลังการเมืองชัดเจน ทำให้อุปสงค์ภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องลดลงอีกเพื่อกระตุ้นศก.ระบุดอกเบี้ยระดับปัจจุบันเหมาะสมแล้ว แต่ไม่ฟันธงครั้งหน้าลดได้อีกหรือไม่ พร้อมแย้มปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีปีนี้ 19 ตุลาฯ จากเดิมที่คาดว่าจีดีพีปีนี้จะโต 4-5%

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวแถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวานนี้ว่า คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันไว้ที่ 3.25% ต่อปี หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดพบว่าอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนมีสัญญาณขยายตัวดีขึ้น การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะชะลอลงในครึ่งหลังของปี ในขณะที่ปัญหาซับไพร์มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากแต่ปัญหาดังกล่าวมีโอกาสยืดเยื้อจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ส่วนเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่แนวโน้มระยะต่อไปอาจเพิ่มขึ้นบ้างตามราคาน้ำมันที่แนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยการประเมินล่าสุดเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้ใน 8 ไตรมาสข้างหน้า

? ดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวหลังการเมืองชัดเจน ดังนั้น ความจำเป็นที่จะใช้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไม่มีแล้วและนโยบายดอกเบี้ยต่ำที่ทำไปในช่วงที่ผ่านมาก็จะค่อยๆ ส่งผลจากนี้ไปอย่างไรก็ตามคำว่าเหมาะสมแล้วไม่ได้หมายความว่าในครั้งต่อไปจะปรับขึ้นหรือปรับลงไม่ได้อีกเพราะขึ้นอยู่กับภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ? นางสุชาดา กล่าว

ทั้งนี้ จากภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากอุปสงค์ในประเทศที่เร่งตัวขึ้น ทั้งการอุปโภคบริโภคภาครัฐและเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มเดินหน้า ก็ส่งผลต่อการลงทุนเอกชนตามมา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินต่อไปได้ นอกเหนือจากการส่งออกที่เป็นปัจจัยหลัก ดังนั้น ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อวันที่ 19 ตุลาคมนี้ ธปท.จะมีการปรับประมาณการจีดีพีอีกครั้งหนึ่ง จากเดิมที่คาดว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัว 4-5%

?ในส่วนของจีดีพีคงมีการปรับนิดหน่อย ซึ่งหากดูจากเครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดจะเห็นว่าไม่ได้ต่างจากการประชุมครั้งก่อนที่คณะกรรมการมองว่าอุปสงค์ในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น?นางสุชาดา กล่าว

นอกจากนี้ ก็จะมีการปรับประมาณตัวเลขสมมติฐานอื่นๆ ด้วย เช่น ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งธปท.มองว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีกครั้งหนึ่งในปีนี้

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริง 12 เดือน ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ 0.14% ซึ่งในการคงดอกเบี้ยในครั้งนี้ ธปท.ไม่ได้มีความกังวลว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะต้องยอมรับว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงสามารถติดลบได้บาง แต่ก็ไม่คงนานเกินไป ขณะที่ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐที่ 1.50% ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีผลต่อเงินทุนไหลออก

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากมองว่า กนง. ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยมาดูแล และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว แต่น่าจะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมีในการดูแลอัตราเงินเฟ้อเหมือนเดิม เพราะขณะนี้สัญญาณของการบริโภคของประชาชนเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับราคาสินค้าต่างๆกำลังจะเริ่มมีการปรับราคาขึ้นมา รวมถึง อาจจะมีการลอยตัวก๊าซหุงต้ม ดังนั้นจึงอาจจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังคงทรงตัวในระดับ 34.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และไม่มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น เพราะหลังจากที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ก็ไม่ได้มีเงินทุนทะลักเข้ามาในไทยมากเกินไป จนส่งผลต่อเสถียรภาพค่าเงินบาท ประกอบกับเชื่อว่า ทาง กนง.เองน่าจะมีเหตุผล ที่เป็นเอกเทศในการตัดสินใจต่อระดับอัตราดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่า กนง.ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงตามต่างประเทศ
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ความกังวลว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาจจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษบกิจก็คลี่คลายลง ซึ่งอาจจะมีผลให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะปัจจัยเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในขณะที่ปัญหาการเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลายลงและเชื่อวการเลือกตั้งที่จะมาถึงจะทำให้ปัจจัยการเมืองเป็นบวกต่อการลงทุน

- อเบอร์ดีนชี้หุ้นไทย ราคาต่ำกว่าเพื่อนบ้าน 20%
บลจ.อเบอร์ดีนชี้หุ้นไทยยังน่าลงทุน เหตุราคาหุ้นต่ำกว่าเพื่อนบ้านประมาณ 15-20% ระบุลงทุนได้ทั้งในระยะกลาง-ยาว ภายในเวลา 3-5 ปี เพราะการเมืองคลี่คลาย ความเชื่อมั่นฟื้น โดยนางสาวรัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่เท่าใด ระบุได้เพียงว่าราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยยังถูกกว่าภูมิภาคประมาณ 15-20% ขณะเดียวกันมองว่าภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยระยะกลางถึงระยะยาว ประมาณ 3-5 ปี ถือว่ายังมีน้ำหนักในการลงทุนที่ดีอยู่
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้จะทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนต่างๆกลับคืนมาและทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากคาดหวังว่าภายหลังการเลือกตั้งจะได้รัฐบาลใหม่ที่ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองที่ดียิ่งขึ้น

- ก้องเกียรติ มองปีหน้าหุ้นไทยมีโอกาสเด้งถึง 1 พันจุด
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) เปิดเผยว่า ในปีหน้าประเมินระดับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีโอกาสไปอยู่ที่ระดับ 1 พันจุด แต่ทิศทางการปรับขึ้นอาจมีความผันผวนบ้างเพราะปัจจัยภายในประเทศกดดันอยู่ เช่นเรื่องการเมืองเป็นต้น
จริงๆ ปีนี้ก็น่าจะเห็น 1 พันจุดได้แล้ว แต่คิดว่าน่าจะเป็นช่วงปีหน้ามากกว่า ซึ่งระหว่างทางคงจะมีคลื่นเยอะจากปัญหาภายใน แต่ที่เชื่อว่าจะสามารถขึ้นได้ เพราะหุ้นส่วนใหญ่ที่นำตลาดจะเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน โภคภัณฑ์ ซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยตรง ดร.ก้องเกียรติ กล่าว


:lol:

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 14/10/2007 @ 11:33:32 :
พอหุ้นขึ้น ก็บอกปีหน้า 1000 จุด แบบนี้ทุกที
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com