May 14, 2024   6:27:33 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จัดทัพ ปรับกลยุทธ์เล่นหุ้นก่อนเลือกตั้ง!
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 11/10/2007 @ 23:26:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

Money & Wealth จัดสัมมนาเตรียมความพร้อมนักลงทุน เพื่อจัดทัพ ปรับกลยุทธ์การเล่นหุ้นก่อนเลือกตั้ง บล.ทรีนีตี้ - บล.บัวหลวง แนะจับตา fund flow มีลุ้นมาแน่ ดันหุ้นบิ๊กแคปกระฉูด หนุน SET Index ทะลุ 900-940 จุดก่อนสิ้นตุลาคมนี้ ระบุหุ้นเด่นยังเป็นกลุ่มบันเทิง, รับเหมาฯ, นิคมฯ, สื่อสาร และสินค้าโภคภัณฑ์

หลังจากรัฐบาลไทย ประกาศให้วันเลือกตั้งครั้งใหม่เป็นวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นิตยสาร Money & Wealth ได้จัดสัมมนาหัวข้อ "จัดพอร์ตโกยกำไร...รับเลือกตั้ง" เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักลงทุน โดยเชิญนักวิเคราะห์ชื่อดังจาก คือ บล.ทรีนีตี้ และ บล.บัวหลวง ร่วมกับผู้บริหารจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มาเป็นวิทยากร

* บล.ทรีนีตี้ ชี้สถิติหุ้นวิ่งก่อนเลือกตั้ง 1 เดือน
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า นักลงทุนควรรู้จักวิธีควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนให้มากขึ้น เนื่องจากดัชนีในตลาดหลักทรัพย์อาจมีความผันผวนตามเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) เที่เป็นตัวแปรขับเคลื่อน โดยจากสถิติการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ก่อนการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมานับจากปี 2539 พบว่าช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไฟแนนซ์ และสื่อสารจะมีการปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่น โดยในส่วนของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้ผลตอบแทนสูงถึง 9.2%ขณะที่หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ให้ผลตอบแทน 8.5% และหุ้นในกลุ่มสื่อสารให้ผลตอบแทน7% ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า SET Index ที่ 5.9%
จากสถิติที่รวบรวม 3 ครั้งในการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งรัฐบาลชวน ทักษิณ1 และทักษิณ 2 พบว่ากลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์ และสื่อสาร จะขึ้นมาแรงรับการเลือกตั้ง 1 เดือน ซึ่งกลุ่มสื่อสารที่ขึ้นมาก็เป็นเพราะคาดรัฐบาลทักษิณจะได้รับเลือก ทำให้มีการเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นสื่อสารอย่าง ADVANC และ SHIN ซึ่งในขณะนั้นหุ้นในเครือ PTT ยังไม่เข้าจดทะเบียน ทำให้ผลตอบแทนหุ้นกลุ่มพลังงานยังไม่โดดเด่น แต่รอบนี้คาดว่าพลังงานจะปรับเพิ่มขึ้นได้จากนักลงทุนต่างประเทศที่สนใจหุ้นบิ๊กแคปใหญ่ๆ นายวิศิษฐ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนให้แบ่งพอร์ตการลงทุนก่อนการเลือกตั้ง โดยลงทุนในหุ้น 50% ส่วนอีก 50% แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้และถือเงินสดโดยหุ้นเด่นที่แนะนำ ได้แก่ BBL ราคาเหมาะสมปีนี้ 135 บาท ปีหน้า 140 บาท , KTB ราคาเหมาะสมปีนี้ 12.50 บาท ปีหน้า 13 บาท, PTT ราคาเหมาะสมปีนี้ 360 บาท และ PTTEP ราคาเหมาะสมปีนี้ 180 บาท

* ชี้เม็ดเงินต่างชาติเป็นพลังขับเคลื่อนดัชนีฯ
นายวิศิษฐ์ กล่าวด้วยว่า เม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศเป็นตัวแปรหลักขับเคลื่อนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผลต่อเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ

โดยหากการประชุมในวันที่ 31 ต.ค. นี้ เฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็จะสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวอย่างแท้จริง และส่งผลให้มีเม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เกิดใหม่ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันหากเฟดไม่ลดอัตราดอกเบี้ย โดยคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.75% ก็ประเมินว่าเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศ จะไหลกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าเฟดอาจจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีปัญหาแต่เพียงด้านภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจด้านอื่นยังดี การจ้างงานยังอยู่ในระดับที่สูงและราคาน้ำมันก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันโดยต้องจับตาดูการประกาศเงินเฟ้อพื้นฐานรวมถึงเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ที่เตรียมประกาศในวันที่ 17 ต.ค. นี้ เนื่องจากมีผลต่อการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ถ้าดูจากเฟด ฟันด์ ฟิวเจอร์ส จะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ในการลดดอกเบี้ยลดน้อยลงเหลือเพียง 40% จากช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเปอร์เซ็นต์การลดดอกเบี้ยสูงถึง 90% ซึ่งเชื่อว่าเฟดไม่น่าลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ และหากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยจริง ก็จะมีเงินไหลกลับเข้าสหรัฐฯ ในทางกลับกันหากเฟดลดดอกเบี้ยรอบนี้ ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกันสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ดี โดยประเมินว่าช่วงเดือนนี้ก่อนการประชุมเฟดดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นได้จาก Fund Flow ที่เข้ามาลงทุนโดยดัชนีฯ น่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ ซึ่งมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 900-940 จุด นายวิศิษฐ์ กล่าว

* บล.บัวหลวง ชี้งวดนี้กลุ่มรับเหมาฯ-บันเทิง-นิคมฯ ดาวเด่น
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS กล่าวด้วยว่า คาดการณ์หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง น่าจะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และดันราคาให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งมองว่าหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง บันเทิง และนิคมอุตสาหกรรมเป็นหุ้นดาวเด่น โดยหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะมีแรงซื้อเก็งกำไรรับข่าวการเปิดประมูลงานโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะะ ITD, CK และ STEC ที่เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่

ขณะที่หุ้นในกลุ่มบันเทิงอย่าง MCOT ก็น่าจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกันกับหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่น่าจะมีการเก็งกำไรเข้ามาจากความมั่นใจผู้บริโภคที่เข้ามาลงทุน โดยหุ้นเด่นได้แก่ ROJANA และ TICON

* หลังเลือกตั้งถึงเป็นคิวสื่อสาร-สินค้าโภคภัณฑ์
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจหลังการเลือกตั้งมองว่าเป็นหุ้นในกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ ADVANC, DTAC และ SAMART ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ก็น่าสนใจ เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังอยู่ในระดับที่สูง โดยหุ้นเด่นแนะนำ PTT, BANPU, PTTCH, TOP และ TSTH

ด้านการจัดพอร์ตลงทุนก่อนการเลือกตั้ง แนะนำให้โยกเงินลงทุนจากพันธบัตร มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น ผลตอบแทนที่จะได้รับก็น่าจะมากกว่าการลงทุนในพันธบัตร โดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบ่งเป็น 70% ลงทุนในหุ้น 20% ลงทุนในพันธบัตร 5% ลงทุนในกองทุนพันธบัตรระยะสั้น และอีก 5% แนะนำให้ถือเงินสด

ลงทุนในพันธบัตร 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 3.47% ส่วนผลตอบแทนในหุ้นประมาณ 3.34% ซึ่งปกติแล้วลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าพันธบัตร แต่จากช่วงนี้ที่หุ้นเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หากมองว่าหากโยกมาลงทุนในหุ้นก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า นายเผดิมภพ กล่าว

อย่างไรก็ดี บล.บัวหลวง คาดการณ์ SET Index สิ้นปีนี้อยู่ที่ 900 จุด ซึ่งจากเม็ดเงินต่างประเทศ ที่เข้ามาต่อเนื่องรวมถึงแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น และมีแรงหนุนมาจากหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ก็น่าจะดันให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นได้ และในปีหน้าปัจจัยบวกน่าจะดีขึ้นจากปีนี้จากความชัดเจนสถานการณ์การเมือง จึงคาดการณ์ SET Index อยู่ที่ 1000 จุด

* สศค.คาดปีหน้าเงินไหลเข้าไทยกว่า 1 หมื่นล้านดอลล์
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า คาดว่า ในปีหน้าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาในไทยไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านเหรียญฯ มากกว่าปีนี้ทั้งปีที่จะมีเงินทุนไหลเข้าประมาณ 9 พันล้านเหรียญฯ ส่วนจะมากกว่าปีนี้ถึงเท่าตัวหรือไม่เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก

โดยล่าสุด 9 เดือนที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าแล้วประมาณ 8 พันล้านเหรียญฯ สาเหตุหลักเกิดจากนักลงทุนขาดความมั่นใจในเงินสกุลดอลลาร์จึงได้หันไปลงทุนในประเทศอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เพราะมีการส่งออกที่ขยายตัวดี เงินทุนสำรองสูง ดังนั้นค่าเงินในประเทศดังกล่าวย่อมจะมีเสถียรภาพมากกว่าค่าเงินดอลลาร์ ในขณะที่ตลาดหุ้นในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียยังมี P/E ต่ำ


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com