May 14, 2024   9:07:47 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ฟันธง3กลุ่มโดดเด่นสุด ...ก่อนเลือกตั้ง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 12/10/2007 @ 09:50:35
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ได้ฤกษ์ลุยหุ้นก่อนเลือกตั้ง เผยสถิติชี้ชัด แบงก์-ไฟแนนซ์-พลังงาน ให้ผลตอบแทนสูงสุดก่อนเลือกตั้ง 1 เดือน เฉลี่ย 8.5-9.2% สูงกว่าดัชนีที่เพิ่มขึ้น 5.9% ขณะที่รับเหมาก่อสร้าง คอมมอดิตี้ก็น่าสนใจ เพราะมีสตอรี่รองรับ แนะเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้นเป็น 50-70% ด้านดัชนีหุ้นไทยวานนี้พุ่งกระฉูด ปิดสูงสุดในรอบ 11 ปี วอลุ่มแตะ 3.3 หมื่นล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2.8 พันล้านบาท

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ ?จัดพอร์ตโกยกำไร...รับเลือกตั้ง? ว่า จากสถิติการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก่อนการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมานับจากปี 39 พบว่า ช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไฟแนนซ์ และสื่อสารจะมีการปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่น โดยในส่วนของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้ผลตอบแทนสูงถึง 9.2% ขณะที่หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ให้ผลตอบแทน 8.5% และหุ้นในกลุ่มสื่อสารให้ผลตอบแทน 7% ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีที่ให้ผลตอบแทน 5.9% และคาดว่ารอบนี้หุ้นกลุ่มพลังงานน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย

?จากสถิติที่รวบรวม 3 ครั้งในการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งรัฐบาลชวน ทักษิณ 1 และทักษิณ 2 พบว่ากลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์ และสื่อสาร จะขึ้นมาแรงรับการเลือกตั้ง 1 เดือน แต่ในขณะนั้นหุ้นกลุ่ม PTT ยังไม่เข้าจดทะเบียน ทำให้ผลตอบแทนหุ้นกลุ่มพลังงานยังไม่โดดเด่น แต่รอบนี้คาดว่าพลังงานจะปรับเพิ่มขึ้นได้จากนักลงทุนต่างประเทศที่สนใจหุ้นบิ๊กแคปใหญ่ๆ? นายวิศิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้แบ่งพอร์ตการลงทุนก่อนการเลือกตั้ง โดยลงทุนในหุ้น 50% ส่วนอีก 50% แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้และถือเงินสด โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ ได้แก่ BBL ราคาเหมาะสมปีนี้ 135 บาท ปีหน้า 140 บาท, KTB ราคาเหมาะสมปีนี้ 12.50 บาท ปีหน้า 13 บาท, PTT ราคาเหมาะสมปีนี้ 360 บาท
และ PTTEP ราคาเหมาะสมปีนี้ 180 บาท

นายวิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า เม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศจะเป็นตัวแปรหลักขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทย ซึ่งสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผลต่อเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ โดยหากการประชุมในวันที่ 31 ต.ค. นี้ เฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็จะสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวอย่างแท้จริง และส่งผลให้มีเม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เกิดใหม่ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยมากขึ้น

?หากเฟดลดดอกเบี้ยรอบนี้ ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกันสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ดีซึ่งจะทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย แต่ช่วงเดือนนี้ก่อนการประชุมของเฟดประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นได้จากเม็ดเงินต่างชาติ ซึ่งดัชนีมีโอกาสแตะระดับ 900-940 จุด? นายวิศิษฐ์ กล่าว

ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง น่าจะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และดันราคาให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งมองว่าหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง บันเทิง และนิคมอุตสาหกรรมเป็นหุ้นดาวเด่น โดยหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะมีแรงซื้อเก็งกำไรรับข่าวการเปิดประมูลงานโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะ ITD, CK และ STEC ที่เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่

ขณะที่หุ้นในกลุ่มบันเทิงอย่าง MCOT ก็น่าจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกันกับหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่น่าจะมีการเก็งกำไรเข้ามาจากความมั่นใจผู้บริโภคที่เข้ามาลงทุน โดยหุ้นเด่นได้แก่ ROJANA และ TICON

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจหลังการเลือกตั้งมองว่าเป็นหุ้นในกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ ADVANC, DTAC และ SAMART ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ก็น่าสนใจ เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังอยู่ในระดับที่สูง โดยหุ้นเด่นแนะนำมี PTT, BANPU, PTTCH, TOP และ TSTH

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนก่อนการเลือกตั้ง แนะนำให้โยกเงินลงทุนจากพันธบัตร มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น ผลตอบแทนที่จะได้รับก็น่าจะมากกว่าการลงทุนในพันธบัตร โดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนแบ่งเป็น 70% ลงทุนในหุ้น 20% ลงทุนในพันธบัตร 5% ลงทุนในกองทุนพันธบัตรระยะสั้น และอีก 5% แนะนำให้ถือเงินสด

นายเผดิมภพ กล่าวต่อว่า คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ดัชนีอยู่ที่ 900 จุด จากเม็ดเงินต่างประเทศ ที่เข้ามาต่อเนื่องรวมถึงแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น และมีแรงหนุนมาจากหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ก็น่าจะดันให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นได้ และในปีหน้าปัจจัยบวกน่าจะดีขึ้นจากปีนี้จากความชัดเจนสถานการณ์การเมือง จึงคาดการณ์ดัชนีที่ 1000 จุด

ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าว คาดว่า ในปีหน้าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาในไทยไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านเหรียญฯ มากกว่าปีนี้ทั้งปีที่จะมีเงินทุนไหลเข้าประมาณ 9 พันล้านเหรียญฯ โดยล่าสุด 9 เดือนที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าแล้วประมาณ 8 พันล้านเหรียญฯ สาเหตุหลักเกิดจากนักลงทุนขาดความมั่นใจในเงินสกุลดอลลาร์จึงได้หันไปลงทุนในประเทศอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ภูมิภาคเอเชียเพราะมีการส่งออกที่ขยายตัวดี เงินทุนสำรองสูง ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียยังมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(P/E) ต่ำ

ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(11 ต.ค.)เต็มไปด้วยความคึกคัก เพราะได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ดัชนีปรับขึ้นอย่างร้อนแรงตลอดวัน โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่แทบจะทุกกลุ่ม และสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่หลายตัว นำโดยกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มเดินเรือ ช่วยหนุนให้ดัชนีปิดในระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี และเป็นการปรับขึ้นสูงสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

ทั้งนี้ ระหว่างดัชนีปรับขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 891.27 จุด ลดลงต่ำสุดที่ระดับ 876.12 จุด จนมาปิดตลาดที่ระดับ 889.06 จุด เพิ่มขึ้น 13.96 จุด หรือร้อยละ 1.60 มูลค่าการซื้อขาย 33,920.76 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็น นักลงทุนต่างชาติยังเข้าซื้อสุทธิสูงถึง 2,835.74 ล้านบาท แต่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,772.35 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายซื้อสุทธิ 63.39 ล้านบาท

ทางด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสามารถปิดตลาดบวกสูงสุดในรอบ 11 ปี เพราะได้จากแรงหนุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยนักลงทุนเห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นสูงแล้ว จึงมีแนวโน้มปรับลดลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีทิศทางอ่อนค่าลง และราคาพลังงานปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ทำให้มีแรงซื้อเข้ามามากในหุ้นขนาดใหญ่

กระแสหุ้น

:lol:

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 14/10/2007 @ 11:23:35 :
:wink: :roll: :P
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com