May 4, 2024   12:03:54 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 900 จุด แค่ชิลชิล ให้ชัวร์ต้องเล่นบิ๊กแคป
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 15/10/2007 @ 20:37:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นไทยแรงดีไม่มีตก SET INDEX 900 จุดได้เห็นชิล ชิล หลังได้แรงซื้อหุ้นน้ำมันหนุน และหุ้นบิ๊กแคปอย่างกลุ่มแบงก์ - ปิโตรเคมี แถมได้อานิสงส์เลือกตั้ง ดันหุ้นพาเรดกันทั่วหน้า บวกเงินทุนไหลเข้า หลังจากที่ BOJ คงอัตราดอกเบี้ย ทำให้ นลท.หันไปกู้เงินที่ดอกเบี้ยต่ำ นำกลับมาลงทุนหุ้นในเอเชียรวมทั้งไทย แนะเก็บหุ้นพลังงาน และแบงก์ ด้าน ตลท.ยังสวมบทครูระเบียบ 2 วันสั่ง 13 บจ.แจงยิบตัวเลขรายได้ - กำไร ฟาห 3 บิ๊กบจ. โอดทำให้ต้องระวังมากขึ้น แต่ยันไม่กระทบความเชื่อมั่นนลท.

หุ้นไทยแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ วานนี้( 15 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปทดสอบ 900 จุด แต่ไม่สามารถผ่านไปได้ โดยอ่อนตัวลงมาปิดที่ระดับ 897.10 จุด เพิ่มขึ้น 10.08 จุด หรือ 1.14% มูลค่าการซื้อขาย 25,908.59 จุด โดยได้แรงดันจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดยตระกูล PTT ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ปตท.(PTT), บมจ.ปตท.สพ.(PTTEP) , บมจ.ไทยออยส์(TOP) หลังจากที่ราคาน้ำมันที่ทำจุดสูงสุดใหม่ และกลุ่มเคมีภัณฑ์ อย่าง บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH), บมจ.อะโรเมติกส์(ประเทศไทย) (ATC)

ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET INDEX นั้น เกิดจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน ก.ย.ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ ถึงแม้มีความวิตกว่าการทรุดตัวของภาคที่อยู่อาศัยของสหรัฐจะส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลงก็ตาม ประกอบกับบริษัทแมคโดนัลด์คาดการณ์ถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ที่สุงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากความแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พื้นฐานซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% .ในเดือน ก.ย.

ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. ปิดเพิ่มขึ้น 0.61 ดอลลาร์สหรัฐ มาปิดที่ 83.69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ได้แรงหนุนจากตัวเลขยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายอดค้าปลีกอยู่ในระดับดีเกินคาด และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และตัวเลขดังกล่าวงชี้ว่า อุปสงค์น้ำมันไม่ได้ลดลงถึงแม้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์กล่าวว่าราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากข่าวเรื่องความตึงเครียดระหว่างตุรกีและทางเหนือของอิรัก

บทวิเคราะห์บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า ช่วงต้นสัปดาห์ดัชนีมีสิทธิปรับขึ้นก่อน ปัจจัยหนุน คือ ราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นต่อและการเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q50 กลุ่มแบงค์ หลังจากนั้นอาจแกว่งตัวจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่ระยะกลาง-ยาวยังไปได้ดีเพราะคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเมื่อเฟดลดดอกเบี้ยอีกรอบในปลายเดือนนี้, การเลือกตั้งทั่วไปเป็นไปตามกำหนดการ คือ ปลายเดือนธ.ค.50, กำไรของบจ.ขยายตัวดีในปี 51 และ Valuation ที่ต่ำของตลาดหุ้นไทย

แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่จะผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นทะยานเหนือ 900 จุด คือ การเลือกตั้ง เรื่องนี้บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ได้เกิดเหตุการณ์ Pre-Election Rally กับตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย. (Quoted on 11 ต.ค. 50) เราได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Pre-Election Rally ตั้งแต่ช่วง 2 เดือนก่อนหน้าแล้ว และคาดว่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. ซึ่งก็ดูเหมือนว่า Pre-Election Rally ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ โดยตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย. SET (90 วันก่อนการเลือกตั้ง) ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 12% และถ้าพิจารณาจากสถิติการเลือกตั้งในอดีตตั้งแต่ปี 1998 จะเห็นว่า SET มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อไปจนถึงการเลือกตั้ง และจะปรับขึ้นต่อไปหลังการเลือกตั้งประมาณ 2 สัปดาห์ (ซึ่งเป็น 2 สัปดาห์ที่มีการปรับขึ้นแรงมาก)

โดยแนะนำให้ นักลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 80% ของพอร์ตต่อเนื่อง การพักฐานถือว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้น นอกจากปัจจัย Pre-Election Rally ที่มีผลเชิงบวกต่อ SET แล้ว ในทางสถิติแล้ว SET จะทำจุดต่ำสุดในช่วงกลาง เดือน ต.ค. และจะค่อยๆ ปรับสูงขึ้นไปจนกระทั้งถึงช่วงปลายเดือน ม.ค.หรือที่เราเรียกกันว่า Year-End Rally กับ January Effect ซึ่งทำให้เรามองว่าการขายหุ้นออกไปช่วงนี้อาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสการทำไรที่ดีที่สุดของปีไป เราจึงแนะนำถือหุ้น 80% ของพอร์ตต่อเนื่อง และการอ่อนตัวของ SET ไปที่ระดับ 860 - 870 จุด ถือว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนหุ้นในพอร์ตเป็น 100% โดนกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำให้เข้าสะสมต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ (ล่าสุด CCET ประกาศตัวเลขยอดขายเดือน ก.ย. ขยายตัวดี 35% YoY) ผู้ผลิตไฟฟ้า พลังงาน บ้านและที่ดิน และ กลุ่มหลักทรัพย์ ต่อเนื่อง

***วงการ ฟันธง SET INDEX ทะยานเหนือ 900 จุดไม่ยาก

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยพรุ่งนี้ (16 ตุลาคม 2550) คาดว่ามีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจากวันนี้ โดย ดัชนีฯมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 910 จุดได้ หากยังไม่มีปัจจัยลบกดดัน ทั้งนี้ให้ติดตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก และเม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศว่ามีเข้ามาต่อเนื่องหรือไม่ เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการเคลื่อนไหวดัชนีฯ

โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในวันพรุ่งนี้ที่จะพิจารณาโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนแบบรางในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ก็น่าจะสนับสนุนให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นที่เกี่ยวข้องได้รับความสนใจจากนักลงทุน
อย่างไรก็ดี ประเมินแนวรับไว้ที่ 880 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 910 จุด แนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าไปเก็บหุ้นพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ เมื่อราคาปรับลดลง โดยเฉพาะ PTT และ BBL

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย มีโอกาสทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 900 จุด ได้ ทั้งนี้คาดว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ในกลุ่มพลังงาน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP โดยเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นนั้นยังคงเป็นเรื่องของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะกลุ่มนำตลาดในตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังคงเป็นกลุ่มพลังงาน

อย่างไรก็ดี จากที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3นั้น แต่กลุ่มธนาคารฯ ก็ไม่ตอบสนองมากเท่าที่ควร
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ นักลงทุนเก็งกำไรในกลุ่มพลังงาน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น

นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฎิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีโอกาสไปถึง 900 จุด เนื่องจากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารกลางญี่ปุนคงอัตราดอกเบี้ย จึงอาจจะทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเข้าไปกู้เงินที่ดอกเบี้ยต่ำ และส่วนหนึ่งนำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

สำหรับ หุ้นที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง ส่วนราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะมาแรงเข้ามาซื้อ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาส 3และ4/2550 น่าจะออกมาดี

แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องเจอเเรงขายทำกำไรออกมาบ้าง เพราะคาดว่าดัชนีฯ น่าจะมีการปรับฐานเกิดขึ้นเช่นเดิม โดยเริ่มเห็นสัญญาณ over bought และทางเทคนิค เริ่มมีสัญญาณขาย ทั้งนี้ ในช่วงปลายสัปดาห์ให้ติดตามตัวเลขยอดการก่อสร้างของสหรัฐฯ เพราะจะมีผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ โดยการประกาศตัวเลขดังกล่าวเชื่อมโยงกับปัญหาซับไพร์ม ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวลดลงมากกว่าที่หลายๆ นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อดัชนีดาวโจนส์ และน่าจะกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ รอซื้อหุ้นขนาดใหญ่เมื่อดัชนีฯ ปรับตัวลดลงมาสู่แนวรับที่บริเวณ 880 จุด ในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น KBANK, BBL และ SCB และหุ้นรับเหมาก่อสร้าง เช่น ITD, STEC และ CK โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 880 จุด และแนวต้านที่ 895 - 900 จุด

***ตลท.จี้ บจ.แจงรายได้ - กำไร 13 แห่งรวด

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม และ 15 ตุลาคม 2550 ตลท.ได้สั่งให้บริษัทจกทะเบียน 13 แห่งชี้แจงเกี่ยวกับตัวเลขรายได้กำไรที่ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยบริษัท ปริญสิริ จำกัด ( มหาชน ) (PRIN) ชี้แจงถึง 2 ครั้ง ได้แก่ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด(มหาชน) (GL), บริษัท ไทยสโตเรจแบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) (BAT - 3K), บริษัท ฐิติ กรจำกั ด (มหาชน) (TK), บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) (NCH), บริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ( UEC) ,บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ,บริษัทซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)(CIG) , บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) (UMS) ,บริษัท ปริญสิริ จำกัด ( มหาชน ) (PRIN), บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK) ,บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)(CK) ,บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)(RS) ,บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) (NWR)


*** 3 บิ๊กบจ. ระบุ ตลท.สั่งแจงข้อมูลยิบช่วงนี้ ทำให้ต้องระวังมากขึ้น แต่ยันไม่กระทบความเชื่อมั่นนลท.


นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ซีฟโก้ (SEAFCO) เปิดเผยว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการแจ้งให้ชี้แจงถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลประกอบการของผู้บริหาร หลังจากที่ได้มีการให้ข่าวผ่านทางสื่อไปแล้วนั้น ทำให้ต้องมีความระมัดระวังการให้ข้อมูลมากขึ้น เนื่องจากมองว่าการที่ ตลท. เรียกให้ชี้แจงข้อมูลนั้นเป็นการทำหน้าที่อยู่ตามปกติซึ่งการให้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขซึ่งมีผลชี้นำ และมีผลต่อราคาหุ้นนั้นเป็นข้อห้ามอยู่ในกฎเกณฑ์ของทางตลาดฯอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ควรที่จะต้องปฏิบัติตามให้เหมาะสมด้วย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทาง ตลท.เรียกให้บริษัทฯชี้แจงนั้น ก็ไม่น่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากการให้ข้อมูลนั้นเป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานของข้อมูลประกอบกับมองว่าการเรียกให้บริษัทจดทะเบียนต่างๆชี้แจงนั้นจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใสให้แก่ตลาดหุ้นไทย

นาย วีระวิทย์ ดุละลัมพะ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. บางสะพานบาร์มิล(BSBM) กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทุกรายนั้นควรที่จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ในกรณีที่บางบริษัทฯถูกเรียกให้ชี้แจงเกี่ยวกับการให้ข้อมูลนั้นอาจจะเป็นเพราะเกิดความพลั้งเผลอในการให้ข้อมูลที่ได้มีการกล่าวถึงบ่อย ดังนั้นจึงต้องมีความระมัดระวังถึงข้อมูลที่สื่อสารออกไปด้วย

อย่างไรก็ดี เรื่องการให้ข้อมูลที่เป็นการชี้นำนั้นเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และมีบทลงโทษอยู่แล้วดังนั้นผู้ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯจึงควรที่จะต้องมีการศึกษาและทบทวนในตัวกฎหมายด้วย และเชื่อว่าการที่บริษัทฯต้องมาชี้แจงกับทางตลาดหลักทรัพย์นั้นไม่น่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่มองว่าน่าจะเป็นการที่ช่วยให้กฎหมายมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเป็นผลดีต่อนักลงทุนที่ทำให้เกิดคาวมเท่าเทียมกันในการถึงข้อมูลข่าวสาร

ด้าน นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการ บมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) กล่าวว่า ทุกบริษัทฯควรที่จะระมัดระวังการให้ข้อมูลซึ่งอาจขัดต่อกฎเกณฑ์ของทางตลาดหลักกทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) อยู่แล้ว เพราะกฎเกณฑ์นั้นมีอยู่มานาน ดังนั้นจึงควรที่จะปฏิบัติตามด้วย ทั้งนี้ มองว่าผู้ที่ให้ข้อมูลนั้นควรที่จะมีความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของทางตลท.อยู่แล้วว่าสิ่งใดสามารถให้ข้อมูลได้ และสิ่งใดไม่ ดังนั้นเมื่อไม่ปฏิบัติตามจึงอาจจะต้องถูกเรียกให้ชี้แจง

ส่วนการถูกเรียกให้ชี้แจงนั้นจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าตลท. เรียกให้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องใด และมองว่าหากถูกเรียกให้ชี้แจงบ่อยก็มีความเป็นไปได้ว่า นักลงทุนอาจจะมองภาพลักษณ์ของบริษัทฯไม่ดี แต่ทั้งนี้ TICON เองไม่เคยถูกเรียกให้ชี้แจง จึงไม่สามารถประเมินได้ว่าผลกระทบนั้นจะมีความร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน



:lol:

 กลับขึ้นบน
P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
#1 วันที่: 26/10/2007 @ 23:47:52 :
[b:96a39db653"> ขายไปหมดตัวแล้วจ้า ....กำ[/color:96a39db653">[/size:96a39db653">[/b:96a39db653">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com