May 14, 2024   3:55:19 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 5 อันดับวอแรนค์ที่แรงสุดในเดือนกันยา
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 16/10/2007 @ 09:28:56
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ภาวะตลาดหุ้นในเดือนกันยายนกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาซื้อสุทธิเป็นหลัก ที่สำคัญเดือนดังกล่าวเป็นช่วงสุดท้ายของการปิดงบไตรมาส 3 ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นเกือบทุกตัวสดใสมากเป็นพิเศษ
ส่วน?วอร์แรนต์"หรือใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการซื้อหุ้น แม้จะมีความหวือหวาในการขึ้นลงของราคาสูง แต่ดูเหมือนว่าเดือนกันยายนนักลงทุนจะให้ความสนใจเบาบางมาก
เพราะเมื่อพิจารณาจำนวนวอร์แรนต์ทั้ง 54 ตัว ที่นำมาจัดอันดับการเปลี่ยนแปลงของราคา กลับพบว่ามีวอแรนท์เพียง 15 ตัว ที่ปรับตัวขึ้นแรง ส่วนวอแรนต์อีก 39 ตัว แบ่งเป็นราคาไม่เปลี่ยนแปลง 3 ตัว อีก 36 ตัว ราคาปรับตัวลดลง

ทั้งนี้อย่าลืมอีกว่าแม้วอแรนค์จะเป็นสินค้าที่นักลงทุนหลายท่านนิยมเข้าไปลงทุน เนื่องจากราคาถูก และง่ายต่อการไล่ราคา แต่บางครั้งวอแรนต์ก็ความเสี่ยงในการลงทุนเช่นกันเนื่องจากทุกครั้งที่วอแรนต์ปรับตัวขึ้นแรง ส่วนใหญ่มักจะไม่มีปัจจัยพื้นฐานใดๆมารองรับ นอกเสียจากการปรับตัวแรงตามหุ้นแม่เท่านั้น

สำหรับวอแรนต์ที่ราคาเปลี่ยนแปลงมากที่สุด คือ STEC-W2 ราคาเพิ่มขึ้น 44.23%มาที่ 1.50 บาท จากเดิม 1.04 บาท สาเหตุที่ราคาหุ้น STEC-W2 ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นไปตามสัญญาณเทคนิคที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคากันอย่างหนาแน่น

ทั้งนี้หากนำ STEC-W2 มาแปลงเป็นหุ้นสามัญจะเห็นว่าไม่คุ้ม โดยเทียบได้จากราคาวอแรนต์ที่ระดับ 1.69 บาท (9 ต.ค.) บวกค่าแปลงสิทธิ์อีก 8.50 บาท เท่ากับ 10.19บาท ในขณะที่หุ้นแม่อยู่ที่ระดับ 6.65 บาท

สำหรับหุ้นแม่ (STEC ได้)ประเมินผลประกอบการรายได้ของบริษัทปีนี้ว่า อยู่ในภาวะที่เสี่ยง เนื่องจากจากผลประกอบการในครึ่งปีแรกเติบโตไม่ดีมากนัก และยังมีภาระในส่วนของอัตราดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในโครงการก่อสร้าง

แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังได้รับข่าวดี หากการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)ขยายระยะเวลาก่อสร้างขั้นต่ำที่ 370 วัน ทำให้ STEC สามารถก่อสร้างงานในส่วนที่เหลือให้เสร็จทันเวลา ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับให้กับร.ฟ.ท. ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐอีก 168.42 ล้านบาท

อันดับ 2 CIG-W1 ราคาปรับเพิ่มขึ้น 20.59 % มาที่ระดับ 2.46 จากเดิม 2.04บาท สำหรับวอแรนต์รายนี้ถือเป็นหุ้นในตลาด mai ที่ปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะไม่มีปัจจัยหนุนเข้ามา แต่เนื่องจากหุ้นแม่(CIG) มีผลการดำเนินที่น่าสนใจทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร CIG-W1 อย่างต่อเนื่อง

อันดับ 3 BCP-W1 ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 17.82% มาที่ 4.76 บาท จากเดิม 4.04 บาท
เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรวอแรนต์ หลังจากที่หุ้นแม่ BCP มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกจากปัจจัยเชิงบวกต่อค่าการกลั่นที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและความโดดเด่นของธุรกิจไบโอดีเซลที่ปัจจุบันมีสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ถึง 78% รวมทั้งคาดว่าระยะยาวราคาหุ้นดังกล่าวจะสะท้อนรับโครงการแคร็กเกอร์(PQI) ที่คาดว่าแล้วเสร็จภายในปลายปี 2551

อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการทั้งปี 50 จะเพิ่มจากครึ่งปีแรกไม่มากนัก เนื่องจากครึ่งแรกของปีนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสูงถึง 552 ล้านบาทโดยปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้นเพียง 2% เป็น 948 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าโครงการ PQI ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วกว่า 34% คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 4/51 หลังจากนั้นจะทำให้สัดส่วนน้ำมันเตาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำจะลดลงจาก 31% เหลือเพียง 9% ขณะที่น้ำมันเบาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจะเพิ่มสัดส่วนจาก 69%เป็น 91%

อันดับ 4 LH-W2 ราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 10.92% จากเดิมอยู่ที่6.60 บาท มาอยู่ที่ 5.95 บาทเนื่องจากด้วยพื้นฐานของหุ้นแม่(LH)ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะผลการดำเนินงานที่ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และหารให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอทำให้นักลงทุนนิยมเข้ามาลงทุนทั้งหุ้นแม่และลูก แม่ว่าจะไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนก็ตาม

อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนิน LH จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

โดยงบการเงินปี 25518 กำไรสุทธิ LH มีแนวโน้มขยายตัว 30% มาจากยอดขายทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม การใช้งบโฆษณาต่ำและการบันทึกกำไรจากบริษัทในเครือขณะเดียวกัน LH มีสินทรัพย์ที่มูลค่าซ่อนอยู่และล่าสุดไม่มีการประเมินมูลค่าใหม่ อาทิที่ดินทำเลทองหรือเงินลงทุนในบริษัทย่อย เบื้องต้นเชื่อว่ามูลค่าไม่ต่ำ 11,000 ล้านบาท

อันดับ 5 BLISS-W1 ราคาเพิ่มขึ้น 9.80% มาที่ระดับ 1.12 บาท จากเดิมที่ 1.02บาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นแม่ (BLISS)มีข่าวการหาพันธมิตรมาร่วมทุน ทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาไล่ราคากันอย่างคึกคัก จนเป็นเหตุให้ BLISS-W1 ต้องปรับตัวแรงตาม

ทั้งนี้แม้หุ้นจะปรับตัวแรงมากขนาดไหน ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นได้แค่หุ้นเก็งกำไรเหมือนที่ผ่านมาส่วนเรื่องการหาที่ปรึกษาการเงิน เพื่อมาแสดงความคิดเห็นการเข้าซื้อสินทรัพย์ ในการดำเนินของบริษัท ไออีซี อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC เพื่อทำรายการแบ่งแยกธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ออกเป็นการค้าปลีกและค้าส่ง

ส่วนล่าสุดทาง BLISS ก็ยังหาที่ปรึกษาการเงินไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจะหาที่ปรึกษาเพื่อมาดำเนินการให้เสร็จภายใรไตรมาส 3 นี้ สำหรับวอแรนต์รายนี้เป็นหุ้นลูกของบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ด้านวอแรนท์ที่ปรับตัวลงหนักสุด คือ RAIMON-W ราคาลดลง 38.89% มาที่ 0.11บาท จากเดิม 0.18 บาท เนื่องจากผลการดำเนินงานประสบปัญหาขาดทุน ทำให้ราคาหุ้นทั้งแม่-ลูก ไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจนักลงทุนขณะเดียวกันหากคิดจะนำ RAIMON-W มาแปลงเป็นหุ้นสามัญ ก็นับว่ามีราคาแพงกว่าหุ้นแม่มาก โดยเทียบจากราคาวอแรนต์ 0.17บาท () บวกค่าแปลงสิทธิ์อีก 1.03 บาท รวมเป็น 1.20 บาท ในขณะที่หุ้นแม่อยู่ที่ระดับ 1.09 บาท ทำให้ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนขายวอแรนต์ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มรายได้ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท แม้ว่าในครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 500 ล้านบาท แต่ภายในครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จาก 3 โครงการหลักคือเดอะล๊อฟท์เย็นอากาศอีกประมาณ 500-600 ล้านบาท โครงการเดอะไฮทส์ ภูเก็ตอีก 500-600 ล้านบาท และโครงการนอร์ทพอยท์ พัทยา อีกประมาณ 200-300 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเปิดขายโครงการ The Loft South Shore ที่พัทยาภายในปลายปีนี้ มูลค่าโครงการประมาณ 4.5 พันล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ดังกล่าวภายในปลายปี 2551 ถึงต้นปี 2552 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะการก่อสร้างว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไร
ทั้งนี้อย่าลืมอีกว่าการลงทุนในวอแรนต์ทุกตัวจะมีระยะเวลาในการแปลงสิทธิ์ และทุกครั้งที่จะแปลงสิทธิ์นักลงทุนต้องพิจารณาดูด้วยว่าราคาแปลงสิทธิ์ เมื่อบวกกับราคาวอแรนต์ มีราคาแพงกว่าหุ้นตัวแม่หรือไม่ เพราะหากแพงกว่าการลงทุนก็คงไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com