*แรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาประมาณ 2.90 พันล้านบาทในช่วง 2 วันที่ผ่านมา "โมนิก้า" ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะนับตั้งแต่ต้นเดือนมียอดซื้อสะสมถึง 1หมื่นล้านบาท จึงน่าจะเป็นเพียงการปรับพอร์ตลงทุนธรรมดา หลังจากซื้อหุ้นสะสมไว้เป็นจำนวนมากเจ้าค่ะ
*ยิ่งการเทขายครั้งนี้พุ่งเป้าไปยังหุ้นบลูชิพที่ปรับตัวขึ้นมามาก ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้นักลงทุนอย่างเราๆ ท่านๆ เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยยังตกอยู่ในภายอิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติเพราะเม็ดเงินนักลงทุนรายย่อยไม่สามารถประคองดัชนีให้ยืนเหนือแนวรับ 880 จุดได้เหมือนครั้งก่อนๆ

*เดี๊ยนถึงต้องการให้นักลงทุนใช้จังหวะนี้ปรับพอร์ตการลงทุนไปพร้อมๆ กับนักลงทุนต่างชาติ เพราะวันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ และสัปดาห์หน้ามีวันหยุดคั้นกลาง ส่งผลให้เม็ดเงินที่จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้นหดหายไปเป็นจำนวนมาก ดัชนีจึงมีโอกาสอ่อนตัวลงไปหาแนวรับ 850จุดค่อนข้างสูงนะจ๊ะ

*กลยุทธ์ดักรอซื้อของถูกจึงเป็นยุทธวิธีที่ต้องนำมาใช้อย่างเร่งด่วน แต่ต้องรอให้แรงเทขายสะเด็ดน้ำกว่านี้อีกสักหน่อย เดี๊ยนถึงจะกล้าแนะนำให้นักลงทุนกระโจนเข้าไปรับของถูก เพราะ ในวิกฤตย่อมมีโอกาส เจ้าค่ะ

*น่าเสียดายที่วิกฤติครั้งนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับคำถามค้างคาใจของนักลงทุนต่างชาติที่ว่าการเมืองจะไปในทิศทางใด สภาพเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นไหม และที่เจ็บแสบจนปวดร้าวไปถึงเต้านมก็คือ ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันกับเวียดนามระดับไหน...????

*"โมนิก้า" ถือเป็นคำถามที่แทงใจดำมากสุด เพราะไม่รู้จะตอบฝรั่งขี้นกเหล่านั้นอย่างไร เนื่องจากแค่มองเรื่องเศรษฐกิจแบบทุนนนิยม ก็ถูกเวียดนามไล่บี้ชนิดหายใจรดต้นคอกันแล้ว ส่วนความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยในอนาคต อีกไม่นานก็คงสู้เวียดนามไม่ได้เพราะเวียดนามเตรียมนำรัฐวิสาหกิจทั้งหมดเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นนะซี

*ร้ายไปกว่านั้นดันเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่าง กลต. กับ สมาคมผู้สอบบัญชี ซึ่งสาดโคลนกันไปมาอย่างสนุกมือ "โมนิก้า" ถึงเอือมระอาท่าทีของทั้ง 2 ฝ่ายเต็มกลืนเพราะแต่ละฝ่ายก้เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นกันทั้งนั้น...งานนี้ก็เลลยทำให้ทั้งสองฝ่ายสีเท่าพอๆ กันนะจะบอกให้

*พูดถึงเรื่องเนื้อหาสาระมากแล้ว เดี๊ยนขอวกกลับมาดูที่เรื่องหุ้นรายตัวกันบ้างก็แล้วกัน เพราะบ่าย 3 โมงครึ่งวานนี้ PTT โดนถล่มเทขายอย่างหนักจนราคาหุ้นร่วงลงไปถึง 10 บาท ก่อนจะมาปิดที่ 368 บาท น่าจะเกิดจากฝีมือนักลงทุนต่างชาติผสมโรงกับนักลงทุนสถาบันอย่างไม่ต้องสงสัย...งานนี้ต่อให้มีการปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 430 บาท เดี๊ยนก็ไม่แนะนำให้เข้าซื้ออยู่วันยันค่ำ เพราะต้องการรอให้แรงเทขายสะเด็ดน้ำก่อนนะซีตัวเอง

*สำหรับในรายของ PTTEP และ PTTCH ราคาหุ้นปรับตัวลดลงพอๆ กัน"โมนิก้า" เข้าใจว่าเป็นผลพวงจากสถานการณ์ตลาดหุ้นบีบบังคับ เพราะโดยพื้นฐานของหุ้นทั้งสองรายไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล แต่เผอิญมาเจอแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติราคาหุ้นก็เลยเป๋ไปนิดหน่อยเจ้าค่ะ

*ตรงกันข้ามกับในรายของ TMB พอดีลเพิ่มทุนไม่ล้ม และตัวธนาคารกำลังเดินหน้าไปหาอนาคตอันสดใส หลังคู่ขารายใหญ่พร้อมอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างเต็มที อะไรๆ ก้เลยดูดีไปหมด วานนี้ราคาหุ้นในกระดานถึงขยับขึ้นมาปิดที่ 2 บาท บวกไป 0.03 บาทถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีนะค่ะ

*ส่วนในรายของ LOXLEY ก็ต้องรับชะตากรรมอันเร็วร้ายไปเต็มๆ หลังอาหลองเกิดอาการใจปลาซิวขึ้นมากระทันหัน เรื่องที่คาดว่าจะเป็นเรื่องดีๆ ก็มีอันพังทลายลงในพริบตา ราคาหุ้นถึงร่วงลงมาปิดที่ 2.56 บาท ลบไป 0.22 บาท หรือลงไปถึง 7%คงกู่ไม่กลับแล้วหล่ะ

*สำหรับในรายของ S2Y "โมนิก้า" มองว่ามันไม่มีอะไรในก่อไผ่ตั้งแต่เริ่มแรกและที่ผ่านมาก็ไม่เคยเชื่อน้ำยาพวกฝรั่งขี้นกที่เข้ามาร่วมทุน การที่ราคาหุ้นร่วงหล่นจาก3.50 บาท ลงมาปิดยังที่ 1.66 บาท มองจากมุมไหน ด้านไหน มันก็ยังแพงอยู่วทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะตราบใดที่ยังไม่มีตัวเลขผลกำไรปรากฎให้เห็น...มันก็เป็นเพียงลมปากเหม็นๆ ของผู้บริหารที่พยายามสร้างภาพให้บริษัทดูดี

*เหมือนกับในรายของ TNDT "โมนิก้า" เข้าใจดีว่าพื้นฐานของหุ้นไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่การที่ราคาหุ้นวิ่งกุเร่ง กุเร่ง อย่างไม่มีเหตุผล และไม่สามารถอธิบายให้สาธารณชนรับรู้ว่า มีอะไรดีซ่อนไว้ ก็เลยทำให้ราคาปิดที่ 9.60 บาท บวกไป 0.60 บาทหรือขึ้นไปถึง 6% เพียงเกินไปเจ้าค่ะ...

*แรงสุดๆ ยามนี้ต้องยกให้ UEC หุ้นตลาดใหม่พิมพ์นิยมที่กระชากขึ้นมาปิดที่ 42 บาทบวกไป 2 บาท ซึ่งเป็นการทำราคาสูงสุดในรอบ 2 ปี(ขาดอีก 1 เดือนครบ)ของการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น "โมนิก้า" ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ เพราะสร้างสีสันให้กับตลาดใหม่ได้มากเลยทีเดียว

*สำหรับในรายของ UMS อาศัยข่าวดีเรื่องแจกวอแรนต์เป็นกำลังเสริมแบบนี้ไงหล่ะ ใครๆ ถึงเม้าท์กันให้แซ่ดว่า หุ้นต้องทะยานขึ้นไปถึงระดับ 40 บาทเหมือนกับที่มีการประเมินไว้ล้านเปอร์เซ็นต์ เดี๊ยนถึงอยากให้คุณๆ ไล่ซื้อหุ้นเอาส่วนต่างกำไรกันอีกยกนะจะบอกให้


:lol: