*"โมนิก้า" ถือว่าดัชนีวิ่งขึ้นมาบวกถึง 20.46 จุด ก่อนจะมาปิดที่ระดับ 915.03 จุดพร้อมกับทำจุดสูงสุดในรอบ 11 ปี จนสามารถพลิกแนวต้าน 900 จุดให้เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งได้อย่างลงตัวนั้น น่าจะเป็นผลมาจากความเชื่อที่ว่า ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนกลุ่มต่างๆ ถึงสลับหมุนเวียนเข้ามาซื้อหุ้นกันไม่หยุด

*นอกจากนี้ยังมองว่า การเทขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันเมื่อสัปดาห์ก่อนไม่ได้เป็นการเสียโอกาสในการลงทุน เพราะหน้าที่หลักของนักลงทุนก็คือ หาทางทำกำไรให้ได้ทุกวิธีทาง หลังเห็นกันอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่า ดัชนีต้องทดสอบแนวต้าน 900 จุดถึง 4 ครั้งถึงจะผ่านได้นะค่ะ

*โดย 3 ครั้งแรกนั้น ก็ยื้อกันตั้งนานกว่าจะฝ่าทะลุไปได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านดังกล่าวได้สำเร็จ ส่วนครั้งที่ 4 ทะยานขึ้นพรวดเดียวมาปิดไกลถึงระดับ 910จุด ก็เลยทำให้บรรยากาศรอบด้านตลาดหุ้นสุกสกาวสดใสเป็นอย่างมาก จนหุ้นหลายๆ ตัวเริ่มขยับขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิมแล้วนะจ๊ะ

*สำหรับบรรยากาศการซื้อขาย Options ซึ่งเป็นสินค้าตัวที่ 2 ของตลาดอนุพันธ์ต่อจาก Futures ก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีจากนักลงทุน จนจำนวนปริมาณที่ซื้อขายวันแรกมีมากถึง 304 สัญญา ทำลายสถิติ 161 สัญญาเมื่อครั้งเปิดเทรด "ฟิวเจอร์" เป็นครั้งแรกอย่างราบคาบ "โมนิก้า" จึงขออวยพรให้สินค้าตัวใหม่ประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปนะค่ะ

*เนื่องจากเดี๊ยนไม่ต้องการเห็นภาพเหตุการณ์แห้งเหี่ยวเป็นแตงเถาตายเหมือนกับที่โบรกเกอร์บางแห่งพูดว่า "จริงๆ คนนิยมเล่นฟิวเจอร์มากกว่าออปชั่น เพราะเป็นอะไรที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ในอนาคตคงไม่มีใครสนใจออปชั่น" ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถ เจ๊เกศรา มัญชุศรี มากเหลือเกิน

*ขนาดฟิวเจอร์เข็นแล้วเข็นอีกยังทำได้แค่ 4,500 สัญญาต่อวัน แต่เมื่อคิดคราวๆทั้งปี 2550 มีปริมาณการซื้อขายสินค้าดังกล่าวประมาณ 1 ล้านสัญญาต่อวัน หรือมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 5 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย "โมนิก้า" ถึงไม่เชื่อว่าOptions จะเป็นแค่ไฟไหม้ฟางเหมือนกับที่โบรกเกอร์บางแห่งพูดนะซี

*วกกลับมาดูรายตัวให้สบายอารมณ์กันบ้างดีกว่า เพราะพระเอกของวันที่เป็นตัวดันดัชนีทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงล้วนมาจากหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นในเครือ ปตท.แต่ละตัวจัดจ้าน และร้อนแรงสุดๆ "โมนิก้า" ถึงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากหุ้นตัวไหนดีเป็นอันดับแรก เพราะแต่ละตัวมีดีซ่อนไว้กันทั้งนั้น

*ถ้ามองในแง่ของหุ้นที่มีผลต่อดัชนีมากสุด เดี๊ยนคงเริ่มต้นจากพานทองแท้ PTT ก่อนใครเพื่อน เพราะเป็นหุ้นที่คุ้นเคยกันดีในลักษณะ วัวเคยขาม้าเคยขี่ จึงพอรู้ว่าหุ้นจะเด้งรับจังหวะไหนอย่างถึงแก่น และการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดถึงระดับ 440 บาท บวกไป 32บาท หรือขึ้นไปถึง 7% ถือว่าน้อยเกินไปสำหรับช่วงที่มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

*อนิสงส์ดังกล่าวยังทำให้หุ้นลูกๆ อย่าง PTTEP PTTCH และ TOP รับประโยชน์เต็มๆ จากสถานการณ์ดังกล่าวอีกด้วย เพราะแต่ละตัวเป็นธุรกิจที่ทำกำไรป้อนกลับคืนสู่บริษัทแม่กันทั้งนั้น...โดยเฉพาะรายหลังสุดที่ทำโรงกลั่นน้ำมัน รับผลดีจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเต็มๆ แถมได้แรงเชียร์จากโบรกเกอร์มีแก๊ปราคาหุ้นให้หุ้นวิ่งบานตะไท ราคาหุ้นถึงกระชากขึ้นมาปิดที่ 98 บาท บวกไป 6 บาทอย่างง่ายดาย

*ส่วนหุ้นถ่านหินยอดนิยม BANPU อาศัยว่า ข้ามาคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ราคาหุ้นถึงบวกแบบไม่แยแสใครหน้าไหนทั้งสิ้น ยิ่งมีคนคอยดูแลราคาหุ้นไม่ให้ปรับตัวลงแรงด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าราคาหุ้นจะอ่อนตัวฮวบฮาบ เพราะรอบที่แล้วนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นโครมๆ หุ้นก็ยังรักษาฐานได้อย่างเหนี่ยวแน่น...งานนี้จึงขึ้นอยู่กับตัวนักลงทุนจะกล้าเสี่ยงไหม หลังมาปิดที่ 460 บาท บวกไป 36 บาท มันสูงจนน่ากลัวนะซี

*ผิดกับในรายของ UMS ขนาดหมดสตอรีเรื่องแจกวอแรนต์ฟรีเป็นที่เรียบร้อย แต่นักลงทุนกลับไม่หมดใจตามไปด้วยแฮะ! วานนี้หุ้นถึงขึ้นมาเสนอหน้าในกระดาน MostActive ได้อีกครั้ง โดยกระชากขึ้นมาปิดถึงที่ 36.50 บาท บวกไป 4.50 บาท หรือขึ้นไปถึง 14% เชียวน่า...งานนี้จึงขึ้นอยู่กับวิจารณาญาณส่วนบุคคลพะยะค่ะ

*สำหรับหุ้นไฟฟ้า RATCH กำลังจะได้รับผลดีจากงานประมูลโรงไฟฟ้าอยู่แล้วเชียวจู่ๆ ก็มีมือดีปล่อยข่าวเรื่องคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด ร้อนถึงคุณพี่ณรงค์ ต้องออกมาแจงข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพราะไม่ต้องการให้แผนเตะสกัดดาวรุ่งประสบผลสำเร็จราคาหุ้นก็เลยหายตื่นตกใจก่อนจะมาปิดที่ 50.50 บาท ลบไปเพียง 0.50 บาทเท่านั้น...หากต้องการให้ชัวร์ๆ ว่าเข้าสเป็กหรือไม่ คงอยู่ที่คนเปิดซองแล้วหล่ะ

*ส่วนไฮไลท์ของหุ้นกลุ่มแบงก์ยังอยู่ที่ SCB และ KBANK เพราะราคาหุ้นไล่บี้กันมาอย่างกระชันชิดตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้ก็เลยมองเห็นความแตกต่างของทั้ง 2รายอย่างชัดเจน...โดยเฉพาะแก๊ปราคาของแบงก์ตราใบโพธิ์ทิ้งห่างแบงก์เคฮีโร่ถึง 2สเต็ป หรือประมาณ 1 บาทแบบนี้ สงสัยโอกาสที่รายหลังจะตีตื้นจนพลิกกลับมาแซงคงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วหล่ะ

*ตบท้ายกันที่หุ้นเจ้าจำปี THAI จู่ๆ ราคาหุ้นก็ร่วงหล่นสวนกระแสขาขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ โดยล่าสุดวานนี้ทำราคาต่ำสุดในรอบเกือบ 10 เดือนที่ระดับ 39.50 บาทลบไป 1.25 บาท แบบนี้ "โมนิก้า" ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้ นอกเสียจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาไม่ดีแน่นอน


:lol:

* บทจะฝ่าได้ก็ง่ายราวงปอกกล้วยเข้าปาก เพราะเปิดตลาดมาวันจันทร์ กองทุนต่างประเทศก็ดันดัชนีพุ่งพรวด 15 จุดตั้งแต่นาทีแรกแล้ว ปตท.บ้านปู ตัวการใหญ่ดันดัชนี ก็ยังคงวิ่งแรง ไม่รู้จักพักเหนื่อยเสียที

* ดาวเขียวไม่เคยเอ่ยปากอ้อนวอนขอใครง่ายๆ แต่เที่ยวนี้คงต้องเว้าวอนขอ"เฮียเสริฐ"ให้พิจารณาเรื่องการ"แตกพาร์"อย่างจริงจังเสียที เพราะราคาหุ้นPTTแพงขนาดนี้ คนไทยได้แต่น้ำลายสอปาก ดูฝรั่งรวยเอาๆเท่านั้น วาน"เจ๊หนุ่ย"ช่วยโน้มน้าวเฮียให้ใจอ่อนอีกแรงหนึ่งด้วยเถอะ

* อะหา! อะไรมันจะอะร้าอะร่ามปานฉะนี้ หุ้นUMSของคุณน้องชัยวัฒน์ เครือชะเอม ราคาสะดุ้งวันขึ้นXWที่หล่นไป 6.25 บาทได้แค่วันเดียว ราคาพุ่งกลับมา 4.50.บาททันควัน วิ่งเข้าหาราคาเดิมก่อนขึ้นเครื่องหมายอีกแล้ว หุ้นตัวนี้แฟนตรึม วอร์แรนต์ออกมา ก็คงได้เล่นกันสนุกสนานอีกเป็นแน่ บริษัทยิ่งมีอนาคตจะได้เงินเพิ่มทุนจากการแปลงวอร์แรนต์ 8.50 บาทชัวร์

* เห็นตลาดหุ้นพุ่งแรงด้วยเงินทุนทะลักหนีตายมาจากตลาดสหรัฐฯอย่างนี้ ทำให้หุ้นพลังงาน-ปิโตรเคมีหลายตัว เริ่มจะฝ่าแนวต้านอาถรรพณ์ของตัวเองออกไปได้แล้วTOPฝ่าแนวต้าน 95 บาทออกไปได้ RRCก็ตีแนวต้าน 25 บาทกระเจิงไปแล้ว ส่วนATCยังฝ่าแนวต้าน 75 บาทไม่สำเร็จ ซึ่งก็รวมทั้งIRPCกับอาถรรพณ์หมายเลข7 ยิ่งฝ่ายากเข้าไปใหญ่จากผลคดีที่ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หลุดข้อกล่าวหาเช่าตึก 99 ปี

* ไม่แข่งก็เหมือนแข่ง หุ้นSCBกับKBANK นัวเนียไปไหนไปกันมาตลอด แต่หลังจากที่SCBของเจ๊กรรณิการ์ ชวลิตอาภรณ์ โชว์ฟอร์มกำไรไตรมาส3นำโด่งเหนือแบงก์ใด ราคาหุ้นKBANKที่นำหน้าSCBหลายช่วงตัว ก็ชักจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว วันนี้แบงก์ใบโพธิ์นำหน้ารวงข้าวอยู่ 1 บาท แต่อนาคตอันใกล้คงจะได้เห็นราคาหุ้นชน 100 บาททั้งคู่

* นึกไม่ถึงประมวล รุจนเสรี ร่อนหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์ 6,000 ฉบับ ขอบริจาคเงินปันผลมาบำรุงพรรคประชามติ ป่านนี้ประธานตลาดฯ ปกรณ์ มาลากุล และภัทรียา เบญจพลชัย คงจะงงเป็นไก่ตาแตกว่า ความเข้าใจของนักการเมืองท่านนี้ เห็นตลาดหุ้นเป็นอย่างไร น่าเวทนานักการเมืองท่านนี้เป็นที่สุด

* เพิ่งจะรู้สึกตัว อัมมาร สยามวาลา รักษาการประธานทีดีอาร์ไอ ชี้รัฐบาลผสมหลังเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ และเชื่องช้าในการทำงาน ขอให้ประชาชนอย่าคาดหวังอะไรรัฐบาลใหม่มากนัก เอกชนต้องพี่งตนเอง เศร้า!

* หุ้นไทยที่ทะยานปิดได้ 915 จุดวันนี้ นักลงทุนไทย อาจจะไม่ได้เชยชมอะไรมาก เพราะหุ้นไม่ได้ปูพรมขึ้นทุกกลุ่ม แต่กระจุกตัวเฉพาะหุ้นพลังงานบางตัว ที่ราคาแพงเอาๆเท่านั้น วันนี้อาจจะต้องโรยตัวลงมาบ้าง เพราะขึ้นด้วยกระแสฟันด์-โฟลว์ล้วนๆ ไม่ได้อิงกับปัจจัยพื้นฐานอะไรเลย


:lol: