May 4, 2024   6:09:52 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ระวังหุ้นดีน้อยใจบินหนีไปนอก
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 31/10/2007 @ 06:13:18
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วงการเตือน ตลท.อย่าหลงดีใจกับการเติบโตของมาร์เก็ตแคป และดัชนีฯที่ยืนเหนือ 900 จุด อย่างแข็งแกร่งในช่วงนี้ ชี้เป็นเพราะได้หุ้นในครอบครัว ปตท.หนุน ดังนั้นจึงเป็นแค่การเติบโตแบบภาพลวงตา เพราะหุ้นพื้นฐานดีตัวอื่นถูกเมินไม่ได้เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนหัวกับหางโตแบบไม่สมดุล หวั่นหุ้นพื้นฐานดีอื่นๆ ที่ไม่ได้รับความสนใจเหมือนหุ้นหลักในกลุ่มน้ำมัน-แบงก์ที่เป็นขวัญใจนักลงทุนตลอดกาลถูกชักจูงถอนยวงไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ เหตุเทรนด์ การแข่งขันระหว่างตลาดหุ้นในภูมิภาคเริ่มส่อเค้ารุนแรงขึ้น หลังตลาดเปิดใหม่เกิดต่อเนื่อง แต่ขาดสินค้ามีคุณภาพมาดึงดูดลูกค้า แถมรัฐยังไฟเขียวทุนไทยลงทุนนอกเพิ่ม เตือนตลาดหุ้นไทยจะไม่เหลือของดีไว้เชิดชูหน้าตาหากบริหารจัดการไม่ดี

การปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของดัชนีตลาดหลักทรัพย์จนสามารถทะลุ 900 จุดได้ภายในเวลาอย่างรวดเร็ว และหนุนให้มาร์เก็ตแคปของตลาดหลักทรัพย์เติบโตไปในทิศทางเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา ด้วยอานิสงส์จากแรงดันของหุ้นในครอบครัว บมจ.ปตท.หรือ PTT ทั้ง ทั้ง PTTEP-PTTCH-TOP และหุ้นหลักในกลุ่มพลังงานอื่นๆ เช่น BANPU ทำให้หลายคนมองว่า สิ่งดีๆ ในสายตาของตลาดหลักทรัพย์ ที่เกิดขึ้นนี้เปรียบเสมือนภาพลวงตา เพราะมาร์เก็ตแคปโตแต่หัว เหมือนหัวปลาดุกที่เติบโตทุกวัน ขณะที่ลำตัวตลอดหางที่เหมือนหุ้นที่เหลืออีกกว่า 400 ตัวในตลาดฯ เป็นเพียงไม้ประดับของตลาดหุ้นไทยที่ไม่ได้โตตามไปพร้อมๆ กับหัว โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเป็นชนหมู่มาก ราคากบดานนิ่ง วอลุ่มการซื้อขายแห้งเหี่ยว ไม่ได้เจริญเติบโตไปอย่างที่ควรจะเป็น

การแผลงฤทธิ์ดันดัชนีฯของหุ้นไอ้ปลาดุกในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะช่วยให้ดัชนีฯและมาร์เก็ตแคปปรับเพิ่มได้อย่างทันอกทันใจ แต่ในทางกลับกันการเติบโตของดัชนีฯในลักษณะดังกล่าว กลับสร้างความปั่นป่วนให้กับกองทุน และนักลงทุนที่มุ่งลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงหลังๆ นี้ หุ้นพื้นฐานดีและผลประกอบการเด่นที่เคยเป็นขวัญใจของกองทุนหลายตัว เริ่มขาดสภาพคล่อง เพราะการซื้อขายไปกระจุกอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI หรือแม้กระทั่ง บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART รวมทั้งหุ้นอื่นๆ ที่เป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการยอดเยี่ยม ปันผลสวย ก็แทบจะถูกลืมไปจากใจของกองทุนและนักลงทุนรายใหญ่หลายราย เพราะความเคลื่อนไหวของหุ้นบิ๊กแคปในครอบครัว PTT เคลื่อนไหวได้เร้าใจกว่า และสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำมากกว่า จึงถือเป็นการทำร้ายหุ้นอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือครอบครัว PTT โดยตรง

ในขณะที่ในทางกลับกัน เมื่อหุ้นขนาดใหญ่ถูกเทขายทำกำไร และฉุดให้ดัชนีฯลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยความเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลางถึงเล็กที่ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก แต่ราคาก็ถูกกระทบจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ราคาปรับลดลงไปในทางเดียวกันไปด้วย จึงทำให้รู้สึกเหมือนได้รับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งล่อง หมายความว่าเวลาดัชนีฯปรับขึ้นราคาหุ้นก็ไม่ได้วิ่งตามไปด้วย แต่ในช่วงที่ดัชนีฯปรับลดลงก็ลงไปในทิศทางเดียวกับดัชนีฯ

ประการสำคัญ หุ้นตัวไหนที่ราคาพุ่งขึ้นโดดเด่น โดยมองว่าปัจจัยพื้นฐานไม่สนับสนุนเหมือนหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT หรือ การซื้อขายกระจุกตัวอยู่ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว (ยกเว้น PTT ที่ทำได้ไม่เป็นไร) ก็อาจจะถูกเพ่งเล็งจากทางการ และอาจจมีมาตรการใดมาตรการหนึ่งออกมาสะกัดความร้อนแรงของราคาหุ้นได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำให้นักลงทุนหลายกลุ่มเบื่อหน่ายกับการบริหารจัดการของภาครัฐที่อ้างเพื่อความปลอดภัยของนักลงทุนมาเป็นที่ทั้ง ซึ่งการออกคำสั่งลงโทษหุ้นหลายตัวถูกมองว่ามีมาตรฐานต่างกัน และแม้เรื่องดังกล่าวจะไม่มีใครสามารถออกมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า มุมมองของใครถูกต้องกันแน่ แต่ก็ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเลิกลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็ก หรือ หุ้นที่เข้าข่ายเก็งกำไรไปเลย เพราะรู้สึกเหมือนกับไม่มีความปลอดภัยในชีวิต ก็ยิ่งทำให้หุ้นที่เป็นชนหมู่มากของตลาดฯที่ซบเซาอยู่แล้วก๋ซบเซาและไร้การเหลียวแลจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น

สิ่งเหล่านี้แม้ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองไม่เห็นว่าจะเป็นผลเสียต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อย่างไร เพราะเป็นเพียนงหุ้นขนาดกลาง-เล็กเท่านั้น ขณะที่หุ้นค้ำยันตลาดฯจริงๆ ยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งตลาดฯให้ความสำคัญและเชื่อว่าจะไม่หนีไปจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่ในระยะหลังนี้ สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว การแข่งขันระหว่างตลาดหุ้นด้วยกันทั่วโลกเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน เพราะปัจจุบันนอกจากการแข่งขันจะเกิดขึ้นเองในตลาดหุ้นเดิมที่เปิดอยู่แล้ว แต่ยังมีตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่มีความร้อนแรง สามารถดึงดูดนักลงทุนได้แบบไม่มีใครต้องการปฏิเสธอีกด้วย ไม่ว่าจะด้วยผลตอบแทนที่งดงาม หรือ ความสะดวกในการลงทุนก็ตาม

ที่สำคัญตลาดหุ้นเกิดใหม่เหล่านี้ และกำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ในอีกหลายตลาด หรือตลาดหุ้นในประเทศที่เศรษฐกิจของประเทศเริ่มร้อนแรงขึ้น อาทิ จีน เวียดนาม อินเดีย รวมทั้งลาว กัมพูชา ที่กำลังจะเปิดตลาดหุ้นเป็นของตัวเองเหล่านี้ กำลังจะกลายเป็นแกรงกดดันให้ตลาดหุ้นเดิมต้องปรับตัวเพื่อสู้กับความสดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากหลายตลาดยังขาดสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาดึงดูดนักลงทุน จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีมาตรการใดๆ ออกมาเพื่อดึงดูสินค้าที่มีคุณภาพจากตลาดหุ้นอื่นไปสร้างสีสันและสร้างแรงดึงดูดให้กับตลาดหุ้นตัวเอง

ส่งผลให้หลายตลาดเริ่มปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันนี้ ที่เห็นชัดๆ ในช่วงนี้ก็คือ ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในหลายประเทศเริ่มปรับตัวเพิ่มการเชื่อมโยงระหว่างกันให้เป็นไปอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จะเห็นได้จากตลาดหุ้นคัญทั่วโลกเริ่มขยายบทบาทตัวเอง เชื่อมโยงกันเองในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เพื่อดึงดูนักลงทุนและสินค้าที่มีคุณภาพให้อยู่กับตลาดหุ้นของตัวเองต่อไป ที่เห็นได้ชัดก็คือ ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโตเกียว และตลาดหุ้นลอนดอน ยังมีแผนที่จะซื้อขายหุ้นข้ามตลาดระหว่างกันโดยที่นักลงทุนไม่ต้องอยู่ในตลาดนั้นๆ เหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง

สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา แม้ว่าจะพยายามเพิ่มสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น ผ่อนคลายกฎเหล็กหลายประการเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ แต่ก็ถูกมองว่า การบริหารจัดการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐหลายอย่างยังเป็นปัญหาต่อการลงทุน โดยเฉพาะทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมองว่ามีการใช้มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันมากำกับดูแลความเเคลื่อนไหวของหุ้นในกระดาน และประการสำคัญหน่วยงานเหล่านี้ยังทำให้หุ้นในตลาดของส่วนใหญ่ของไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างทั่วถึงไม่ได้ เพราะปัจจันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากกลุ่มกองทุน หรือนักลงทุนต่างชาติยังกระจุกอยู่เพียงหุ้นไม่กี่ตัวเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหานี้ได้

- วงการหวั่นปัญหา โตแต่หัวอาจทำให้หุ้นพื้นฐานเจ๋งถอนยวงหนีตลาดหุ้นไทย
แหล่งข่าวในวงการหลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า หากตลาดหุ้นไทยปล่อยให้ตลาดหุ้นเป็นเหมือนปลาดุกโตแต่หัวอยู่แบบนี้ อาจมีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตอาจมีผู้จุดพลุ ดึงสินค้าที่มีคุณภาพแต่ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มองว่ามีศักยภาพ และให้ผลประโยชน์มากกว่า เพราะปัจจุบันบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ถือว่าเปิดเผยข้อมูลได้เหมือนกันเกือบทั้งหมด จะจดทะเบียนในตลาดไหนก็ไม่แปลก และหากมีตลาดที่สร้างประโยชน์ที่มากกว่าได้มาให้เลือก ทั้งผลตอบแทนและการบริหารจัดการที่ดี ก็คงจะเลือกจดทะเบียนในตลาดนั้นทันที ซึ่งนี่ก็เป็นอีกความเสี่ยงหนึ่งของตลาดหุ้นไทยหากไม่สามารถใช้ระบบบริหารจัดการที่ชาญฉลาดมาใช้ดึงดูดบริษัทจดทะเบียนที่เป็นสมาชิกของตัวเองไว้ได้ เพราะอย่าว่าแต่จะดึงดูดสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพให้เข้ามาจดทะเบียนใหม่ได้ หรือดึงดูดนักลงทุนกลุ่มที่มีคุณภาพให้เข้ามาลงทุนได้ ในทางกลับกันก็อาจจะสูญเสียทั้งสินค้าคุณภาพที่ตัวเองเคยมีให้กับตลาดอื่นไปด้วยก็เป็นไปได้

ในขณะเดียวกันนโยบายที่รัฐบาลไทยส่งเสริมให้กองทุนสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้คล่องตัวเพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกัน เพราะอนาคตต่างชาติเริ่มมองเห็นว่าตลาดไทยไม่น่าสนใจอีกต่อไป เม็ดเงินที่ไหนเข้ามาในตลาดก็อาจจะไหลไปตลาดอื่นๆ รวมทั้งเม็ดเงินที่เป็นของไทยก็อาจมุ่งไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนกว่าได้ ซึ่งจะปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการเปิดกว้างให้ไปลงทุนในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว

- ก.ล.ต.จะเร่งบลจ.ออก FIF,เล็งออกเกณฑ์ให้ขายภายใน 60 วันหลังอนุมัติ
วานนี้นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เผยว่าภายในปีนี้จะออกเกณฑ์ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ที่ได้รับอนุมัติจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนต่างประเทศ(FIF)เสนอขายหน่วยลงทุนภายใน 60 วัน นับจากวันที่ได้รับการอนุมัติ หวังเร่งบลจ.ออกขาย FIF

"คาดว่าภายในปีนี้ น่าจะสามารถออกเกณฑ์นี้มาใช้ได้ ซึ่งก.ล.ต.เชื่อว่าจะช่วยให้ตัวเลขการลงทุนจริงสูงกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาหลายบลจ.ที่ได้รับอนุมัติไป ก็ยังไม่เสนอขายหน่วยลงทุน"

เขากล่าวถึงเหตุผลในการออกเกณฑ์ดังกล่าว เพราะพบว่าที่ผ่านมามีหลายบลจ.ที่ยังไม่เสนอขายหน่วยลงทุนทั้งที่ได้รับอนุมัติจากก.ล.ต.มานานแล้วและเพื่อเป็นการเร่งให้สามารถใช้เกณฑ์ดังกล่าวได้ในปีนี้ ก.ล.ต.ได้เรียกบลจ.ประมาณ 4-5 แห่งมาขอความคิดเห็นแล้ว

เขากล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีกองทุน FIFที่ได้รับอนุมัติจากก.ล.ต.ให้ออกกองทุนแต่ยังไม่ได้เสนอขายหน่วยลงทุน คิดเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบลจ.ที่ได้รับอนุมัติต้องการรอขายหน่วยลงทุนในภาวะที่เหมาะสม หรืออาจจะอยู่ระหว่างการวางแผนทางการตลาด

แต่เขาเชื่อว่า ระยะเวลา 60 วันที่กำหนดให้บลจ.เสนอขายหน่วยลงทุนนับจากวันที่ได้รับการอนุมัติ จะเพียงพอต่อการดำเนินการทางการตลาดและการวางแผนอื่นๆของบลจ.แล้ว

สำหรับภาพรวมของกองทุน FIF ในปีนี้นั้น นายประเวชมองว่า เริ่มมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีมูลค่ากองทุนปัจจุบันอยู่ที่ 2.7พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 9.18 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ซึ่งที่ระดับ 900ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งขณะนี้ยังมีกองทุน FIFที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากก.ล.ต.อีกเป็นมูลค่า1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เขาประเมินว่า หลังรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากมาบังคับใช้แล้ว จะยิ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้กองทุนทั้งเอฟไอเอฟและกองทุนอื่นๆได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะถือเป็นช่องทางที่น่าสนใจในการกระจายการลงทุนนอกจากการฝากเงิน

- ฟิลลิปออกเอฟไอเอฟพันล.
ก่อนหน้านี้ นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ฟิลลิป จำกัดกล่าวว่าบริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนเปิด ฟิลลิป เอเชีย แปซิฟิค (PAP:Phillip Asia Pacific Fund) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนต่างประเทศ(เอฟไอเอฟ)มูลค่ากองทุน1พันล้านบาท มีนโยบายลงทุนใน Phillip Asia Pacific Growth Fund
เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุน และตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ในระยะกลางถึงระยะยาว ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่นสิงคโปร์ จีน อินเดีย มาเลเซีย เป็นต้น เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก(ไอพีโอ)ระหว่างวันที่ 16-31 ตุลาคม 2550

ทั้งนี้คาดว่าจะระดมทุนจากการขายกองทุนดังกล่าวประมาณ 350 ล้านบาทจะช่วยผลักดันให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 500 ล้านบาท ในสิ้นปี หลังจากในช่วงที่ผ่านมาที่บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง(ซับไพร์ม โลน)ให้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ทำให้ที่ผ่านมานักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจแก่กองทุนมากนัก กระทบต่อยอดขายจนมีเอยูเอ็มรวมเพียง 70 ล้านบาท

- ทิสโก้โหนกระแสเอฟไอเอฟ ลุยลงทุนตลาดหุ้นจีน-อินเดีย
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้เสนอขาย ?กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์?ให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไอพีโอ)ในวันที่ 1-12 ตุลาคมนี้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนและอินเดีย สองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง

สำหรับเหตุผลที่เลือกลงทุนทั้งในตลาดหุ้นจีนและอินเดีย เพราะทั้งสองประเทศเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) สูงอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย 9% ต่อปี ขณะที่อินเดียมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย 8% ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าจีนและอินเดียจะมีขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 7 ของโลกตามลำดับ ภายในปี 2020 ซึ่งปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การบริโภคภายในประเทศและการลงทุน จึงมีความเชื่อมั่นว่าการเติบโตของทั้งจีนและอินเดียเองยังมีช่องทางการขยายตัวได้อีกมากในอนาคต

ทั้งนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ในต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งหรือประกอบธุรกิจในประเทศจีนและประเทศอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตและมีโอกาสในการทำกำไรในอนาคต โดยบริษัทจัดการพิจารณาจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสะสมหรือกำไรสุทธิในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผล

?กองทุนดังกล่าว เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในต่างประเทศ และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้นด้วยการกระจายการลงทุนในสองประเทศยักษ์ใหญ่ (จีนและอินเดีย) ที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกและมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดย กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ เป็นกองทุนที่มีสภาพคล่อง เพราะผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ โดยในกรณีขายคืนหน่วยลงทุน ต้องแจ้งล่วงหน้า 1 วันทำการ และผู้ลงทุนยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลที่งอกเงยระหว่างการลงทุนอีกด้วย? นายธีรนาถ กล่าว

ด้านนายพิชา รัตนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน-ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในสองประเทศดังกล่าวถือว่ามีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ดังนั้นกองทุนที่เปิดใหม่นี้จึงจะเข้าไปลงทุนในทั้งสองประเทศ โดยจะลงทุนผ่านกองทุนรวมในต่างประเทศที่มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศจีนและอินเดียที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีโอกาสในการทำกำไรในอนาคต โดยจะลงทุนในจีนและอินเดียในสัดส่วน 50 ต่อ 50

- บลจ.นครหลวงไทยลุยเอฟไอเอฟต้นปีหน้า เน้นเข้าลงทุนในกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ
นางสาวอัจฉรา สุทธาศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)นครหลวงไทย กล่าววว่า ในช่วงไตรมาสที่1 ปี2551 บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวกองทุนเพื่อการลงทุนต่างประเทศ(เอฟไอเอฟ) ที่ลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ อเมริกาใต้ แคนาดา รัสเซีย เช่น ทอง น้ำมัน ทองแดง เหล็ก ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความจำเป็นต่อประเทศจีน และอินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับสูงถึง 7-8%ต่อปี
ช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา การลงทุนในลักษณะดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนได้มากกว่า 20% ต่อปี ดังนั้นหากบริษัทได้ออกกองทุนจึงน่าจะมีผลตอบแทนที่อ้างอิงตามราคาตลาดในขณะนั้น โดยกองทุนนี้จะมีขนาดกองทุนประมาณ 500-1 พันล้านบาท

ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เออร์บานา สาธร นั้นคาดว่าจะออกในช่วงปีหน้า แต่ยังไม่สามารถระบุเวลาได้ว่าจะออกในช่วงใด เพราะจะต้องรอให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการกันเงินทุนสำรอง30% ที่เป็นอุปสรรคของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่จะเข้ามาลงทุน เนื่องจากกองทุนนี้มีขนาดใหญ่มูลค่าเกินกว่า 1พันล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร(เอ็นเอวี)ประมาณ 3.25 หมื่นล้านบาท จากช่วงต้นปีที่มีเอ็นเอวี 2.8 หมื่นล้านบาทคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 4 หมื่นล้านบาทได้ หลังจากมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า1 ล้านคนของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมาช่วยสำหรับภาพรวมของการลงทุนในต่างประเทศนั้น มองว่าเหมาะสมกับภาวะปัจจุบัน ซึ่งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขามาก นักลงทุนน่าจะอาศัยจังหวะ เข้าลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนในต่างประเทศ ที่น่าจะให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่า และอาจมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนภายในประเทศเพียงอย่างเดียว

- บลจ.ทหารไทย ตั้งเอฟไอเอฟ 1,500 ล้านบาทลุยจีน
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะเปิดขายกองทุนเปิดทหารไทย ไชน่า อิควิตี้ อินเด็กซ์ (TMB China Equity Index Fund) มูลค่ากองทุน 1,500 ล้านบาท ในราคาหน่วยลงทุนละ 10 บาท สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 2,000 บาท ระหว่างวันที่ 20-27 กันยายนศกนี้ โดยมีนโยบายลงทุน 80 % ในกองทุนรวมต่างประเทศ iShares FTSE/Xinhua A50 China Tracker ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดฮ่องกงมีมูลค่าประมาณ 68,000 ล้านบาท โดยกองทุนมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างผลตอบแทนให้เท่ากับดัชนี FTSE/Xinhua A50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นบริษัทเอกชนของจีนประเภท A Shares จำนวน 50 ตัวที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น

ทั้งนี้ กองทุน iShares FTSE/Xinhua A50 China Tracker จัดตั้งและบริหารโดย Barclays Global Investors North Asia Limited และมี HSBC Institutional Trust Services (Asia) Limited เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์และนายทะเบียน และเน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี FTSE/Xinhua China A50 โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากองทุนดังกล่าวได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 463.07%
?โดยปกติการลงทุนในหุ้นประเภท A Shares นั้นผู้ที่จะเข้าลงทุนได้จะต้องเป็นนักลงทุนชาวจีนเท่านั้น หรืออาจเป็นนักลงทุนสถาบันที่มีคุณสมบัติตามที่ทางการจีนกำหนด โดยบลจ.ทหารไทยถือเป็นนักลงทุนสถาบันจากประเทศไทยรายแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด A Shares ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ถือหน่วยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปยังต่างประเทศ ?นางโชติกากล่าว

พร้อมให้ความเห็นว่า ถึงแม้ตลาดหุ้นจีนจะจัดอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และมีความผันผวนสูง แต่เมื่อดูแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีนในปีนี้ที่มีอัตราสูงกว่า 10 % ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนสามารถเติบโตในระดับที่ดีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ หลายฝ่ายยังมองว่าการขยายตัวด้านการก่อสร้างของเมืองไปยังฝั่งตะวันตก และการลงทุนเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปีหน้า ยังจะส่งผลดีต่อดัชนีตลาดหุ้นจีนให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย

การเร่งปรับเปลี่ยนการลงทุนของนักลงทุนทั้งของไทยและของต่างประเทศ โดยเฉพาะการเบนเป้าไปยังตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง ถือเป็นความเสี่ยงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย หากไม่มีการปรับตัวรับมือให้ทันกับการแข่งขันที่รุนแรงอย่างทันท่วงที และหากยังหลงไหลได้ปลื้มกับการเติบโตแต่ส่วนหัวแบบไอ้ปลาดุกอยู่อย่างนี้ ก็จะยิ่งอันตรายเหมือนกับคนที่หลงตัวเองโดยไม่รู้ว่าอันตรายจะคืบคลานมาถึงในไม่ช้านี้ จึงทำให้ไม่มีการป้องกันตัวเองที่ดี ถ้าเปรียบตลาดฯเหมือนคนประเภทนี้ สุดท้ายแล้วเงาหัวก็อาจจะไม่มีในที่สุด!



:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com