May 4, 2024   4:23:23 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สังคมหุ้นและสัญญาณหุ้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 31/10/2007 @ 16:07:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

******ปิดบวกไปได้เมื่อวันจันทร์ ดัชนีหลักทรัพย์วานนี้ก็รูดมาปิดที่ระดับ 906.66 ลบ 8.37 จุด หรือ -0.91 % แล้ว แต่มูลค่าการซื้อขายยังคงหนาแน่น
29,245 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,172.04 ล้านบาท

****ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุดสงครามตุรกี-อิรักก็ใกล้ปะทุ เศรษฐกิจไทยที่ทำท่าว่าจะฟื้นก็อาจจะฟุบแทน ถ้าราคาน้ำมันยังสูงขึ้นต่อเนื่องอย่างนี้ ส่วนตลาดหุ้นไทยยังลูกผีลูกคน นักค้าเงินเริ่มเป็นงงว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมานั้น เป็นเพราะเงินไหลเข้ามาตลาดหุ้น หรือ เป็นเพราะผู้ส่งออกเข้ามาขายดอลลาร์ หลังจากหุ้นบ้านเราเริ่มปรับตัวลดลง

*****ที่มองกันไว้ 1000 จุด ก็คงต้องรอไปก่อน เผลอๆอาจจะกลับไป 800 จุดก็ได้ ใครใจไม่แข็งพอบอกได้เลยช่วงนี้ ขอให้พักไว้ก่อนรอรัฐบาลใหม่มา หน้าตาจะเป็นอย่างไร ถ้าเห็นท่าไม่ดีจะได้ไม่ถลำลึกลงไป เพราะรอบนี้ขึ้นลงหน้ากลัวจริง บางวันช่วงเช้าขึ้นไปถึง 20 กว่าจุด แต่พอใกล้ปิดตลาดกลับปิดเหลือแค่1 จุด ใครซื้อเช้าก็ติดยอดดอยไปแล้ว

*****หุ้นตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ปตท. และลูกๆ ก็มีสิทธิขึ้นๆลงๆได้ เหมือนกับหุ้นตัวเล็กๆ เพราะแรงเก็งกำไรของต่างชาติ ไม่เหมือนหุ้นบลูชิพที่รู้จักกันก่อนหน้านี้ ที่มีความมั่นใจค่อนข้างสูง

*******เลิกเล่นหุ้นพลังงาน วานนี้ก็หันมาเล่นกลุ่มแบงก์ สลับกันไป ลากขึ้นลากลง ไม่รู้ว่าฝรั่งเข้ามาปั่นหุ้นเอง หรือ มีสมุนคนไทยร่วมด้วย ยังไงๆก็ระมัดระวังหน่อย เพราะหุ้นที่ขึ้นเกินจริง เกจิฟันธงเลยว่าไม่ใช่เรื่องจริง สักวันก็จะเผยตัวตนออกมา ถึงวันนั้นใครยังหลงระเริงอยู่ คงเจ็บตัวแบบแสนสาหัส

****RATCH เจอโรครุมเร้า ราคาร่วงไปกว่า 2.97% ทั้งผลประกอบการไตรมาส 3ที่แย่ กำไรสุทธิลดลงเหลือเพียง 560.69 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.8พันล้านบาท เท่านี้ยังไม่พอมีทีท่าว่าอาจพลาดงานประมูลโรงไฟฟ้าด้วย เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ซึ่งยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตามหุ้นตัวนี้ก็ยังน่าสนใจ โบรกเกอร์ยังให้แนะนำให้ซื้อ

*****ด้าน"ฉลองภพ"พูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า หลังจากนายกรัฐมนตรีสั่งให้กลับไปทำประชาพิจารณ์พรบ.เงินตรา ว่าพรบ.ฉบับนี้คงสิ้นหวังที่จะเสนอภายในรัฐบาลชุดนี้แล้ว หลังจากที่แก้ไขกันมาหลายรอบ ถอนออกจากสภาฯก็หลายรอบ แต่พอมาถึงวันนี้ก็ค่อนข้างแน่นอนใจแล้วว่าคงไปไม่ถึงฝัน ฝากความหวังไว้ให้รัฐบาลชุดใหม่ตัดสินใจ

******บ่นว่าทุกคนไม่เข้าใจและไม่ให้โอกาสแบงก์ชาติ เพราะติดภาพเก่าๆที่ทำประเทศชาติเจ๊งจากการเข้าไปสู้ค่าเงินบาท แม้แต่หลวงตามหาบัว ก็ยังขวางอย่างเต็มตัว หนี้กองทุนฟื้นฟูฯที่มีกว่า 1 ล้านล้านบาทใครจะมาใช้ หากไม่แก้พรบ.ฉบับนี้

*****นับจากวันนี้ไปฉลองภพคงไม่ผลักดันกฎหมายอะไรอีกแล้ว แว่วๆมาว่าหวยบนดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น้าหลองเริ่มจะวางมือ เตะถ่วงไปเรื่อยๆ รอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาตัดสินใจเดินหน้าทำเอง งานนี้คอหวยคงต้องรอไปก่อน ไม่ถึงจะลงแดงตายกระมัง

*******ส่วนการเมือง นับวันก็ยิ่งยุ่ง ย้ายไปย้ายมาจนบางทีลืมไปว่าตัวเองอยู่พรรคไหนกันแน่ ใกล้วันเลือกตั้ง เรื่องก็ยิ่งยุ่ง เดาว่าเลือกตั้งเสร็จก็คงไม่แตกต่างกันมาก เพราะทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกันมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ

*****ขอทีเถอะเห็นแก่ประเทศชาติกันบ้าง ไม่ใช่กลัวแต่จะไม่ได้เป็นสส. ใครรู้ตัวว่าไม่ได้มาเพราะรักชาติ อยากช่วยประชาชนตาดำๆ ก็ขอให้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า อย่าใช้เวทีนี้หาผลประโยชน์เข้าตัวเองอีกเลย ฝากไว้ด้วย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป*****


:lol: [/color:c9f4a9d83e">

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 31/10/2007 @ 16:09:09 :
บล.สินเอเชียแนะนำถือATCราคาเป้าหมาย 80.39 บาท
คาดว่ากำไรปกติปี 50 ของ ATC จะอยู่ที่ประมาณ 8,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.6% YoY โดยจะมีกำลังการผลิตได้เต็มปีหลังที่มีการหยุดซ่อมบำรุงในปี 49 รวมทั้งมีโครงการไซโคลเฮกเซน (ใช้เบนซีนเป็นวัตถุดิบหลัก) จะสามารถผลิตได้เต็มปีเช่นกัน โดยมีกำลังการผลิตที่ 195,000 ตัน หลังจากทำการขยายกำลังการผลิตอีก 30% ในเดือนพ.ค.50 และคาดว่ากำไรปกติปี 51 จะอยู่ที่ 9,032 ล้านบาท ทรงตัว YoY โดยจะมีกำลังการผลิตจากโครงการอะโรเมติกส์ II กำลังการผลิตประมาณ 9 แสนตันต่อปี ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วง 3Q51 เข้ามาเสริม

เพื่อแลกหุ้นเป็นบริษัทใหม่ เนื่องจากการควบรวมระหว่าง RRC กับ ATC จะก่อให้เกิดผลประโยชน์จากการร่วมมือกันลงทุนในโครงการต่อเนื่องกัน ซึ่งจะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มและจะส่งผลต่อมูลค่าหุ้นของบริษัทใหม่ (Merge Co.) ในอนาคต

บล.ธนชาตแนะนำซื้อCPFราคาเป้าหมาย 6.00 บาท
โดยมีสาเหตุจากการสิ้นสุดเทศกาลกินเจ ประกอบกับเป็นช่วงโรงเรียนเปิดเทอมและการผลักภาระต้นทุนที่เกิดจากผลกระทบของต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภค ราคาเนื้อไก่เพิ่มขึ้นราว 1-2 บาท/กก. มาอยู่ที่ 35.-36 บาท/กก. สำหรับราคาเนื้อหมูได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นราว 5 บาท/กก. มาอยู่ที่ 43-44 บาท/กก. หลังจากรัฐบาลอนุญาตให้ผู้ผลิตเพิ่มการขายส่งเนื้อหมู เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนอาหารสัตว์

เราเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนข้าวโพดและถั่วเหลือง ทำให้ราคาต้นทุนการผลิตเนื้อไก่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 32 บาท/กก. จากในช่วงต้นปีที่ 31 บาท/กก. และต้นทุนการผลิตเนื้อหมูเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 42 บาท/กก. จาก 41 บาท/กก. ถึงแม้ว่าต้นทุนอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ผลิตสามารถส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ เนื่องจากอุปทานในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำ หลังจากที่ทำการปรับลดการผลิตไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราคลายความกังวลในเรื่องผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในธุรกิจเนื้อสัตว์ในประเทศของ CPF ลงนอกจากนี้ CPF เป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนอาหารสัตว์น้อยกว่าผู้ผลิตรายอื่น เนื่องจากโกดังสินค้าของบริษัทฯ สามารถกักเก็บวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ถึง 6เดือน

ราคาเนื้อไก่ที่ตุรกีปรับเพิ่มขึ้น 79% y-y และ 5% q-q ในช่วง 3Q07 ขณะที่ราคาอาหารสัตว์ที่สูงจะช่วยสนับสนุนธุรกิจอาหารสัตว์ที่อินเดียและมาเลเซียได้ เพิ่มขึ้น 183%y-y และ 148% q-q ขณะที่ปัจจุบันการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์ในประเทศ น่าจะทำให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนอาหารสัตว์ที่มีต่อผลการดำเนินงานของ CPF ดังนั้นเราจึงยังคงแนะนำ ซื้อ สำหรับหุ้น CPF โดยมีราคาเป้าหมาย 6บาท/หุ้น

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อBJCราคาเป้าหมาย 75.00 บาท
หลังจากบริษัทได้ปรับราคาสินค้าขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกพัฒนาขึ้นจาก 7.53% ในปี 2549 เป็น 9.25% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเราคาดว่ากำไรปกติปี 2550 จะเติบโตถึง 48.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 1,006 ล้านบาท(กำไรต่อหุ้น 6.33 บาท) เทียบกับกำไรปกติ 678 ล้านบาทในปี 2549 เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในสายการผลิตขวดแก้วในระดับสูงที่ดีขึ้นจาก78.6% ในปี 2549 เป็นเกือบ 90% ในปัจจุบัน นอกจากนี้เราคาดว่าผลประกอบการในปี2551 จะเติบโต 19.6% เป็น 1,204 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 7.58 บาท)

ในช่วงที่ผ่านมาทางผู้บริหารมีนโยบายที่จะขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของบริษัทโดยการเข้าถือหุ้น 50% ในบริษัท ไทยเบเวอร์เรจ แคน จำกัด (TCB) ซึ่งประกอบธุรกิจกระป๋องอลูมิเนียม โดย TCB มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายเท่ากับ 17.85% และมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยเท่ากับ 8.82% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เราคาดว่า TCB จะสร้างผลกำไรให้กับทาง BJC ได้เฉลี่ยปีละ 140 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ PER ปี 2550 ที่ 8.3 เท่าและจะลดลงเป็น 6.9 เท่าในปี 2551 ซึ่งระดับ PER ของ BJC ก็ยังต่ำกว่า PER กลุ่มพาณิชย์ที่ 18.5 เท่าและยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัทที่ 57.3 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนต่างจากราคาเหมาะสมของเราที่ 75 บาทที่คิดโดยวิธีคิดลดกระแสเงินสด อิงอัตราคิดลด 8.92%และ terminal growth ที่ 3% อยู่ 42% นอกจากนี้เราคาดว่า BJC จะจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นเท่ากับ 3.5 บาทในปี 2550 และ 4.0 บาทในปี 2551 ซึ่งคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนเท่ากับ 6.7% และ 7.6% ตามลำดับ

บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อลงทุนระยะยาวDCCราคาเป้าหมาย 18.00 บาท
กำไรสุทธิใน 3Q07 ลดลง 10% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 4%YoY เนื่องจากแม้รายได้จะลดลง 6%YoY โดยมาจากยอดการขายในประเทศซบเซา และอิทธิพลจากฤดูกาลแต่สามารถบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 39%จากเดิม 36.%(3Q06) นอกจากนี้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการชำระเงินกู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสนี้ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.23 บาท/หุ้น

จากผลประกอบการที่ออกมาคิดเป็น 71%จากที่ประมาณการณ์ไว้ จึงคงประมาณการณ์เดิมไว้ และจากการที่เพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น โดยสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 39%ได้ถือว่าแนวโน้มในปี 07 นับว่าเป็นปีที่ต่ำสุดของ DCC โดยคาดว่าในปี 08 จะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และราคาหุ้นมี upside gain 13%


ข่าวหุ้น

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com