Toon
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973 |  วันที่: 02/11/2007 @ 16:29:16 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ตลาดหุ้นเอเชีย(รวมทั้งไทย)ร้อนแรงจริงๆในปีนี้ เมื่อเงินดอลลาร์ที่หนีตายจากอเมริกา ดันราคาหุ้นใหญ่ๆให้วิ่งพรวดขึ้นจนยากจะเชื่อ และยากจะถามหาว่าเพดานอยู่ที่ไหนกันแน่
สถานการณ์อย่างนี้ นักลงทุนท้องถิ่นโดยเฉพาะรายย่อย ย่อมไม่เคยชินกันอย่างแน่นอน เพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ
เมื่อมองจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาค ราคาหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นหลักของเอเชียทั่วไป ถือว่า ร้อนแรงเกินจริงทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีคนมองว่า ยังมีสิทธิไปต่ออีกได้ไกลโดยเฉพาะหุ้นพลังงาน
คำถามก็คือว่า แล้วเมื่อใดที่เราจะบอกได้ว่า ราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้นเอเชียที่ไหน เข้าข่าย?ฟองสบู่? หรือ เกินพื้นฐาน?
คำตอบย่อมไม่ชัดเจน จนกว่าดัชนีตลาดหุ้นจะพงัครืนลงมาเสียก่อนนั่นแหละ จึงจะบอกได้
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ในจีน ราคาหุ้นโดยทั่วไปสูงขึ้น 3 เท่าตัวจากเมื่อต้นปี ส่วนตลาดหุ้นไทยราคาหุ้นขนาดใหญ่พุ่งขึ้นกว่า 30% นับจากต้นปี ในขณะที่ดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงขึ้นไปกว่า 55% และดัชนีตลาดหุ้นมัมไบพุ่งขึ้นกว่า 40%
ทั้งหมดนี้ เป็นผลพวงของการไหลเข้าของดอลลาร์ที่หนีตายจากอเมริกาทั้งสิ้นไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของผลประกอบการที่เด่นเกินคาดของบริษัทในตลาดหุ้นทั้งหลายแต่อย่างใด
คำถามเรื่องฟองสบู่ของราคาหุ้น เนื่องจากราคาสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน จึงต้องเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
สถานการณ์อันเป็นบวกของตลาดหุ้นอย่างนี้ หากเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด และมีการเมืองที่มีเสถียรภาพ บริษัทในตลาดหุ้น สามารถใช้ประโยชน์จากการไหลเข้าของทุนทำการเพิ่มทุน หรือ แตกพาร์ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับตลาดได้อย่างง่ายๆ โดยมีต้นทุนต่ำ แต่ในประเทศที่ผู้นำรัฐมีท่าทีต่อตลาดทุนเลวร้าย โอกาสทองอย่างนี้ก็จะผ่านเลยไปอย่างชั่วครู่ชั่วยาม
คำถามเกี่ยวกับฟองสบู่ตลาดหุ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องนิยามกันภายใต้เงื่อนไขเฉพาะที่มีความแตกต่างกันไป ทั้งตัวแปรภายใน และภายนอกของตลาดและของบริษัทจดทะเบียน
ผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดหุ้นทั่วไป ยอมรับว่า ในยามที่เกิดภาวะกระทิงเปลี่ยวมีวอลุ่มคึกคัก โอกาสที่ราคาหุ้นหลักหรือบลูชิพจะสูงเกินพื้นฐาน ไม่ได้บอกว่ากำลังมีฟองสบู่เกิดขึ้นเสมอไป แต่เกิดจากแรงซื้อที่ผิดปกติ ซึ่งไม่น่าอันตราย เว้นเสียแต่พวกเก็งกำไรแบบสุ่มเสี่ยงเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น ข่าวเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ ก็เป็นช่องทางอีกอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นลงไปรวดเร็วโดยไม่ถือเป็นภาวะฟองสบู่
วิธีดูว่า ราคาหุ้นที่สูงขึ้นในตลาดมากเกินไปหรือไม่ และจะมีโอกาสขึ้นต่อหรือไม่ต้องดูพื้นฐานอื่นๆประกอบด้วยว่า การลงทุนในตลาดอื่นๆ เช่นตลาดเงิน ตลาดประกันตลาดกองทุนรวม หรือ ตลาดตราสารหนี้ หรือกระทั่งการออมเฉยๆ อย่างไหน จะให้ผลบตอบแทนและความเสี่ยงมากน้อยกว่ากัน
จิตวิทยาที่น่าเป็งห่วงของภาวะกระทิงในตลาดหุ้นอยู่ที่ว่า นักลงทุนจำนวนไม่น้อย ถูกครอบงำด้วยความคิดที่ผิดพลาดซึ่งเรียกว่า ?ผลพวงของความมั่งคั่ง? หรือwealth effect ซึ่งเกิดจากการที่เห็นตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้เชื่อว่า เศรษฐกิจจะต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆโดยไม่มีความเสี่ยง ทำให้ผู้คนหันไปบริโภคเกินตัว (ดังเช่นเคยเกิดขึ้นในช่วง 2537-39 ของไทยมาแล้ว)
หากปรากฎการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง นั่นเป็นสัญญาณของภาวะฟองสบู่ แต่นั้นยังไม่เพียงพอ ที่จะตัดสินว่า ฟองสบู่ดังกล่าวจะแตกในเวลาอันรวดเร็ว เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆให้เทียบเคียงอีกเช่น-การแห่ตามกันของนักลงทุนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือ herd instinct-การออกมาตรการต่อต้านต่างชาติ หรือกลัวต่างชาติครอบงำข้อเท็จจริงในตลาดหุ้นไทยยามนี้จะเห็นได้ว่า การเข้ามาของทุนต่างชาตินั้นเลือกเฟ้นหุ้นเฉพาะกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารเป็นหลัก แตะต้องหุ้นกลุ่มอื่นๆน้อยมาก และทั้งสามกลุ่มนี้เท่านั้นที่ดันให้ดัชนีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หุ้นทั้งสามกลุ่มข้างต้น กลับไม่มีกิจกรรมใดๆเลยที่จะดูดซับเงินร้อนที่ไหลเข้ามาให้อยู่นานมากขึ้น ซึ่งทำให้เมื่อใดก็ตามที่ต่างชาติพร้อมจะดึงเงินกลับออกไปเพราะทำกำไรมากเพียงพอแล้ว โอกาสที่ดัชนีจะร่วงลงมา ก็ง่ายมากขึ้น
ปรากฎการอย่างนี้ ทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ แตกต่างจากสถานการณ์ร้อนแรงของตลาดในอดีตอย่างมาก เพราะเป็นการดันราคาของหุ้นแบบ?ฝนตกไม่ทั่วฟ้า?
การทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างเข้าถึงธรรมชาติในการลงทุนแต่ละครั้ง เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่การเมืองไทยยังคงมีความหมิ่นเหม่ต่อความวุ่นวายหลังการเลือกตั้งในปลายปีนี้ เพราะได้รัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ ในขณะที่ปัญหาสะสมทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง ยังคงท่วมทับมากขึ้นต่อเนื่อง
ข่าวหุ้น[/size:b30f767dba">
|
