May 15, 2024   4:12:54 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > "Election Effect" ปรากฏการณ์หุ้นวิ่งก่อนเลือกตั้ง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/11/2007 @ 03:21:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

โดย สรวิศ อิ่มบำรุง




คุณทราบหรือไม่ว่า จากสถิติที่ผ่านมา ของการเลือกตั้ง 10 ครั้งหลังสุด ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัว "ขึ้น" ทั้งหมด 9 ครั้ง มีการเลือกตั้งในปี 1996 เพียงปีเดียวเท่านั้น ที่ตลาดหุ้นปรับตัว "ลดลง"

โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 8.4% ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน

การเลือกตั้งใน "วันที่ 23 ธ.ค.50" ช่วงปลายปีนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดหุ้นก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้หากดูจากข้อมูลเชิงสถิติในอดีตที่ผ่านมา

ซึ่งคนในแวดวงตลาดทุนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "การปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้ง" หรือ "Pre-election Rally" หรือจะเรียกว่า "Election Effect" ก็คงไม่ผิดนัก

ถ้าจะนับเป็นช่วงเวลาก็ประมาณเดือนต.ค.50 นี่ที่ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น หากไม่มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากวันที่กำหนดไว้นี้

อะไรที่เป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดทุนเชื่อว่าจะมีปรากฏการณ์ Election Effect เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งในปี 2550 นี้ Fundamentals สัปดาห์นี้มีคำตอบมาฝากกัน

...............................................................

กระแสลด ดบ.ของเฟดยังหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก

การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นก่อนเลือกตั้ง ถือเป็นความคาดหวังในเชิงบวกปกติของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเกิดขึ้นกับบ้านเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันน่าจะทำให้ภาพตรงนี้ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "มนต์ชัย จาตุรันต์ภิญโญ" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บลจ.ฟินันซ่า บอกว่า จากการเลือกตั้ง 7 ครั้งล่าสุด "ก่อนเลือก" ตั้ง 3 เดือน ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาเฉลี่ยประมาณ 8% แล้ว "หลังเลือกตั้ง" 3 เดือนตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลง 7% ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่แปลก เพราะก่อนเลือกตั้งคนคาดหวังว่าการเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจเริ่มขยายตัวแล้วมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับมาเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เป็นเรื่องของมุมมองที่เป็นบวกกับการเลือกตั้ง แต่พอหลังเลือกตั้งเชื่อว่าหลายคนคงมองเหมือนกัน ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นคือ ใครจะเป็นรัฐบาล หรือจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นหรือไม่ จึงทำให้หลังการเลือกตั้งตลาดจะปรับตัวเพื่อรอดูทิศทางอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดหมายได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้กับข้อมูลเชิงสถิติในอดีตที่เกิดขึ้น

หลังการเลือกตั้ง คนอาจจะกลับมาดูอีกครั้งว่า ทุกอย่างจะขับเคลื่อนไปในทางบวกอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ซึ่งในปีหน้าผู้ลงทุนไทยควรจะเตรียมรับกับสภาวะตลาดที่มีโอกาสผันผวนมากกว่าปีนี้ จากในปีนี้ค่อนข้างจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น

"ตลาดหุ้นไทยที่ไม่สู้ดีนักในช่วงที่ผ่านมา การเมืองอาจจะเป็นคำอธิบายรอง แต่คำอธิบายหลักเป็นเรื่องของกำไรจดทะเบียนที่ไม่โตเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ปีหน้าก็เหมือนกัน ถ้าการเมืองวุ่นวายหรือดี นั่นก็คือ ปัจจัยรอง แต่ปัจจัยหลักยังคงอยู่ที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน เพราะฉะนั้นเราคงต้องดูในเรื่องของกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก ถ้าการเมืองแย่แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังโตอยู่ ก็จะทำให้หุ้นยังดีอยู่ในระยะยาวแม้จะผันผวนบ้างก็ตาม แต่ทุกชีวิตต้องเดินต่อไปไม่ว่าการเมืองจะเป็นยังไง"

@ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่

โดย มนต์ชัย ยังบอกอีกว่า ปัจจุบัน(สิ้นสุด 12 ต.ค.50)ตลาดหุ้นไทยเทรดอยู่ที่ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ(P/E)ที่ 13.5 เท่า ซึ่งถ้าเทียบกับตลาดหุ้นเอเชีย(ไม่รวมญี่ปุ่น) เทรดอยู่ที่ 18.9 เท่า เพราะฉะนั้นยังมีช่องว่าง(Gap)อยู่พอสมควร ประเทศไทยอาจจะไม่ต้องขึ้นไปพีอีเท่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคก็ได้ เพราะตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทยอยู่ ถ้าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปปิด Gap ที่มีอยู่นิดหน่อยตรงนี้ นั่นก็คืออัพไซด์ของตลาดอยู่แล้ว คือ เป็นเรื่องของราคาหุ้น ที่จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยพีอีค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในโลก แล้วในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นมาค่อนข้างมากประมาณ 38% ซึ่งก็เป็นการปรับขึ้นในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย

แต่ถ้ามองย้อนกลับไปประมาณ 3 ปีตั้งแต่ปี 2004 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมา 33% หรือจะเรียกว่าใน 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยนิ่งมาตลอด เพิ่งมาปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเดียวกันปรับตัวขึ้นมา 69% ตลาดหุ้นเอเชีย(ไม่รวมญี่ปุ่น)ขึ้นมา 155%

"โดยสรุปแล้วราคาของหุ้นไทยโดยพีอีไม่ถือว่าแพง ในแง่การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยเองก็เป็นการปรับตัวตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เมื่อเอา 2 ส่วนนี้ประกอบกันจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยเองยังไม่สายเกินไป ที่จะเข้ามาลงทุนยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุนอยู่"

@พื้นฐานตลาดหุ้นไทย

ส่วน "วิชชุ จันทาทับ" ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ บอกว่า สำหรับปัจจัยพื้นฐานแท้ๆ ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ 850 จุด แต่ถ้านับรวมเม็ดเงินลงทุนเคลื่อนย้าย(Capital Flow)เก่าที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยดัชนีหุ้นไทยสามารถที่จะปรับตัวขึ้นไปได้ที่ระดับ 870-890 จุด คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเป็นเป้าหมายที่สามารถไปถึงได้ภายในสิ้นปีนี้ แล้วถ้ามี Capital Flow ใหม่เข้ามาเพิ่มดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะไปได้ถึง 920 จุด ซึ่งเราค่อนข้างมองแบบอนุรักษนิยมนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นโบรกเกอร์อาจจะให้เป้าหมายที่สูงกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าดัชนีน่าจะไปถึงระดับ 920 จุดได้ภายในสิ้นปีนี้ หรืออาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ เพราะเชื่อมั่นว่า Capital Flow จะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้

1)ปัญหาซับไพร์มค่อนข้างหมดความกังวลไปมาก แม้เรื่องนี้ยังไม่จบและยังจะมีต่อเนื่องต่อไป แต่ว่าผลกระทบที่จะมีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นแค่การแตกตื่นในช่วงสั้นชั่วข้ามคืนเท่านั้น นอกจากนี้ปัญหาซับไพร์มจะจำกัดเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับซับไพร์มโดยเฉพาะ

เพราะฉะนั้นปัญหาซับไพร์มน่าจะจบในลักษณะที่ว่า จะมีก็มีไปแต่จะจำกัดเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยไม่ถูกกระทบเลย ตลาดเอเชียถูกกระทบน้อยมากเรียกว่าไม่ถูกผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มเลย จะมีซับไพร์มอยู่จำนวนหนึ่งที่ตลาดฮ่องกงกับสิงคโปร์ที่แบงก์เขาเข้าไปลงทุนอยู่แต่ก็มีหลักฐานเปิดเผยข้อมูลการลงทุนมากพอสมควร แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีข่าวคราวว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วตลาดเกิดใหม่และตลาดหุ้นในเอเชียไม่ได้รับผลกระทบจากซับไพร์มเลย

2)เรื่องของ "Yen Carry Trade" หลังจากที่มีกระแสเรื่องลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(FED)ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการจะบรรเทาปัญหาเรื่องซับไพร์ม และการลดดอกเบี้ยของเฟดทำให้แนวโน้มของทิศทางดอกเบี้ยของตลาดโลกค่อนข้างที่จะแผ่วลงมานิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นความกังวลที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ)จะขึ้นดอกเบี้ยจึงไม่ชัดเจน นักลงทุนสถาบันเลยกลับไปกู้เงินเยนออกมาอีก เพื่อลงทุนในตลาดทั่วโลก ฉะนั้น Yen Carry Trade ก็กลับมาเพราะฉะนั้นนี่จะเป็นประเด็นหลักที่จะทำให้ตัว Capital Flow ยังคงไหลต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียนี้ และอาจจะมีเพิ่มกลับมาอีกจากการทำ Yen Carry Trade รอบใหม่

"ในขณะที่ Capital Flow เก่าที่เคยหายไปเพราะปัญหาซับไพร์ม ตอนนี้เมื่อตั้งหลักกันได้แล้ว เริ่มตั้งสติได้ว่ามันไม่เกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียนี้ ก็อาจจะกลับเข้ามาบางส่วนหรือทยอยกลับเข้ามาทั้งหมดแล้ว ซึ่งเป็นของใหม่ที่มาจาก Yen Carry Trade ด้วย จะเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาในตลาดทั้ง 2 ส่วน ทำให้เราเชื่อว่า Capital Flow ทั้งหมดจะเข้ามาในตลาดภูมิภาคเอเชียทั้งหมด ไล่ตั้งแต่เอเชียตอนบนจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ด้วย Capital Flow ทั้งเก่าและใหม่ จึงทำให้เราค่อนข้างมั่นใจนิดหนึ่งว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะไปถึง 920 จุด ได้ภายในสิ้นปีนี้หรือเร็วกว่านั้น "

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 07/11/2007 @ 03:21:57 :
@นักลงทุนไทย-เทศมั่นใจการเลือกตั้ง

โดยวิชชุยังบอกอีกว่า ที่ระดับดัชนีเกิน 900 จุดขึ้นไปด้วยปัจจัยพื้นฐานของประเทศในปัจจุบันถือว่าเร็วไป แต่ถ้าเป็นในปีหน้าจะดีกว่านี้ แต่อะไรที่จะส่งผลให้ดัชนีสามารถยืนเหนือ 900 จุด อยู่ได้ ก็มาจากปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือ "การเลือกตั้ง" ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปี ตอนนี้จะเห็นว่าการเมืองมีการเคลื่อนไหวทุกวัน มีเปลี่ยนขั้วกัน ยุบพรรค ย้ายพรรคสารพัดเป็นข่าวรายวัน แต่ไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลย เพราะตราบเท่าที่เรื่องของการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. 50 ยังอยู่ตรงนั้น ใครจะทำยังไงคนส่วนใหญ่ก็เฉยๆ นักลงทุนต่างชาติมองการเมืองไทยในลักษณะนี้เดียวกันนี้เหมือนกัน

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังมองข้ามช็อตไปถึงหลังการเลือกตั้ง ถึงการมีรัฐบาล ซึ่งโดยรวมต้องบอกว่าค่อนข้างดี เพราะนักลงทุนต่างชาติมองว่าในช่วง 1-1.5 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยค่อนข้างไม่มีใครมาบริหารจัดการบ้านเมืองให้เป็นเรื่องเป็นราว ก่อนรัฐประหาร 2-3 เดือนช่วงนั้น ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่งๆ รัฐบาลก็ไม่ได้แอ็คชั่นในเรื่องนโยบายต่างๆ มากนัก

" เขามองว่าแม้รัฐบาลที่ได้กลับเข้ามาจากการเลือกตั้ง หน้าตาอาจจะเป็นรัฐบาลผสมก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุดประเทศจะมีคนที่ดูแลนโยบายของประเทศแล้ว เพราะฉะนั้นในปี 2551 เป็นปีที่นักวิเคราะห์ต่างชาติใส่การเติบโตเข้ามาในประเทศไทยค่อนข้างมาก อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดปี 2551 เราทำไว้ประมาณ 17% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีมาก เพราะเราไม่เห็นการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นตัวเลข 2 หลักมา 4-5 ปีติดกันแล้ว ตรงนี้จะเป็นประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานมารองรับการปรับตัวขึ้นของตลาดในปีหน้า"

@อานิสงส์ราคาน้ำมันแพง

นอกจากนี้ วิชชุยังมองว่า ระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่(New High)ต่อเนื่องถือว่าเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ตอนนี้คงไม่สำคัญว่าราคาน้ำมันจะไปถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลหรือไม่ เพราะแค่ราคาน้ำมันทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวของตะวันตกทำให้มีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันโลกในช่วงปลายปีนี้ทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงต่อไป

ซึ่งจะให้ผล 2 อย่าง คือ 1)หุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมัน จะได้อานิสงส์ตรงนั้นจากเรื่องกำไรที่มาจากราคาน้ำมันที่ค่อนข้างสูงได้ และ 2)พลังงานทดแทน โรงงานไฟฟ้าต้องเร่งสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทน พวกถ่านหินก็จะได้อานิสงส์ เพราะพลังงานทดแทนก็จะได้รับผลบวกตามกัน เพราะต้องเข้ามาทดแทนในสิ่งที่แพงขึ้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะขึ้นราคาก็มีมากขึ้น

"หุ้นในกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนประมาณ 40% ในตลาดหุ้นไทย และจะเห็นว่าการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นไทยก็จะค่อนข้างดีในไตรมาส4/2550 ต่อไตรมาส1/2551 นี้"

@กระแสลด ดบ.ของเฟดยังหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก

วิชชุมองว่าปัจจัยการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลง 0.5% เป็น 4.75% หลายฝ่ายยังคาดว่ากระแสการลดดอกเบี้ยของเฟดจะยังคงมีอยู่อีกครั้งหรือสองครั้ง ส่วนดอกเบี้ยนโยบาย(R/P 1 day)ของธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็น่าจะลดได้อีกสักครั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องดอกเบี้ยโดยรวม ยังมีข่าวดีทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นทั้งในระดับโลกและระดับประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ตลาดหุ้นสหรัฐเอง แม้คนจะรู้ว่าปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ตลาดหุ้นสหรัฐก็ยังทำสถิติสูงสุดใหม่(New High)ได้ เพราะเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟดยังค้ำอยู่ว่าจะมีลดดอกเบี้ยอีกสักครั้งหรือสองครั้ง แล้วหลังจากนั้นค่อยไปดูผลกันอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่1/2551 ว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดไป 3-4 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้มั้ย ถ้าไม่ได้ก็ต้องไปว่านโยบายอื่นแล้ว ตรงนี้น่าจะทำให้กรอบของไตรมาส 4/2550 ที่เหลือของปีนี้ ตัวตลาดหุ้นทั่วโลกเองยังน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกดีตลาดหุ้นไทยเองก็จะดีตามไปด้วย

"ถ้าแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยลงด้วย ก็อาจจะช่วยได้อีกช็อตหนึ่ง เพราะฉะนั้นโดยรวมๆ ยังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 920 จุด ในระยะไตรมาส 4/2550 ไม่น่าจะพลาดไปไกลจากนี้นัก อาจจะไปในเชิงบวกๆ แต่จะบวกเท่าไร ตรงนี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะเวลาสภาพคล่องไหลเข้ามาหนักๆ เดาไม่ได้ว่าจะไปไกลเท่าไร แต่ว่าเราก็อุ่นใจได้ว่าด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเองสามารถจะรับได้อยู่บริเวณ 850-870 จุด ถ้าจะมีแรงเทขายออกมาบ้างก็น่าจะกลับมารับได้ที่บริเวณ 850-870 จุดนี้"

ทั้งหมดนี้คือ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ตลาดทุนเชื่อว่าการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.50 ปลายปีนี้ จะมีโอกาสได้เห็นปรากฏการณ์หุ้นวิ่งก่อนเลือกตั้งกันอีกครั้ง

:lol: [/color:fa6e99d759">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 07/11/2007 @ 03:23:40 :
[b:1c3900caa6">แนะลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเมือง[/b:1c3900caa6">


จากข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้ง และเหตุผลที่สนับสนุนให้เกิดปรากฏการณ์ "Election Effect" ได้ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. 2550 ปลายปีนี้ การเลือกหุ้นได้ถูกกลุ่มถูกตัวย่อมจะเกิดประโยชน์กับผู้ลงทุนอย่างไม่ต้องสงสัย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "เผดิมภพ สงเคราะห์" รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ของโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้มีเม็ดเงินลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐไหลออกมาสู่สินทรัพย์ในสกุลเงินอื่น

ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ก็น่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากเงินปันผลในตลาดหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 3.35% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีให้ผลตอบแทน 3.5% ใกล้เคียงกันมาก จะเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้มีการโยกเม็ดเงินลงทุนจากตลาดตราสารหนี้บางส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นควรจะปรับตัวขึ้นได้ เพราะมีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากที่อยู่ในตลาดตราสารหนี้แค่โยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นบางส่วน ก็จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้

"ผู้ลงทุนควรจะมีการเตรียมเงินไว้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ได้แก่ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มบันเทิงและสื่อสาร โดยเฉพาะ บมจ.อสมท หุ้นโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นบมจ.ผลิตไฟฟ้า และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งแนะให้เปลี่ยนกลุ่มเล่นโดยโฟกัสมาที่กลุ่มสื่อสารที่รัฐบาลใหม่น่าจะเข้ามาจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เรียบร้อย ได้แก่ หุ้นบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น รวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบมจ.บ้านปู บมจ.ปตท. และบมจ.ปตท.เคมิคอล"

เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ คงจะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์จากปรากฏการณ์หุ้นวิ่ง ก่อนการเลือกตั้งได้บ้างไม่มากก็น้อย

:lol: [/color:1c3900caa6">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com