May 15, 2024   6:04:24 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 08/11/2007 @ 15:39:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.บล.กิมเอ็งแนะนำขายทำกำไร PTTCHราคาเป้าหมาย 124.00 บาท
บริษัทประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/50 ออกมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์มีกำไรสุทธิ 5,043 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.38 บาท เพิ่มขึ้น 9% yoy เป็นไปตามที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น 12% เป็น 1.7ล้านตัน/ปี หลังจากที่ได้ทำการขยายกำลังการผลิตเสร็จไปตั้งแต่ไตรมาส 2/50 ที่ผ่านมาบวกกับ spread margin (MEG-MOPS) ของผลิตภัณฑ์ Mono Ethylene Glycol (MEG)ที่บริษัทมีกำลังการผลิต 3 แสนตัน/ปี ที่เพิ่มขึ้น18% yoy เป็น 436 เหรียญ/ตัน ช่วยชดเชยผลกระทบด้านลบจาก spread margin ของเอทิลีน (Ethylene MTP-MOPS) ที่ลดลง 16% yoy, โพรพิลีน (Propylene MTP-MOPS) ลดลง 10% yoy และ HDPE (HDPE-MOPS) ลดลง 5% yoy โดยที่ spread margin ที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดจากราคาผลิตภัณฑ์อ่อนตัวลงประกอบกับราคาวัตถุดิบแนฟทาก็มีราคาสูงขึ้น 13% yoy เป็น 665 เหรียญ/ตันด้วย แต่เนื่องจากบริษัทใช้วัตถุดิบเป็นก๊าซเป็นส่วนใหญ่ (ประมาณ 75-80%) และมีสูตรการซื้อขายอิงราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ (Net back formula) ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบแนฟทาที่เพิ่มขึ้นมามากนัก

ราคาโอเลฟินส์ปัจจุบันอ่อนตัวลงโดยราคาเอทิลีนลดลง 7% qoq และเท่ากับราคาเฉลี่ยของปีก่อนที่ 1,085 เหรียญ/ตัน ส่วนราคาโพรพิลีนก็ลดลง 7% qoq แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% yoy เป็น 1,080 เหรียญ/ตัน ในขณะที่ราคาวัตถุดิบแนฟทากลับมีราคาเพิ่มขึ้นมากถึง 20% qoq และ 53% yoy เป็น 795 เหรียญ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบ จากผลดังกล่าวทำให้ spread margin ของเอทิลีนลดลงอย่างมากถึง 42% qoq และ 49% yoyและของโพรพิลีนลดลง 43% qoq และ 48% yoy ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาดังนั้นผลกำไรของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในไตรมาสนี้จะลดลงค่อนข้างมาก ในขณะที่ spreadmargin ของ HDPE ก็ลดลง 13% qoq และ 17% yoy แม้ว่า spread margin ของMEG จะดีขึ้น 113% qoq และ 210% yoy จะช่วยชดเชยได้บางส่วน แต่คงไม่ทั้งหมดเนื่องจากผลกำไรจากธุรกิจโอเลฟินส์คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่ประมาณ 60% ของผลกำไรรวม ดังนั้นเราคาดว่าผลกำไรไตรมาส 4/50อาจต่ำกว่าที่ตลาดให้ความคาดหวังได้
บล.บัวหลวงแนะนำถือDEMCOราคาเป้าหมาย: 5.10 บาทคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส3/50 เป็น 36 ล้านบาท โดยเราคาดว่าจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/50 ประมาณ 444 ล้านบาท (ลดลง 51% จากไตรมาส2/50 แต่เพิ่มขึ้น 45%เทียบกับไตรมาส3/49) ในขณะที่เราคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 18% ทั้งนี้เรายังคงประมาณการกำไรปี 50 ไว้ที่ 165 ล้านบาท

ขายหุ้น PP ครั้งแรก 20 ล้านหุ้นนำเงินซื้อบริษัทใหม่: ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้เงินจากการขาย PP ประมาณ 100 ล้านบาท และนำเงินจำนวน 54 ล้านบาทไปลงทุนในบริษัทJPM inter จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตภาชนะแรงดันสูง (Pressure vessel)ทั้งนี้ เราคาดว่า DEMCO จะมีรายได้ในปี 51จาก JPM ประมาณ 400 ล้านบาทซึ่งจะเริ่มรับรู้ในไตรมาส 1/51 เป็นต้นไป

ปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานในปี 51: เราปรับลดประมาณกำไรสุทธิปี 51 เป็น 165 ล้านบาทจาก 215 ล้านบาท เนื่องจาก 1) บริษัทมีงานใหม่เข้ามาเพียง 100 กว่าล้านบาทในไตรมาส 3/50 ทำให้เราปรับลดรายได้จากงานบริการเหลือ1.3 พันล้าน 2) เราปรับเพิ่มประมาณการงานขายเสาโครงเหล็กเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านบาท 3) DEMCO มีรายได้จาก JPM เข้ามาซึ่งเราคาดการณ์รายได้จาก JPM ประมาณ 400ล้านบาท (บริษัทคาดการณ์ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทในปี 51)

..แต่จุดสำคัญคือ 2 งานประมูลหลักในปี 51: ได้แก่ งานประมูลที่ยื่นประมูลไปแล้วและจะทราบผลในสิ้นเดือน พ.ย. 50 จำนวน 2 งาน ซึ่ง ถ้าบริษัทชนะประมูลงานใดงานหนึ่ง เราคาดว่าจะทำให้ยอดขายและกำไรปรับตัวขึ้นจากที่เราประมาณการอย่างมีนัยสำคัญบล.ดีบีเอส วิคเคอร์สแนะนำซื้อ BECLราคาปิด 24.00 บาท

กำไรสุทธิ 3Q50 ที่ 227 ล้านบาท ลดลงมากถึง 43.5% y-o-y ด้วยสาเหตุรายการค่าใช้จ่ายจากการคืนหนี้ก่อนกำหนด 222 ล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการออกหุ้นกู้มาชำระคืนเงินกู้ระยะยาวใน 3Q50 รายได้ค่าผ่านทางด่วนเพิ่มขึ้น 6.3% y-o-y เป็น 1.8 พันล้านบาท เพราะปริมาณการใช้ทางด่วนที่เพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 0.8% เนื่องจากการตัดจำหน่ายสิทธิการบริหารทางด่วน

ณ 3Q50 งบดุลแข็งแกร่งขึ้นด้วยหนี้สินสุทธิลดลงเป็น 19.4 พันล้านบาท เทียบกับ y-o-y ที่ 28.5 พันล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนปรับลดลงเป็น 1.2 เท่า ดีขึ้นเทียบกับ 3Q49 ที่ 1.9 เท่า
บล.เอเชีย พลัสแนะนำซื้อ BECราคาเป้าหมาย 29 บาท

BEC รายงานกำไรสุทธิงวด 3Q50 เท่ากับ 605 ล้านบาท เพิ่มสูงถึง 41.6%yoy ดีกว่าคาดเล็กน้อย สืบเนื่องจาก รายได้ค่าโฆษณาที่เติบโตถึง 18% yoy แม้จะเป็นช่วง Low Reason เป็นผลจากเม็ดเงินโฆษณาที่ย้ายมาจาก TITV ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นทีวีสาธารณะ และเรตติ้งที่ดีขึ้นโดยเฉพาะช่วงซุปเปอร์ไพร์มไทม์ละครหลังข่าวซึ่งได้ขยายเวลาฉายเป็น 2 ช.ม. ทุกวัน(จากเดิมบางวันฉาย 1.5 ช.ม.)และยังคงมีอัตราใช้เวลาโฆษณาเกือบ 100% สวนทางกับต้นทุนรายการที่ลดลง 4.4% yoy เนื่องจากการนำละครเก่ามารีรันเช่น เปาบุ้นจิ้น มาฉายแทนละครไทยช่วง 6 โมงเย็น จึงทำให้ BEC สามารถลดต้นทุนผลิตละครไปได้ 1 เรื่อง

ผลประกอบการ 9M50 คิดเป็น 84.9% ของประมาณการปี 2550 ทั้งปี ขณะที่งวด4Q50 เป็นช่วงฤดูกาลที่มีการลงโฆษณามาก และยังได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินการหาเสียงและประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง รวมทั้งเรตติ้งที่ดีขึ้นต่อเนื่องของช่วงละครหลังข่าว ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BEC จะปรับขึ้นค่าโฆษณาละครหลังข่าวตั้งแต่ต้นปี 2551จากอัตราปัจจุบันที่ 4.2 หมื่นบาทต่อนาที เป็น 4.5 หมื่นบาทต่อนาที ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับช่อง 7 สีในปัจจุบัน ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณกำไรสุทธิปี 2550 และ 2551 9.4% และ14.8% ตามลำดับ

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ SPALIราคาเป้าหมาย 4.80 บาทบริษัทประกาศผลประกอบการ3Q50 มีกำไรสุทธิ 153ล้านบาทลดลง 31%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 3%YoY บริษัทมีรายได้ใกล้เคียงกับที่ประมาณการแต่มีกำไรสุทธิต่ำกว่าที่คาดเนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงกว่าที่ประมาณการ

- รายได้จากการขายค่าเช่าและบริการ 985 ล้านบาท ลดลง21%QoQ และลดลง10%YoY

- อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 41.9% มาจากการับรู้รายได้โครงการCasa riva ประมาณ 200 ล้านบาท และโครงการ Low Rise บางโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างดี เฉลี่ยอยู่ที่ 40%เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ 2Q50 ที่ 39.7% และใกล้เคียงกับ 3Q49 ที่ 41.8%

- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 160 ล้านบาทลดลง 2%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 5%YoY เมื่อเทียบกับรายได้ มีสัดส่วนมากขึ้นโดยมี SG&A/Sale อยู่ที่ 16% เมื่อเทียบกับ 2Q50 ที่ 13% และใน 3Q49 ที่ 14%

ผลประกอบการ 9M50 มีกำไรสุทธิ 626ล้านบาท ลดลง 7%YoY สาเหตุจากอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 40.2% ลดลง เมื่อเทียบกับ 9M49 ที่ 42.7% โดยมีรายได้จากการขายค่าเช่าและบริการ 3,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%YoY โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A/Sale) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 14% เมื่อเทียบกับ9M49 ที่13%


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com