May 17, 2024   5:03:25 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดหุ้นไทย น่าลงทุนที่สุด ในอาเซียน
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 09/11/2007 @ 02:38:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เอสแอนด์พี ฟันธง ตลาดหุ้นไทยน่าลงทุนที่สุดในอาเซียน เหตุราคาหุ้นถูกและสะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว แถมดัชนียังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอยู่มาก อีกทั้งผลการดำเนินงาน บจ. มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในช่วง 2 ปีข้างหน้า แนะนำ Overweight ให้ตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียว วางเป้าหมายปีหน้าที่ 1,020 จุด ด้านซีมิโก้ ระบุ ดัชนีฯสิ้นปี มีลุ้นถึง 960 จุด ส่วนปีหน้าถึง 1,000 จุด พร้อมแนะลงทุนหุ้นรับเลือกตั้ง ชู กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ BEC-MCOT-EPCO รับเหมาก่อสร้าง ITD-CK และกลุ่มเหล็ก TSTH รับอานิสงส์เมกะโปรเจ็ก ขณะที่ SCIBS เชื่อปลายปีดัชนีถึง 900 จุดสบายๆ ได้ราคาหุ้นโภคภัณฑ์หนุน

รายงานข่าว จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดหุ้นที่ถูกที่สุดในอาเซียน ขณะที่ปัจจัยลบต่าง
ได้เริ่มคลี่คลายแล้ว และ SET Index ยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดซึ่งเคยอยู่ที่ 1,789 จุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2537 ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกันทำจุดสูงสุดใหม่แล้ว ตลาดหุ้นไทยจึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน โดยได้แนะนำ เพิ่มน้ำหนักการลงทุน หรือ overweight ตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือตลาดหุ้นแห่งเดียวในภูมิภาคที่เอสแอนด์พีแนะนำลงทุน พร้อมกับให้เป้าหมายดัชนีปี 2551 ที่ 1,020 จุด เนื่องจากคาดว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 2 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มสดใส ขณะที่ระดับราคาหุ้นยังถูก เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองไปหมดแล้ว นอกจากนี้ เอสแอนด์พียังคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในช่วง 2 ปีข้างหน้า

ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากข่าวร้ายเช่น อัตราเงินเฟ้อ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป ดังนั้นในปีหน้า จึงมีความท้าทายมากขึ้น สำหรับตลาดหุ้นเอเซีย-แปซิฟิก โดยคาดว่า ตลาดหุ้นโตเกียวจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับภูมิภาค ส่วนตลาดหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคได้แก่ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไทย ลอร์เรน ตันผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดหุ้นเอเซีย-แปซิฟิกของเอสแอนด์พี ระบุ

ทั้งนี้ เอสแอนด์พี มีมุมมองปานกลาง หรือ Neutral ต่อตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียน แต่ราคาหุ้นยังนับว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ถึงแม้จะตอบรับปัจจัยบวกต่างๆไปแล้ว ส่วนตลาดหุ้นที่ได้รับการให้คำแนะนำได้แก่ ตลาดหุ้นมาเลเซีย และสิงคโปร์ได้รับคำแนะนำ เท่าตลาด หรือ Marketweight โดยให้เป้าหมายดัชนีที่ 1,500 จุด และ 4,200 จุดตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้น เอสแอนด์พีอิควิตี้รีเสิร์ชคาดว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกปีหน้าอาจไม่ร้อนแรงอย่างในปีนี้ เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่ลดทอนปัจจัยบวกจากความต้องการและการขยายตัวของรายได้ประชาชาติในจีนที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค

นอกจากนี้ เอสแอนด์พี เชื่อว่า ตลาดเงินในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกยังคงมีความน่าลงทุน แม้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงในปีหน้า แต่ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

ส่วนตลาดสินเชื่อและตลาดหุ้นอาจเผชิญความท้าทายมากขึ้น แม้ความผันผวนของตลาดเงินโลกจะบรรเทาลงแล้วก็ตาม
โดยเอสแอนด์พี ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มมีเสถียรภาพในปีหน้า แม้เผชิญความผันผวนในตลาดเงินในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีบริษัทราว 80% ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือจากเอสแอนด์พีในระดับน่าลงทุนและมีแนวโน้มมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ดี เอสแอนด์พีเตือนว่า ความท้าทายด้านคุณภาพของสินเชื่อในตลาดเงิน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากขึ้นอาจส่งผลให้จำนวนบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับน่าลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนปี 2008 เอสแอนด์พี มองว่า ว่า อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพีอาเซียนปีหน้าจะอยู่ที่ 6.4% ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูง โดยมีอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เป็นแรงขับเคลื่อนการขยายตัว เช่นเดียวกับเงินทุนไหลเข้าซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอาเซียน
ส่วนตัวเลขประมาณการการขยายตัวของจีดีพีประเทศอาเซียนมีดังนี้ อินโดนีเซียจะขยายตัว 6.3%-6.8 มาเลเซียจะขยายตัว 5.8%-6.2% ฟิลิปปินส์จะขยายตัว 5.8%-6.3% สิงคโปร์จะขยาวตัว 5.3%-5.8% ไทยจะขยายตัว 4.0%-4.5% และเวียดนามจะขยายตัว 7.8%-8.3%


* ซีมิโก้ คาด สิ้นปีดัชนีฯ 960 จุด ปีหน้า 1,000 จุด
นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO) กล่าวว่า ทิศทางของดัชนีฯในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนได้ขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ต เพราะก่อนหน้านี้ได้มีแรงซื้อเข้ามามากแล้ว หลังได้ปัจจัยหนุนจากคาดว่าการเมืองที่มีความชัดเจนจะช่วยหนุนเศรษฐกิจขยายตัว จากนั้นราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม เนื่องจากเป็นการซื้อเก็งกำไรหุ้นบริษัทที่มีผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาดี

ส่วนทิศทางของดัชนีฯในสิ้นปีนี้ว่า จะปรับเพิ่มขึ้นถึงระดับ 960 จุด โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว หลังจากมีการกำหนดวันเลือกตั้ง วันที่ 23 ธันวาคม ส่วนแนวโน้มปีหน้าคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับขึ้นไปถึง 1,000 จุดในช่วงไตรมาส 3 หลังจากที่จะได้รัฐบาลชุดใหม่ และได้กำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง หลังจากกองทุนบางแห่งติดนโยบายที่เลือกลงทุนได้ในเฉพาะประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยเลือกลงทุนบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตทางธุรกิจในปีหน้าสูง


* เชียร์ซื้อ BEC-MCOT-EPCO-CK-ITD-TSTH รับเลือกตั้ง
สำหรับหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง คือ หุ้นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ เนื่องจากในช่วงเวลานี้ทางพรรคการเมืองจะมีการหาเสียง ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในธุรกิจดังกล่าว โดยหุ้นที่โดดเด่นคือ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC) บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MCOT) และบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) เนื่องจากเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อและจะมีรายได้สนับสนุนจาการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ

อย่างไรก็ตาม แนะนำ BEC น่าสนใจมากกว่าหุ้น MCOT เนื่องจากได้รับผลดีจากผังรายการที่มีความชัดเจนกว่า โดยราคาพื้นฐาน BEC ปีนี้อยู่ที่ 25.70 บาท ส่วน MCOT ให้ราคาเหมาะสมที่ 27.10 บาท ด้าน EPCO แนะนำให้เก็งกำไรได้ เนื่องจากได้รับผลประโยชน์จากการหาเสียงเช่นกัน ส่วนประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น EPCO ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ จนกว่าจะทำลดทุนได้เรียบร้อยไม่น่าส่งผลกระทบต่อหุ้นแต่อย่างใด และยังแนะนำให้ซื้อ เพราะเชื่อว่าหากปลด SP ราคาหุ้นมีโอกาสที่จะดีดกลับขึ้นมาได้

นอกจากนี้ยังมี หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นการเลือกตั้งอีกเช่นกัน เนื่องจากปีหน้าจะมีโครงการเมกะโปรเจ็กของรัฐบาลที่จะทยอยออกมา ทั้งนี้ แนะนำหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการออกมาค่อนข้างดี และราคายังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง และมีโอกาสที่จะคว้าโครงการเมกะโปรเจ็กของรัฐบาลได้ รวมทั้งหุ้นกลุ่มเหล็กอย่าง บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) ก็ได้รับผลประโยชน์จากการขายเหล็กให้กับโครงการเมกะโปรเจ็กเช่นกัน และยังได้เปรียบผู้ค้าเหล็กรายอื่นในแง่ที่มีวัตถุดิบเอง ทำให้สามารถกำหนดต้นทุนการผลิตได้ โดยประเมินราคาพื้นฐาน ITD ที่ 8.90 บาท CK ที่ 11.70 บาท และ TSTH ที่ราคา 2.75 บาท


* หุ้นพลังงาน เชียร์ PTTEP น้ำมันพุ่งรับเนื้อๆ
ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานจะได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ทรงตัวระดับสูงจึงถึงปีหน้า เนื่องจากรายได้ธุรกิจพลังงานจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบ แต่ทั้งนี้ก็ยังประเมินไม่ได้ว่าทรงตัวอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ เพราะมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยแนะนำ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาค่อนข้างดี และเป็นจะได้รับผลประโยชน์จากการสำรวจแหล่งก๊าซเพราะในปีหน้าพลังงานก๊าซจะมีผู้บริโภคใช้กันค่อนข้างสูง หลังจากราคาน้ำมันในประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ PTTEP ได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก


* กลุ่มแบงก์ ปีหน้ารุ่งหน้า BBL-KBANK-SCB หลังหมดภาระตั้งสำรอง
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังแนะนำให้ซื้อเช่นกัน เนื่องจากปีหน้าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะมีผลประกอบการค่อนข้างโดดเด่น เพราะว่าเงินทุนที่ต้องตั้งสำรองเพื่อรองรับในภาวะเศรษฐกิจปี 50 ที่ชะลอตัวได้หมดไปภายในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ภายปีหน้า กลุ่มธนาคารฯ จะมีรายได้จากการดำเนินงานอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องแบ่งเงินเพื่อมากันสำรองแต่อย่างใด แนะนำหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) (BBL) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เพราะจะมีการเติบโตจากค่าธรรมเนียมและสินเชื่อได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีพื้นฐานที่ค่อนข้างแกร่ง โดยประเมินราคาพื้นฐานของ BBL ไว้ที่ 150 บาท KBANK ไว้ที่ 93 บาท และ SCB ไว้ที่ 79 บาท


* SCIBS คาดดัชนีปลายปีแตะ 900 จุดได้ เหตุราคาหุ้นโภคภัณฑ์หนุน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์สิ้นปีนี้สามารถแตะ 900 จุดได้ ส่วนปีหน้าดัชนีฯ จะสามารถขึ้นไปถึง 1000 จุดได้ เนื่องจากได้รับผลดีจากราคาสินค้ากลุ่มโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นช่วยหนุนให้ราคาหุ้นที่อิงกับสินค้าในกลุ่มนี้ได้รับผลดี
แต่อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ปรับตัวแพงขึ้น ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

" ราคาสินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตข้างหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากประเทศจีนที่มีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในอนาคตข้างหน้าประเทศจีนยังมีเมกะโปรเจ็กต่างๆ อาทิ การสร้างถนน และยังเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิค 2008 จึงน่าจะทำให้เศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มเติบโต อย่างไรก็ตามหากอนาคตจีนประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจก็อาจส่งผลลบต่อราคาสินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์ให้มีการปรับตัวลง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มที่อิงกับราคาสินค้าในกลุ่มนี้ให้ปรับตัวลดลงได้" นายสุกิจ กล่าว

นายสุกิจ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 860-850 จุด จะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่จะมีการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ เพราะนักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com