May 16, 2024   3:16:17 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตะลึง ! เปิดพอร์ตตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ เจอหุ้นเก็งกำไรยกแผง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 13/11/2007 @ 04:52:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตะลึง ! เปิดพอร์ตตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ เจอหุ้นเก็งกำไรยกแผงทั้ง IEC-EWC-EMC-TUCC- APURE-RICH-POWER-BSBM-ASL-PICNI-IT-SAFARI และ N-PARK แถม 2 หุ้น IPO น้องใหม่ยังตบเท้าขอเข้าสังกัดด้วยคน วงการคาดวันนี้ MILL คึกรับน้องใหม่ BWG สายสัมพันธ์เดียวกันทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน บล.เคทีบี และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ได้รับการจัดสรรหุ้น แนะหาจังวะเก็งกำไร

หากกล่าวได้ยินชื่อตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ ในหุ้นไทยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยมักจะคาดหวังว่าหุ้นตัวนั้นๆจะปรับตัวขึ้นแรงได้ในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากเป็นที่รับรู้ในวงกว้างว่านายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหลายชายนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดังนั้น เมื่อพบชื่อดังกล่าวปรากฎในรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทใด ก็จะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า หุ้นตัวนั้นจะปรับตัวพิ่มขึ้นได้แน่ และส่วนใหญ่ก็มิได้ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เห็นได้จากบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) ( MILL) ที่ปรากฎรายชื่อ นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามาถือหุ้น เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรกราคาหุ้นก็พุ่งเกือบ 100% จากราคาไอพีโอที่ระดับ 2.90 บาท ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่บมจ.เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) น่าจะได้รับความสนใจไม่แพ้ MILL

แหล่งข่าวกล่าวว่า BWG เข้าเทรดวันแรกราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นมาเหนือราคาไอพีโอที่ 3.00 บาทได้ แต่จะแรงขนาดไหนคงต้องขึ้นอยู่กับภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในวันนั้นด้วย โดยคาดว่าวันนี้นักลงทุนน่าจะเข้ามาเก็งกำไร MILL ก่อนที่ BWG จะเข้าเทรดในวันที่ 14 พ.ย.นี้ เนื่องจากทีมงานที่ปรึกษาทางการเงินเป็นทีมเดียวกับ BWG แถมการจัดสรรหุ้นไอพีโอครั้งนี้ ตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ได้รับการจัดสรรหุ้นเช่นเดียวกับ MILL ด้วย 2 ประเด็นดังกล่าว จึงน่าจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนหุ้น MILL ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนหาจังหวะเก็งกำไร MILL


*** เปิดพอร์ต ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ - จุฬางกูร พบถือหุ้นเก็งกำไรเพียบ

จากการสำรวจพอร์ตการลงทุนของนายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ พบว่าถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน 13 บริษัทซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นเก็งกำไร เช่น บริษัท ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)(TUCC) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.00 % ,บริษัท ริช เอเชีย สตีล จำกัด (มหาชน)(RUCH) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.00%, บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน)(EWC) ถือหุ้นในสัดส่วน 18.42 % , บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน)(N-PARK) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.15% , บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน)(EMC) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.30%

บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน)(IEC) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.21%, บริษัท เพาเวอร์-พี จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 8.38% , บริษัท บางปะกง เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) (BSBM) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.91%,บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) (SAFARI) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.54% , บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน)(ASL) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.33%, บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)(APURE) ถือหุ้นในสัดส่วน 3.74%, บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(PICNI) ถือในสัดส่วน 2.08% ,บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน)(IT) ถือในสัดส่วน 0.75%

ด้านตระกูล จุฬางกูร ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ นั้น จากการสำรวจพอร์ตการลงทุนของตระกูล จุฬางกูร พบว่าในส่วนของ นายทวีฉัตร จุฬางกรู ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน 23 บริษัทซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นเก็งกำไร เช่น บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (PSAP) ถือหุ้นในสัดส่วน 4.00 %,บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) ถือหุ้นในสัดส่วน 5.00% , บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน)(MACO) ถือหุ้นในสัดส่วน 4.00%, บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(SAMART) ถือหุ้นในสัดส่วน 5.00% , บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(YNP) ถือหุ้นในสัดส่วน 5.00 %

บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน)(SAMTEL) ถือหุ้นในสัดส่วน 4.17% , บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) (GRAMMY) ถือหุ้นในสัดส่วน 3.26% ,บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน)(SIM) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.65%, บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON) ถือหุ้นในสัดส่วน 14.40%, บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) (N-PARK) ถือหุ้นในสัดส่วน 7.79% , บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) (KMC) ถือหุ้นในสัดส่วน 5.09%

บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)(ITD) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.57 % ,บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน)(MIDA) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.19%, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(NOBLE) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.53%, บริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน)(BFIT) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.23%, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.76%, บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) (SAFARI) ถือหุ้นในสัดส่วน 9.50%
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)(LOXLEY) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.70% ,บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)(STEC) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.27%, บริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน)(FNS) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.61%, บริษัท ไทยสตีลเคเบิล จำกัด (มหาชน)(TSC) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.94%, บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน)(SYRUS) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.78%, บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)( ASP) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.38%

ด้านนายณัฐพล จุฬางกูร นั้น พบว่าถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(YNP) ถือหุ้นในสัดส่วน 6.00%, บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.00%, บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.67%, บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)(ASCON) ถือหุ้นในสัดส่วน 1.51%, บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) (N-PARK) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.63% ,บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน)(CNT) ถือหุ้นในสัดส่วน 0.62% และ บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 3.15%

***BWG ยังมั่นใจหุ้นเทรดวันแรก 14 พ.ย.นี้ เหนือจองที่ 3 บาทแน่ ยันไม่ใช่หุ้นการเมือง แม้มี จึงรุ่งเรืองกิจ โผล่ในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่

นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า มั่นใจว่าแม้ภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนในระยะนี้ ก็จะไม่มีผลกระทบกับราคาหุ้น BWG ที่จะทำการซื้อขายวันแรก 14 พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้คาดว่าระดับราคาจะปรับขึ้นเหนือราคาคาจองที่ 3 บาท เพราะบริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ไม่น่ามีปัญหา เพราะปัจจัยพื้นฐานเราแข็งแกร่ง พีอีก็ยังต่ำ มีส่วนลดอีก ภาวะตลาดไม่ว่าจะเป็นอย่างไรแต่ทั้งหมดก็อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรามีพื้นฐานที่ดีหุ้นเราก็จะได้รับความสนใจ นายสุวัฒน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ BWG มีผู้ถือหุ้นกลุ่มหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองว่า บริษัทฯ ไม่ใช่หุ้นการเมืองแม้ว่าจะมีชื่อ นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ อยู่ในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือจำนวน 5,000,000 หุ้น
โดยมองว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะในทางอ้อมจะช่วยเรื่องขยายฐานธุรกิจได้ เนื่องจาก นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้หนึ่งที่ลงทุนอยู่ในหลายบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท ที่ประกอบกิจการประเภทโรงงานอุตสาหกรรมด้วย จึงอาจถือได้ว่าบริษัทฯ ได้พันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มทางอ้อม

ขณะที่ความคืบหน้างานรับบริหารจัดการเตาเผาขยะอันตรายของกรมโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูมูลค่า 1,500 ล้านบาทนั้น ยังอยู่ในขั้นตอนรอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากเป็นโครงการมูลค่าเกิน 1 พันล้านบาท โดยคาดว่า บริษัทฯ จะมีการเซ็นสัญญากับทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ภายในเดือนธันวาคมนี้

ทั้งนี้เงื่อนไขสัญญาดังกล่าว บริษัทฯ จะเป็นผู้รับบริหารจัดการขยะพิษเพื่อนำไปกำจัดในเตาเผาดังกล่าวเป็นระยะเวลา 20 ปี และในเงื่อนไขสัญญาเมื่อครบปีที่ 20 บริษัทฯ จะสามารถต่อระยะเวลาสัญญาได้อีก 10 ปี ซึ่งเตาเผาขยะพิษดังกล่าวถือเป็นเตาเผาขยะพิษแห่งแรกในประเทศไทย จึงมั่นใจว่าจะมีฐานลูกค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมโรงงานที่มีขยะพิษเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

***ที่ปรึกษาฯ BWG มั่นใจเทรดวันแรก BWG ยืนเหนือราคาไอพีโอ 3 บาทแน่

แหล่งข่าวจาก บล.เคทีบี ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ.เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) กล่าว
กับ eFinanceThai.com ว่า แม้ระยะนี้ภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผผวน แต่ก็จะไม่กระทบกับการเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นวันแรก 14 พ.ย.นี้

ทั้งนี้คาดราคาหุ้นจะอยู่เหนือราคาจองที่ 3.00 บาท ได้ เพราะนักลงทุนจะยังคงให้ความสำคัญของพื้นฐานบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ผลการดำเนินงานขยายตัวต่อเนื่อง 25-30% ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา มากกว่าภาวะตลาดในขณะนั้น
ส่วนกรณีที่มีชื่อ นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น BWG โดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ระบุเพียงว่าเป็นเรื่องของการลงทุนของนักลงทุนเท่านั้น


***เซียนหุ้นคาด BWG เทรดวันแรกคึกเหมือน MILL เหตุได้แรงส่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าวถึงกรณีที่บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG เข้าซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2550 โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชน (ไอพีโอ) ราคาหุ้นละ 3 บาท ว่า ราคาหุ้น BWG มีแนวโน้มที่อาจจะยืนเหนือราคาจองที่ 3 บาทได้ในการซื้อขายวันที่ 14 พ.ย. นี้ เนื่องจากน่าจะได้รับปัจจัยบวกทางจิตวิยาการลงทุน โดยน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ MILL ที่เปิดการซื้อขายในวันแรก ก็ทำให้ราคาหุ้น MILL ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปค่อนข้างแรงมาก

นอกจากนี้ BWG ยังมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นคล้ายๆ กันกับบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ซึ่งมีผู้ถือหุ้นหลักคือ ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ และยังมีที่ปรึกษาด้านการเงินเหมือนกัน คือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด ก็น่าจะส่งผลต่อจิทวิทยาการลงทุนให้นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาสนใจหุ้น BWG เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะประมูลเตาเผาขยะได้ ก็น่าจะส่งผลต่อภาพรวมของ BWG ในระยะสั้นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า แนวโน้มธุรกิจอุตสาหกรรมโรงงานกำจัดของเสีย น่าจะแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเริ่มมีบริษัทอื่น เข้ามาดำเนินธุรกิจกำจัดของเสีย โดยอาจจะเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดได้ และน่าจะส่งผลเสียต่อ BWG เช่นกัน

*** บล.สินเอเซียประเมินราคาเหมาะสม BWG ปี 51 ไว้ที่ระดับ 3.78 บาท/หุ้น

บทวิเคราะห์จาก บล.สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับ บมจ. เบตเตอร์ เวิลด& กรีน (BWG) ในส่วนของการเงิน โดยระบุว่ากำไรปกติปี 49 เพิ่มขึ้น 37.4% YoY: BWG มีกำไรปกติปี 49 ที่ 70 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น 70.6% YoY จากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมการขายในช่วง 1H49 ที่มีการให้ส่วนลดเพื่อจูงใจให้ลูกค้าโดยเฉพาะในส่วนสิ่งปฏิกูลฯ ที่เป็นอันตราย

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเป็น 35.7% จาก44.6% ในปี 48 ปัจจัยหลักจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการขนส่งที่สูงขึ้นตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกและมีต้นทุนจากการบำบัดนํ้าเสียเพิ่มเพราะมีปริมาณฝนมากกว่าปกติ ซึ่งระบบบำบัดน้ำเสียเดิมที่มีอยู่รองรับไม่ได้ทั้งหมด แต่ในส่วนกำไรปกติปี 49 ยังเติบโตในอัตรา 37.4% YoY จากจำนวนลูกค้าและปริมาณสิ่งปฏิกูลฯ ที่ให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 2.37 แสนตัน จากปี 49 ที่ 1.39 แสนตัน

กำไรปกติ 1H50 เพิ่มขึ้น 36.1% YoY: กำไรปกติ 1H50 อยู่ที่ 38 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการให้บริการสูงขึ้น 44.0% จาก 1H49 ตามปริมาณสิ่งปฏิกูลฯ ที่รับมาจัดการที่เพิ่มขึ้น 34.6% YoY แต่อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยลดลงเป็น 37.0% จากการให้ส่วนลดกับลูกค้ารายใหญ่ที่มูลค่างาน 50 ล้านบาท และรับรู้ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ถาวรที่ใช้ในปี 50 และค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มขึ้น

คาดว่า กำไรปกติในปี 50 และ 51 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง: คาดว่า กำไรปกติปี 50 BWG จะเพิ่มขึ้น 48.0%มาอยู่ที่ 104 ล้านบาท และปี 51 คาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% YoY โดยคาดว่ากำไรปกติของ BWG จะเพิ่มขึ้นตามจากภาวะเศรษฐกิจและการเติบโตของโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ทำให้แนวโน้มสิ่งปฏิกูลในประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และความเข้มงวดของภาครัฐ ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจการให้บริการจัดการสิ่งปฏิกูลฯ ยังคงมีโอกาสในการขยายตัวต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ให้ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 3.78 บาทต่อหุ้น โดยใช้ P/E ที่ 10 เท่า: ACLS ประเมินมูลค่าของ BWGโดยใช้วิธี P/E Ratio ที่ 10 เท่า และใช้ EPS จากกำไรปกติปี 51 ที่ 0.38 บาทต่อหุ้น จะได้ราคาเป้าหมายที่ 3.78 บาทต่อหุ้น

***บล.เมอร์ชั่นฯ ยกมือเชียร์ BWG ให้ราคาเหมาะสม 3.46-4.06 บ.


บทวิเคราะห์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ระบุว่า BWG ให้บริการจัดการสิ่งปฏิกูลฯและวัสดุที่ไม่ใช้ครบวงจรทั้งสิ่งปฏิกูลฯที่ไม่เป็นอันตราย(Non-Hazardous Waste) และสิ่งปฏิกูลฯที่เป็นอันตราย(Hazardous Waste) โดยวิธีฝังกลบ รวมทั้งให้บริการบำบัดน้ำเสียอุตสาหกรรม ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าประมาณ 1,700 ราย ส่วนใหญ่ทำสัญญาการให้บริการเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มการขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยภาครัฐโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ออกระเบียบให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องมีการกำจัดสิ่งปฏิกูลฯอย่างถูกวิธี เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจปรับปรุงคุณภาพสิ่งปฏิกูลฯที่เป็นของเหลว(Liquid Blending) และสิ่งปฏิกูลฯที่เป็นของแข็ง(Solid Blending) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือเชื้อเพลิงทดแทนในเตาเผาซีเมนต์และเตาเผาอุตสาหกรรมต่างๆซึ่งจะดำเนินการให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2551 รวมถึงการเข้าร่วมกลุ่มกิจการร่วมค้าได้รับสัมปทานการบริหารโครงการเตาเผาขยะอุตสาหกรรมของกรมโรงงานอุตสาหกรรมระยะเวลา 20 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาได้ในช่วงต้นปี 2551 เช่นกัน

ผลการดำเนินงานปี 2550 คาดว่ารายได้จะเติบโตถึง 50% อยู่ที่ 700 ล้านบาท หลังจากบริษัทหันมาเน้นให้บริการสิ่งปฏิกูลฯที่เป็นอันตรายที่มีอัตราการให้บริการสูงกว่า ทำให้กำไรสุทธิ 123 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท ขณะที่ปี 2551 รายได้ของบริษัทยังคงเติบโต 19% อยู่ที่ 831 ล้านบาท จากการขยายธุรกิจปรับปรุงคุณภาพสิ่งปฏิกูลฯที่เป็นของเหลวและของแข็ง ทำให้กำไรสุทธิในปี 2551 อยู่ที่ 144 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.45 บาท และคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผล สำหรับปี 2550 และปี 2551 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และ 0.21 บาทตามลำดับ

เราประเมินมูลค่าเหมาะสม (Fair Value) ของหุ้น BWG ณ.สิ้นปี 2550 และ 2551 เท่ากับ 3.46 บาทและ4.06 บาทตามลำดับ โดยใช้วิธี DCF ที่ WACC เท่ากับ 12.5% เทียบเท่ากับ P/E Ratio ที่ระดับ 9 เท่าหรือ PBV ที่ 1.7 เท่า และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล(Dividend yield) เท่ากับ 5.2%




:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com