April 29, 2024   6:47:20 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > โบรกเผยหุ้นเด็ด15ตัว...
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 23/11/2007 @ 08:45:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นไทยยังมีหวังลุ้นเดือนธันวาคมดัชนีกลับมายืนจุดเดิม เชื่อแรงขายใกล้หมดแล้ว รอใกล้เลือกตั้งหุ้นวิ่งอีกครั้ง ด้านสมาคมนักวิเคราะห์เผยโผหุ้นเด็ด 15ตัว ที่ต่ำกว่าพื้นฐานอาทิ BBL-TTA-SCC-MAJOR-PTTCH-KBANK เป็นต้น แถมอัตราผลตอบแทนสูงกว่า 4% เพียบ

วานนี้(22พ.ย.)ตลาดหุ้นไทย ปิดที่ 808.82 จุด เพิ่มขึ้น 1.24 จุด มีมูลค่าการซื้อขายรวม 18,184.74 ลบ.โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 40.55 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,575.71 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,535.16 ล้านบาท

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนไม่ต่ำกว่า 100 จุดนั้น ถือว่าเป็นการปรับลดลงที่ต่ำมากแล้ว เนื่องจากในรอบ 4 ปีที่ผ่านมามีสถิติการขายของต่างชาติติดต่อกันอยู่ในระหว่าง 2.6-5.5 หมื่นล้านบาทต่อรอบ ซึ่งรอบนี้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาแล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงระดับดังกล่าว

ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่านักลงทุนต่างชาติอาจจะเทขายไปจนถึงระดับสูงสุดที่ 5.5หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ดัชนีปรับตัวลงไปอีก ซึ่งถ้าหากดัชนียังปรับตัวลงไปอีก จะทำให้DECEMBER EFFECT เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม

"ถ้าหากดัชนียังปรับตัวลงไปต่ออีก 1 อาทิตย์ จะทำให้มีการปรับตัวขึ้นอีกในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งมีเหตุผลหลักๆ อยู่ 2ประการคือ การรีบาวนด์หลังจากที่ดัชนีปรับตัวลงแรง กับช่วงสองสัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่หุ้นจะวิ่งกลับมาอยู่ใกล้เคียงกับที่เคยลงไป"นายสมบัติกล่าว

สำหรับการปรับตัวของดัชนีหุ้นไทย มีสาเหตุหลักเกิดจากความกังวลในเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาซับไพร์ม และความเสียหายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากการเข้าลงทุนในสินเชื่อซับไพร์ม ซึ่งเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ จึงนำมาสู่การขายทำกำไรของนักลงทุนในหลายตลาด

"ดัชนีที่ปรับลดลง ไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่เป็นไปทั่วโลก ซึ่งปัญหาหลักจะมาจากความเสียหายจากซับไพรม์ ขณะที่ปัจจัยการเมืองแทบจะไม่มีผลกดดันดัชนีเลย"นายสมบัติกล่าว

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง PTT ที่ศาลปกครองจะพิจารณานัดแรกในวันที่ 30พฤศจิกายนนี้ แต่ประเด็นนี้มีน้ำหนักเพียงแค่ 5 % เท่านั้น ไม่ถือว่ามีนัยสำคัญอะไร ส่วนเรื่องการเมืองคาดว่านักลงทุนต่างชาติยังให้น้ำหนักอยู่เชิงบวกอยู่ เพราะหลังเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนได้เป็นรัฐบาลการทำงานย่อมคล่องตัวกว่ารัฐบาลชั่วคราว

ทั้งนี้จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่นักลงทุนควรจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น เพราะจากการประเมินของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 807.58 จุด พบว่าหุ้นบลูชิพที่มีราคาปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานประมาณ 15-20% แล้ว ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงมากกว่า 4 % อยู่หลายบริษัทด้วยกัน

อาทิหุ้น BBL ให้มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 150.74 บาท มีส่วนต่าง 25 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2.73 % พีอีอยู่ที่ 10.89 เท่า หุ้น TTA มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน66.94 บาท มีส่วนต่าง 25 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 3.99 % พีอีอยู่ที่ 6.98 เท่า
หุ้น SCC มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 293.24 บาท มีส่วนต่าง 24 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 6.77% หุ้น MAJOR มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 20.25 บาท มีส่วนต่าง 21 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 5.29 % หุ้นPTTCH มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน143.59 บาท มีส่วนต่าง 19 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.38%

หุ้น PTT มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 424.79 บาท มีส่วนต่าง 18 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 3.12 % หุ้นPS มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 9.49 บาท มีส่วนต่าง 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่4.06 % หุ้น KBANK มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 97.66 บาท มีส่วนต่าง 18 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่2.36% หุ้น CCET มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 8.49 บาท มีส่วนต่าง 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 6.02 %

ส่วนหุ้น TOP มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 100.50 บาท มีส่วนต่าง 17 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.37% หุ้น RATCH มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 52.14 บาท มีส่วนต่าง 15 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.86% หุ้นPTTEP มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 159.73 บาท มีส่วนต่าง 16 % ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2.42 %

หุ้น EGCO มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 130.42 บาท มีส่วนต่าง 11%ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.10 % หุ้น SCB มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 89.38 บาท มีส่วนต่าง 9% ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2.95 % และ หุ้น BANPU มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน 394.20 บาท มีส่วนต่าง 9% ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2.72 %

อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่ในสายตานักลงทุนต่างชาติยังดีกว่า ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลผสมก็ตามที โดยนักวิเคราะห์เจ้าหลายค่าย ได้ประเมินตัวเลขอัตราการเติบโตในส่วนกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่จะเติบโตขึ้นในปีหน้าอีกประมาณ 15-20 %

สำหรับตัวเลขการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า คงมาจากการขยายกำลังการผลิต และเพิ่มการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากตัวเลขการนำเข้าวัตถุดิบ และเครื่องจักรของบริษัทเอกชน มีการขยายตัวขึ้น ซึ่งสัญญาณดังกล่าวเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นว่าของภาคเอกชนว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะต้องเติบโตดีอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าไม่เชื่อมั่น คงไม่มีการขยายกำลังผลิตเพิ่ม

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ประเด็นที่กดดันให้ตลาดหุ้นลงแรง มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นเพียงส่วนประกอบ และเชื่อว่าที่นักลงทุนต่างชาติยังคงกังวล คือความมีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ไม่ใช่ความกังวลที่เกิดจากการเลือกตั้งว่ากลุ่มอำนาจเก่าหรือกลุ่มอำนาจใหม่จะได้เป็นรัฐบาล

ข่าวหุ้น[/size:15729bae23">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com