April 29, 2024   3:56:21 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยคืนชีพ หลังเฟดลดดบ.-พปช.ฟื้นประชานิยม
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 01/02/2008 @ 11:00:25
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นไทยคืนชีพ หลังเฟดลดดบ.-พปช.ฟื้นประชานิยม


ตลาดหุ้นไทย ฟื้นคืนชีพ ปิดบวกกว่า 20 จุด มูลค่าการซื้อหนาแน่นกว่า 3 หมื่นลบ. ขณะที่ฝรั่งหวนคืนตลาดหุ้น ซื้อสุทธิ 3.7 พันลบ. มากสุดตั้งแต่ต้นปี วงการ ชี้ ได้ยาแรง เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% ช่วยหนุน แถมปัจจัยในประเทศแจ่มใส การเมืองชัดเจนหลังโผครม. มีแนวโน้มคลอดแน่ๆ ภายในสัปดาห์นี้ อีกทั้งยังได้แผนฟื้นนโยบายประชาชนนิยม ของพปช. ที่หวังดึงความเชื่อมั่นรากหญ้า กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ช่วยดันดัชนีอีกแรง วงการ ระบุชัด ได้รัฐบาลใหม่เท่ากับปลดล็อกปัจจัยลบที่มีอยู่ เชียร์เล่น ITD- CK- STEC- LH -HEMRAJ- QH -SCB- KBANK -BBL -KTB- BAY ที่ได้รับอานิสงส์ดอกเบี้ยลด และนโยบายประชานิยมบวกเมกะโปรเจ็กได้เกิด

ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนทั่วโลก กับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) และอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.50% ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เมื่อคืนวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ตามคาด เพื่อหยุดยั้งภาวะการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและภาวะสินเชื่อตึงตัว ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดลดลงเหลือ 3.00% ส่วนดอกเบี้ยมาตรฐานลดลงเหลือ 3.50%
ดังนั้นเมื่อเฟดลดดอกเบี้ยลงจึงได้รับการขานรับเป็นอย่างดี จากนักลงทุน โดยเฉพาะการกับลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกที่ส่วนใหญ่ต่างก็ปรับตัวขึ้นรับข่าวดีดังกล่าว เนื่องจากมองว่าการปรับดอกเบี้ยลงครั้งนี้ น่าจะช่วยแก้ปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ดีขึ้น และหวังว่าการดำเนินการครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทั่วโลกตามไปด้วย เพราะฉะนั้นเฟดลดดอกเบี้ยจึงกลายเป็นจิตวิทยาด้านบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ (31 ม.ค.) ทันที โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น ดัชนีฯปรับตัวขึ้นทันทีที่ตลาดฯ เปิดการซื้อขาย และสามารถยืนในแดนบวกได้อย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากปัจจัยเรื่องของเฟด อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีฯ ก็คือปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ที่เริ่มมีความชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ ที่คาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 วันนี้จะรู้ผลดังกล่าว จึงทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้เป็นที่รู้กันว่า การเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ยังคงเน้นการนำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้อีกครั้ง โดยรือฟื้นแทบจะทุกนโยบายไม่ว่าจะเป็น เรื่องการขายสลาย 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน นโยบายกองทุนหมู่บ้าน กองทุนเอสเอ็มแอล ที่เตรียมจะจัดสรรงบประมาณลงสู่ท้องถิ่นอีกครั้งหนึ่ง ตลอดจน 30 บาทรักษาทุกโรค หรือโคล้านตัว ซึ่งการใช้นโยบายนี้อีกครั้ง เท่ากับเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในระดับรากหญ้าให้กลับมาอีกครั้ง และส่งผลต่อเนื่องถึงการใช้จ่าย และมีเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกรอบหนึ่ง จากก่อนหน้าที่รัฐบาลในชุดปัจจุบันที่กำลังจะอำลาตำแหน่งชะลอไว้หลายโครงการ
นอกจากนั้นการกลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ของพรรคไทยรักไทยเดิม ในนามพลังประชาชนครั้งนี้ ยังการันตีถึงความคืบหน้าว่ารัฐบาลใหม่จะสานต่อการก่อสร้างเมกะโปรเจ็ก หรือ รถไฟฟ้า 5 สายโดยเร็ว เพื่อให้เกิดการลงทุนในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ดังนั้นเมื่อกระตุ้นทั้งเรื่องการใช้จ่าย การอุปโภค บริโภคภายในประเทศ ผ่านประชานิยมแล้ว ก็มีกระตุ้นผ่านการลงทุนเมกะโปรเจ็ก เท่ากับว่ารัฐบาลใหม่น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัวจากปัญหาความซบเซา ในช่วงหลังการปฏิรูปการปกครอง รวมไปถึงปัจจัยลบจากต่างประเทศที่เข้ามากระทบได้ ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาแล้ว ประเด็นเหล่านี้ จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง
วานนี้จึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ กลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงหุ้นรายตัวที่คาดกันว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการประชานิยมของรัฐบาล และหุ้นที่เกี่ยวพันกับการเมืองด้วย อาทิเช่น ราคาหุ้น PTT อยู่ที่ 326 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 4.49% มูลค่าการซื้อขาย 4,535.41 ล้านบาท PTTEP อยู่ที่ 147 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ 3.52% มูลค่าการซื้อขาย 1,515.05 ล้านบาท BBL อยู่ที่ 118 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 3.51% มูลค่าการซื้อขาย 1,711.66 ล้านบาท SCB อยู่ที่ 76 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 1.33% มูลค่าการซื้อขาย 3,373.32 ล้านบาท PTTCH อยู่ที่ 97.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.50 บาท หรือ 7.14% มูลค่าการซื้อขาย 750.81 ล้านบาท
KBANK อยู่ที่ 83 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 5.06% มูลค่าการซื้อขาย 929.64 ล้านบาท TOP อยู่ที่ 76 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 4.11% มูลค่าการซื้อขาย 929.64 ล้านบาท LOXLEY อยู่ที่ 2.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.24 บาท หรือ 10.44% มูลค่าการซื้อขาย 248.43 ล้านบาท หุ้น STEC อยู่ที่ 5.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 3.85% มูลค่าการซื้อขาย 117.45 ล้านบาท น WIN อยู่ที่ 1.21 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท หรือ 2.54% มูลค่าการซื้อขาย 59.50 ล้านบาท และราคาหุ้น SC อยู่ที่ 12.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 5.17% มูลค่าการซื้อขาย 197.52 ล้านบาท
ขณะที่ ดัชนีฯ ตลาดปิดที่ 784.23 จุด เพิ่มขึ้น 20.75 จุด หรือ 2.72% มูลค่าการซื้อขาย 33,860.05 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 เดือน ด้านนักลงทุนต่างชาติ กลับมาซื้อสุทธิ 3,778.33 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 178.08 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 3,956.41 ล้านบาท

* วงการ ชี้ หลังครม.ใหม่ลงตัว ต่างชาติกลับมาทยอยซื้อคืน
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดลง ส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ เพราะเท่ากับว่าเฟดไม่ได้ละเลยที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากสหรัฐฯ ต้องประสบปัญหาซับไพร์ม หรือลูกหนี้อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพราะปัญหาดังกล่าวลุกลามไปถึงสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในประเทศหลายแห่ง ให้ประสบกับภาวะขาดทุนจากการลงทุนดังกล่าว ดังนั้นการลดดอกเบี้ยจึงเท่ากับช่วยบรรเทาและผ่อนคลายภาระให้กับลูกหนี้ และกระตุ้นการใช้จ่ายของสหรัฐฯเอง โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐก็เพิ่งจะผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับการคืนภาษีให้ประชาชนในวงเงินรวม 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐไป ดังนั้นเมื่อรวมกับการลดดอกเบี้ยก็น่าจะเริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
"แม้อาจจะแค่จิตวิทยาช่วงสั้น แต่ก็ยังบรรเทาความกังวลของนักลงทุนลงได้บ้าง และมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นบ้านเรา ก็น่าจะเริ่มสดใสขึ้นมาบ้าง อีกทั้งการได้ครม.ใหม่ การฟื้นนโยบายประชานิยมกลับมาของพลังประชาชน ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ เพราะนโยบายเหล่านี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศคึกคักขึ้น เพราะประชาชนจะได้มีเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น รวมไปถึงเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้าด้วย เพราะน่าจะมั่นใจได้ว่ารัฐบาลชุดนี้เข้ามา เราน่าจะเห็นการก่อสร้างได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราอาจจะยังไม่รู้โฉมหน้าของรัฐมนตรีอีกหลายๆ คนก็ตาม" แหล่งข่าว กล่าว
เขากล่าวว่า ช่วงนี้ตลาดยังน่าจะตอบรับข่าวดีไปอีกซักระยะหนึ่ง และยิ่ง ครม.ใหม่ออกมาน่าเชื่อถือก็น่าจะช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นกลับมาในตลาดฯ เร็วขึ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ ที่ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี เพราะเมื่อใดที่การเมืองชัดเจน และได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว นักลงทุนก็จะกลับมาซื้อลงทุนอีกครั้ง เพราะการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ก็น่าจะกระตุ้นให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีผลตอบแทนน่าสนใจมากกว่า ในตลาดเงินซึ่งผลตอบแทนเริ่มลดลง

* ฟาร์อีสท์ เชียร์ หุ้นอสังหาฯ -แบงก์-รับเหมาฯ รับรัฐบาลใหม่-เฟดลดดบ.
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% เพื่อชะลอการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจ นั้นถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากเมื่อเช้าที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีการแข็งค่ามากขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตาม
แต่ทั้งนี้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเฟด กับไทยไม่ห่างกันมาก ดังนั้นเชื่อว่า กนง.คงจะต้องมีการประเมินถึงผลกระทบ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลก และอัตราแลกเปลี่ยนก่อนที่จะมีการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามประเทศไทยเองยังมีมาตรการกันสำรอง 30 %อยู่ จึงช่วยสกัดกั้นไม่ให้เงินทุนทะลักเข้ามามากจนเกินไป และเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาไม่น่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทันที เนื่องจากจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศด้วย โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก ด้วย
นอกจากนี้ มองว่า ประเด็นหลักที่จะกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้มีการฟื้นตัวได้ คือ ปัจจัยภายในประเทศ มากกว่า หลังจากที่การเมืองมีความชัดเจนขึ้น เพราะจะมีการทูลเกล้าฯถวายรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่จะมาดำรงตำแหน่งในสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ดัชนีฯมีการปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 800 จุด ในสัปดาห์หน้าได้ รวมถึงการที่พรรคพลังประชาชน จะนำเอานโยบายประชานิยมกลับมาใช้อีกครั้ง ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนตลาดหุ้นไทย มีการฟื้นตัวขึ้นมา แต่อย่างไรก็ดี คงต้องรอดูนโยบายด้วยว่าจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง และจะเรียกคืนความเชื่อมั่นได้มากน้อยเท่าใด
ทั้งนี้ จากการที่อัตราดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้รับประโยชน์ แนะนำ PS-LPN ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า และจะมีการนำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้ น่าจะผลักดันให้หุ้นในกลุ่ม รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้รับประโยชน์ แนะนำ TID-KTB-KBANK-SEAFCO-ASCON รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับการค้าขายภายในประเทศ อย่างกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL ได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน

* เกียรตินาคิน เชื่อ มีครม. ใหม่ ปลดล็อคปัจจัยลบตลาดฯ
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจในประทศ ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) อาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.25% ซึ่งส่งผลดีในเชิงจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยรวมถึงยังเป็นการช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจดทะเบียนต่างๆด้วย แต่ทั้งนี้หากกนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระดับดังกล่าวจริงก็ไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่ดึงดูดกระแสเงินทุนให้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะไม่มี โดยอยู่ที่ระดับ 3% เท่ากันทำให้ไม่เป็นตัวที่น่าสนใจในการหากำไรจากอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติเองก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มจึงยังไม่เข้ามาลงทุนเต็มที่ ดังนั้นจึงเป็นเพียงแค่จิตวิทยาระยะสั้นให้นักลงทุนต่างชาติอาจจะชะลอแรงขายและมีการซื้อคืนเล็กน้อย
ส่วนกรณีที่ในสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีมองว่าเป็นเพียงการปลดล็อคปัจจัยลบต่างๆที่เข้ามากระทบในช่วงที่ผ่านมา ส่วนการที่พรรคพลังประชาชนจะนำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยมากน้อยเท่าใด เพราะต้องรอดูรายละเอียดในนโยบายประชานิยมนั้นมีอะไรบ้าง
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงของเฟดรวมทั้งจะมีการจัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้าน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ดัชนีฯมีโอกาสปรับขึ้นถึงระดับ 800 จุด และมองว่าหุ้นในกลุ่มอสังาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะได้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าวโดยแนะนำ ITD- CK- STEC- LH -HEMRAJ- QH -SCB- KBANK -BBL -KTB- BAY เป็นต้น

* บล.ทิสโก้ มอง หุ้นขึ้นแค่ช่วงสั้น แนะยังต้องระวังปัญหาซับไพร์มอยู่
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับขึ้นแรงในวันนี้ว่าเป็นผลจากการตอบรับข่าวดีที่กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% เพื่อยับยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯทำให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและมีแรงซื้อเข้ามาผลักดันให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้จากมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นกว่าปกติ และราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ที่ปรับเกือบทุกตัวขึ้นประเมินว่าในวันนี้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นฝ่ายซื้อสุทธิอีกครั้ง ประกอบกับช่วงนี้นักลงทุนมีแรงซื้อเข้ามาเพื่อเก็งกำไรในหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาเติบโตดี และมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงจึงเกื้อหนุนให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวในแดนบวก อีกทั้งการเมืองที่มีความชัดเจนโดยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยและเตรียมได้ข้อสรุปรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนและทำให้บรรยากาศการลงทุนคึกคัก
อย่างไรก็ตามประเมินว่าการปรับเพิ่มขึ้นแรงของดัชนีฯวันนี้ไม่ได้สะท้อนแนวโน้มการเป็นทิศทางขาขึ้นอย่างแท้จริงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มที่ฉุดรั้งการชะลอของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีอยู่เพียงแต่ได้ผลบวกในแง่จิตวิทยาชั่วคราวจากมาตรการต่างๆของทางการสหรัฐฯทั้งมาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบ คืนภาษีและเดินหน้าลดดอกเบี้ย แต่หลังจากหมดข่าวดีในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีข่าวลบในเรื่องผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มออกมาอีกก็จะกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง รวมถึงตลาดหุ้นไทย โดยประเมินเป้าหมายดัชนีฯที่แนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาบริเวณ 800 จุด
ส่วนประเด็นการเมืองที่ชัดเจนในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลอาจส่งผลดีกับจิตวิทยาการลงทุนในช่วงสั้นๆ เนื่องจากในระยะกลางยังคงต้องติดตามว่ารัฐบาลจะสร้างผลการในการดำเนินนโยบายพัฒนาประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่แต่สำหรับการมุ่งเน้นนโยบายประชานิยมมองว่าน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษกิจและการบริโภคของประชาชนในระยะสั้นได้ โดยหุ้นกลุ่มที่จะได้รับผลดีจากประเด็นดังกล่าวคือหุ้นกลุ่มประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะตลาดสินค้าทั้งค้าปลีกค้าส่งในต่างจังหวัด เช่น MAKRO ,BIGC ,CPALL
นอกจากนี้โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจ็กที่จะเดินหน้าต่อเนื่องหลังมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดำเนินนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น ITD ,CKและหุ้นในกลุ่มเหล็กที่จะได้รับงานโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มรายได้ให้บริษัท เช่น TSTH
กลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากในช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูง และมีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงอีกจากปัญหาซับไพร์มแนะนำขายทำกำไร และถือเงินสดรอติดตามสถานการณ์

ส.นักวิเคราะห์ เชื่อดัชนีฯ ฟื้นตัวครึ่งปีหลัง รับอานิสงส์รัฐกระตุ้นศก.
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกนี้ประเมินระดับดัชนีฯมีโอกาสลดลงต่ำสุดไม่เกิน 669 จุดแต่คาดว่าหลังพ้นจากช่วงกลางปีไปแล้วจะมีการฟื้นตัวขึ้นเพราะนโยบายต่างๆของรัฐจะเริ่มลงไปสู่การปฎิบัติจริงมากขึ้นและจะส่งผลดีต่อภาคการลงทุนและการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังด้วย
สำหรับในระยะ 1-2 เดือนนี้คาดการณ์ว่าเรื่องที่กระแสเงินออกจากตลาดหุ้นส่วนหนึ่งจะเข้าไปสู่ตลาดพันธบัตรเนื่องจากหลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าทิศทางดอกเบี้ย ยังเป็นขาลงซึ่งในอดีตดอกเบี้ยในปี 2546 เคยอยู่ระดับต่ำสุดถึง 1% ดังนั้นจึงประเมินว่าทั้งปีนี้เฟดยังสามารถลดดอกเบี้ยได้ไปจนถึงระดับ 2.0%ทำให้ผู้ฝากเงินได้รับประโยชน์น้อยลง ขณะที่ตลาดหุ้นก็ยังคงมีความผันผวนแต่การลงทุนในพันธบัตรจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าและผันผวนน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศมีโอกาสสูงที่จะปรับลดลงแต่คาดการณ์ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะยังไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงนี้แต่อาจจะไปลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนเม.ย.51นี้เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศและนอกประเทศให้สมดุลกัน
ดอกเบี้ยอาร์/พีน่าจะลดลงแต่คงเป็นการประชุมครั้งถัดไปเพราะธปท.จะต้องรอดูว่าในที่สุดเฟดจะลดดอกเบี้ยเท่าไหร่ก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจนายสมบัติ กล่าว

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com