April 29, 2024   5:01:52 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SET Index หวานชื่นรับเดือนแห่งความรัก
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 04/02/2008 @ 13:11:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index หวานชื่นรับเดือนแห่งความรัก




SET Index หวานชื่นรับเดือนแห่งความรัก แต่โบรกฯยังไม่แนะลุยเต็มตัว เหตุประเมินภาพรวมยังผันผวน ดังนั้นต้องจับจุดให้ถูกต้อง กิมเอ็ง คาดเดือน ก.พ. ดัชนีฯ เหวี่ยงในกรอบ 700-800 จุด พร้อมแนะ 3 กลยุทธ์การลงทุน ส่วน KGI ระบุหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวตามเม็ดเงินต่างชาติเป็นสำคัญ ชี้เดือนนี้หุ้นพลังงานไม่เด่น เพราะราคาน้ำมันมีแนวโน้มลงแตะ 83 เหรียญต่อบาร์เรล

หากนับตามปีนักษัตรของจีน เท่ากับว่าเรากำลังย่างเข้าสู่ปีชวดอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 นี้ หากย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่าน เรียกว่าค่อนข้างผันผวนในทางลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขยะใต้พรมของพญาอินทรีอย่างปัญหาซับไพร์ม ผุดออกมาเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินจากประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ที่นำออกมาแสวงหาผลประโยชน์นอกประเทศ ต้องมีการปรับพอร์ตกันยกใหญ่ เพราะสถาบันการเงินล้วนแต่ประกาศผลการดำเนินงานปี 2550 ออกมาขาดทุนมหาศาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ที่การขับเคลื่อนของดัชนีฯต้องอาศัยเม็ดเงินจากต่างชาติเป็นหลัก เมื่อเม็ดเงินไหลออก หุ้นไทยจึงร่วงไม่เป็นทางในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเริ่มปีใหม่เดือน ม.ค. 2551 ในช่วงต้นปีตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนอย่างมาก แต่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก จนกระทั่งเมื่อเฟดประกาศลดดอกเบี้ยช็อคตลาด 0.75% ต่อด้วยการลดอีกครั้ง 0.5% ทำให้เม็ดเงินทำท่าว่าไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว จากสัญญาณการซื้อสุทธิของต่างชาติ 2 วันกว่า 11,981.28 ล้านบาท จากเดือนมกราคมที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 3.688 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้หากมองถึงปัจจัยบวกในประเทศก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการเมือง เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2551 ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 อย่างเป็นทางการ คือนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ความอึมครึมทางการเมืองบ้านเราลดลง และล่าสุดก็กำลังได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยขึ้นมาทะลุ 3-4 หมื่นล้านบาท ในช่วงเริ่มเดือนใหม่ กุมภาพันธ์ ซึ่งน่าจะถือเป็นสัญญาณที่ดี
ทั้งนี้หากนับจากวันที่นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของไทย ในช่วงเวลา 1 สัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 51 จุด หรือคิดเป็น 6.83% ล่าสุดดัชนีฯปิดที่ 810.86 จุด เพิ่มขึ้น 26.63 จุด หรือ 3.40% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 42,227.91 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิมากถึง 8,202.95 ซึ่งถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับการเริ่มต้นเดือนแห่งความรัก
อย่างไรก็ตามการที่ดัชนีฯปรับตัวขึ้นแรง และต่างชาติซื้อสุทธิ 2 วันติดต่อกัน อาจไม่ใช่สัญญาณที่ชัดเจนพอจะบอกได้ว่าดัชนีฯจะถึงรอบขาขึ้นที่แท้จริงแล้วหรือยัง eFinanceThai.com รวบรวมความเห็นจากหลายโบรกเกอร์ที่ยังฟันธงว่าภาวะในเดือน ก.พ. จะยังคงผันผวนต่อไป และการลงทุนจะต้องคัดสรรและเลือกหุ้นมากกว่าเดิม

**KEST เชื่อเดือน ก.พ. ดัชนีฯเหวี่ยง ให้กรอบ 700-800 จุด

บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยในบทวิเคราะห์ประจำเดือน ก.พ. 2551 ระบุว่า เราเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะค่อนข้างผันผวนต่อไปในเดือนกุมภาพันธ์ ด้วยการเหวี่ยงตัวในระหว่างวันทำการตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯหรือข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆ รวมไปถึงมาตรการของธนาคารกลางสหรัฐฯและรัฐบาลกลางสหรัฐฯเพื่อแก้ไขปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ประเด็นหลักในระยะสั้นก็คือการจับจังหวะการลงทุนให้ถูกตามจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นที่ขับเคลื่อนตลาด โดยเรามองกรอบการซื้อขายที่กว้างมากในเดือนกุมภาพันธ์ที่ 700-800 จุด
เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังคงแข็งแกร่ง ดังนั้นเราจึงไม่มีเหตุผลที่จะปรับลดเป้าดัชนีปลายปี 2551 ของเราที่ระดับ 1,000 จุดลงในขณะนี้ แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะต่ำกว่าระดับที่ตลาดคาดไว้ในขณะนี้และได้ถูกตอบรับไปในราคาหุ้นขณะนี้แล้ว
อย่างไรก็ดีเราปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2551 ลงจาก 5.50% เป็น 4.50-5.00% โดยเหตุผลหลักก็คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ, ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และโอกาสการแข็งค่าของเงินบาทที่เพิ่มขึ้น
บทวิเคราะห์ ระบุว่า เรายังคงเชื่อว่ามีเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอสำหรับการที่นักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยในด้านมูลค่าตลาดมีมูลค่าที่ถูกมากในระดับดัชนีปัจจุบันคือ 740.65 จุด อิงการเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของเรา ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยซื้อขายกันที่ PER ปี 2551 ที่ 9.95 เท่า คาดการณ์อัตราการเติบโตผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(ยกเว้นกลุ่มธนาคาร)อยู่ที่ 10.82% ในปีนี้ ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 4/50 ที่มีกำหนดจะเผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ก็มีแนวโน้มเป็นบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้อัตราเงินปันผลก็อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใจหลังจากราคาหุ้นอ่อนตัวลงมามากและเมื่อเปรียบเทียบกับคาดการณ์ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อ โดยหุ้นที่เราทำการศึกษาทั้งหมดมีอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2550 อยู่ที่ 5.59%
ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วเราสามารถจัดหมวดหมู่คำแนะนำในหุ้นของเราได้เป็น 3 กลยุทธ์หลักเพื่อเผชิญหน้าต่อตลาดที่ผันผวนในเดือนกุมภาพันธ์ดังนี้ 1) เก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ตามกรอบการเหวี่ยงของดัชนีสำหรับนักลงทุนระยะสั้น 2) เน้นหุ้นผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตดีสำหรับนักลงทุนระยะกลาง และ 3) เลือกหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงสำหรับนักลงทุนระยะยาว ดังนี้

Oversold blue chip stocks
share price (Bt) Fair value (Bt) Price chg Price chg1 mth (%) 2 mths (%)
PTT 288.00 460.00 -16.76% -19.10%
PTTCH 92.50 150.00 -20.94% -19.54%
TOP 70.00 99.50 -15.66% -16.17%
BAY 21.80 30.70 -13.66% -6.44%
BEC 24.00 30.00 -14.29% +0.84%
TRUE 5.05 8.70 -6.48% -23.48%
PTTEP 130.00 193.00 -12.16% -6.47%

Earnings growth plays
share price (Bt) Fair value (Bt) 2007 2008
EPS growth (%) EPS growth (%)
TVO 15 21.6 +160.00% +10.80%
TCAP 12.80 19.40 +91.80% -10.40%
BEC 24.00 30.00 +39.00% +7.90%
DTAC 40.25 51.00 +14.80% +37.90%
CP-ALL 9.85 13.00 +0.00% +120.00%

Dividend plays
share Price (Bt) Fair value (Bt) 2007 2007
DPS (Bt) Dividend yield (%)
PTTCH 92.50 150.00 5.25 5.68%
TCAP 12.80 19.40 0.80 6.25%
ADVANC 90.50 106.50 6.30 6.96%
TVO 15.00 21.60 1.50 10.00%
OISHI 26.50 33.30 1.92 7.25%
UMS 24.90 35.00 1.50 6.02%

**KGI ประเมินกรอบดัชนีฯเดือน ก.พ. 670-804 จุด ที่ P/E 10-12 เท่า

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ว่าเราประเมินว่าดัชนี SET จะเริ่มรับรู้ผลกำไรปี 2551 ประเมินกรอบทางขึ้นของดัชนี SET สูงสุดได้ที่ 12 เท่าพีอี หรือที่ระดับ 804 จุด (12x67) คือดีดขึ้นได้ 8.0% และประเมินความเสี่ยงทางลงที่ 10 เท่าค่าพีอี หรือจะปรับลดลงได้ที่ระดับ 670 จุด (10x67) หรือปรับลดลงได้ 9.9%
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิออกมาแล้ว 3.9 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี 2551 แต่ยังถือหุ้นสุทธิในมือมากถึง 2.2 แสนล้านบาท นักลงทุนต่างชาติในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะขายอย่างมุ่งมั่นต่อเนื่อง หรือจะชะลอการขายหุ้น จะมีผลโดยตรงต่อ SET
บทวิเคราะห์ระบุว่า การวิเคราะห์เทคนิคทางสองแพร่งนี้ มีความหมายคือหากระดับ 760-740 จุดรองรับดัชนี SET ไว้ได้จะมีแรงดีดกลับเหนือ 800 จุดได้ ให้เลือกตัวเก็งสั้น แต่หากระดับแนวรับ 740 จุด รองรับดัชนี SET ไว้ไม่ได้ จะมีแรงกดลงต่ำกว่า 700 จุด สู่ระดับ 680-670 จุด ต้องขายหุ้น หรือรอซื้อเก็งสั้นต่ำกว่าระดับ 700 จุดลงไป
บทวิเคราะห์ระบุว่าหากราคาน้ำมัน Brent ยืนเหนือ 92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะเข้าสู่กรอบ 92-98 เหรียญอีกครั้ง แต่หากราคาเล่นต่ำกว่า 92 เหรียญ จะอยู่ในกรอบ 92-83 เหรียญ ระเมินแนวโน้มราคาน้ำมันควรจะลงมาทดสอบระดับ 83 เหรียญในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 นี้ จะมีผลกระทบต่อกลุ่มพลังงานเชิงลบได้

**กูรู แตะเบรก นลท. อย่าใจร้อน ให้รอซื้อเมื่อดัชนีฯอ่อนตัว

นางสาวสิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไซรัส กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ว่า แม้ว่าจะมีแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติกว่า 8,000 ล้านบาท ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา แต่ยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อตาม โดย แนะให้รอซื้อ เมื่อดัชนีฯปรับฐานจะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ยังมองว่าในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติจะชะลอแรงซื้อ เพื่อปรับพอร์ต
ทั้งนี้ ประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันศุกร์ที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 26 จุด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากประธานกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ประกอบกับได้รับปัจจัย สนับสนุนจากประเด็นภายในประเทศ เกี่ยวกับการเมือง กรณีที่จะเสนอรายชื่อ คณะรัฐมนตรี เสนอทูลเกล้าฯ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจ กลับมาลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตามมองว่าเป็นการตอบรับในระยะสั้น โดยคิดว่าเป็นการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ประเมินทางเทคนิค พบว่า ในสัปดาห์นี้ ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลง เนื่องจากปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยประเมินแนวต้านที่ 810 จุด และแนวรับที่ 787-792 จุด
ปัจจัยที่แนะนำให้นักลงทุนติดตาม คือ การแต่งตั้ง ครม. และผลการประชุมโอเปก เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อจิตวิยาการลงทุน อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยง ยังคงเป็นปัญหาซับไพร์ม

**ASP แนะลุยหุ้นตามฝรั่ง

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด(มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่าการที่ SET Index
มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ถือว่าเป็นการเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มดังกล่าวได้ขายหุ้นออกมามากแล้ว จึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุน เพราะในช่วงนี้ไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุน ขณะเดียวกันปัจจัยทางการเมืองยังเริ่มนิ่งและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เริ่มมีความชัดเจนมากแล้ว
นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) และอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.50% ในการประชุมรอบที่ผ่านมาซึ่งคงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐให้ดีขึ้นได้
"รอบนี้เป็นของจริงแน่นอน แต่ระยะเวลาเข้ามาคงจะไม่นานน่าจะอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ และหุ้นขนาดกลางและเล็กคงจะมีแรงซื้อเข้ามาเยอะหน่อยโดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและหลักทรัพย์เพราะได้รับปัจจัยบวกจากวอลุ่มและความชัดเจนของรัฐบาลใหม่หนุน " นายภูวดลกล่าว
สำหรับแนวโน้มของ SET Index ในสัปดาห์นี้คาดว่ามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อ เนื่องจากยังคงได้รับปัจจัยบวกจากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ คงจะส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน โดยประเมินแนวรับ SET Index ในสัปดาห์หน้าไว้ที่780 จุด และแนวต้านไว้ที่ 810 จุด
ในขณะที่กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งหุ้นที่โดดเด่นและน่าลงทุนคือบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เป็นต้น ในขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ยังคงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจะได้รับประโยชน์จากวอลุ่มการซื้อขายที่หนาแน่นในช่วงนี้ ส่วนหุ้นที่โดดเด่นประกอบด้วยบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRAและบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS เป็นต้น นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงสามารถเข้าไปลงทุนได้เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีแต่ควรรอจังหวะที่ราคาหุ้นปรับลดลงก่อน

**เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ตั้งเป้าดัชนีปีนี้ทะลุ 962 จุดได้ จากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ

นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา การจัดพอร์ตต้อนรับตรุษจีน ครั้งที่ 2 ว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 962 จุดได้ จากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะการเดินหน้าเมกะโปรเจ็ก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยไปได้ด้วยดี ประกอบกับมองว่าตลาดหุ้นไทยยังถูกโดยมอง P/E อยู่ที่ 12-14 เท่า และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า
ทั้งนี้ มองหุ้นที่น่าสนใจลงทุน 3 หมวด ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร อาทิ SCB ซึ่งมีการมุ่งเน้นลูกค้ารายย่อยมากยิ่งขึ้น ประกอบกับมีการพัฒนาปรับปรุงด้านการบริการกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ให้ราคาเป้าหมายที่ 90 บาท และแนะนำหุ้น BAY ให้ราคาเป้าหมายที่ 29 บาท
กลุ่มที่ 2 คือ อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ LPN ที่จะได้รับประโยชน์จากการสร้างคอนโดฯติดกับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่โดดเด่นทางด้านนี้ ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 9 บาท
กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มก่อสร้าง แนะนำซื้อ DEMCO ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างทุกรูปแบบ

**ธนชาต ยังหวั่นวิกฤตซับไพร์มกดดันเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ แนะเลือกหุ้นผันผวนน้อย

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา การจัดพอร์ตต้อนรับตรุษจีน ครั้งที่ 2 ว่า ในปีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวนต่อต้องรอคอยติดตามเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาซับไพร์มไปอีกระยะหนึ่ง แต่ ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็พยายามแก้ไขปัญหาโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังได้รับปัจจัยบวกอยู่บ้าง จากการที่ บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งเป็นหุ้นที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีฯ อยู่ 14% สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับท่อก๊าซได้ ประกอบกับ ความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลก็มีมากยิ่งขึ้น
ท้งนี้แนะนำ ซื้อหุ้นที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากตลาดที่ผันผวน แนะซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะมีการประมูลเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ EGCO ซึ่งยังมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น 5% ให้ราคาเป้าหมาย 120 บาท CPALL ซึ่งผลประกอบการของธุรกิจสะท้อนถึงการทำกำไรในไทยได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขาดทุนของการลงทุนโลตัสในจีน ให้ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท
ในส่วนของกลุ่มธนาคารแนะซื้อ TISCO จากการที่บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลน่าจะสูงขึ้นอยู่ที่ 2.30 บาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2 บาท และกำไรโต 18% ให้ราคาเป้าหมาย 36 บาท
กลุ่มที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แนะหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่น่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลชุดใหม่ที่สานต่อนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาในกลุ่มนี้ แนะซื้อหุ้นที่น่าสนใจอย่าง BGH ที่มีศักยภาพสูง ประกอบกับมีการลดต้นทุนมากขึ้น แต่จากกรณีในเรื่องโรงพยาบาลรามคำแหงที่ทาง BGH จะเข้าซื้อยังคงมีความไม่ชัดเจนอยู่ ให้ราคาเป้าหมาย 37-38 บาท และหุ้นขนาดเล็กที่น่าสนใจ แนะซื้อ UEC ซึ่งที่มีการจ่ายเงินปันผลที่ดี และ TOG ที่ทางบริษัทมีการพัฒนาสินค้าในราคาสูงมากยิ่งขึ้น
ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ แนะซื้อ PTTEP ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตของบริษัทในระหว่างปี 2551-2553 จะโตประมาณปีละ 20% ให้ราคาเป้าหมายที่ 180 บาท

**BLS ตั้งเป้าดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,146 จุด -ผลประกอบการบจ.โต 32%

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)(BLS) กล่าวในงานสัมมนา การจัดพอร์ตต้อนรับตรุษจีน ครั้งที่ 2 ว่า คาดว่าดัชนีฯ ปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1,146 จุดได้ เนื่องจากมองว่าการลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตร ประกอบกับมอง P/E ตลาดหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ 14 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 11-12 เท่า และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมจะโตจากปีก่อน 32% โดยมองว่าประเทศที่ตลาดยังมีการซื้อขายในราคาถูก ได้แก่ ประเทศไทย ไต้หวัน ปากีสถาน
ทั้งนี้ คาดว่าจากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาน่าจะสร้างความมั่นใจให้โครงการเมกะโปรเจ็กสามารถสานต่อไปได้ แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาทิ ITD ให้ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท TRC ราคาเป้าหมายที่ 10.80 บาท และ SEAFCO
ส่วนผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่รัฐบาลชุดใหม่เข้ามา มองว่ากลุ่มบริโภคจะมาแรงเช่นกัน โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ CPALL จากรัฐบาลช่วยกระตุ้นให้การใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 13.80 บาท
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังน่าสนใจเช่นเดียวกันจากดอกเบี้ยเริ่มทรงตัว แนะซื้อหุ้นที่เน้นการสร้างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ซึ่งคาดว่ายังมีความต้องการมากกว่าตลาด ได้แก่ AP ราคาเป้าหมาย 8.45 บาท และ LH ราคาเป้าหมายที่ 9 บาท
ส่วนกลุ่มธนาคาร แนะซื้อ SCB และ KBANK สำหรับกลุ่มสุดท้ายแนะนำ กลุ่มท่องเที่ยวที่เน้นทางด้านโรงแรมและอาหาร ได้แก่ MINT ให้ราคาเป้าหมาย 20 บาท
อย่างไรก็ตาม แนะหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ เนื่องจากได้รับปัจจัยจากราคาที่ค่อนข้างผันผวน ยกเว้นกลุ่มถ่านหินที่มีแนวโน้มความต้องการยังสูงอยู่

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com