April 29, 2024   7:33:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 8 เซียน ประสานเสียงเชียร์หุ้นอสังหาฯ - แบงก์ รับ ดบ.ขาลง
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 05/02/2008 @ 12:03:31
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

8 เซียน ประสานเสียงเชียร์หุ้นอสังหาฯ - แบงก์ รับ ดบ.ขาลง

เปิดศักราชใหม่ไตรมาส 1/51 กับ eFinanceThai.com รวมเซียนหุ้นจับเข่าคุยเปิดมุมมองทิศทาง SET Index ปีนี้ ส่วนใหญ่มองหุ้นไทยสุดผันผวน เทรนด์ขาขึ้นแค่ชั่วคราว ปัจจัยหลักที่จะช่วยหนุนคือทิศทางดอกเบี้ยไทยที่ยังมีส่วนต่างดึงดูด Fund Flow แต่เชื่อแบงก์ชาติจะหั่นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาท ส่วนรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเชื่อช่วยหนุนภาคอสังหาฯ โลดแล่น นำทีมโดย LH-QH และแบงก์ อย่าง TCAP ด้าน 5 เซียนหุ้น แนะเก็งกำไรหุ้นร้อน GBX-UEC-EMC-TRC-SEAFCO-LPN-CK-KK-W4-CCET-W1 ส่วนเมอร์ริล ลินซ์ กลับลำ Overweight หุ้นไทย หลังการเมืองชัดเจน แถมหุ้นราคาถูก - กำไรบจ.ปีนี้โตได้ 20%


เมื่อวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางทีมงานได้นัดรวมพลคน eFinanceThai.com ในงานสัมมนา eFinanceThai ไตรมาส 1/2551 ภายใต้หัวข้อ ทิศทาง SET ภายใต้รัฐบาลผสม และ มือเซียนเปิดหุ้นเด็ด แทงแล้วเฮง ซึ่งเป็นการรวมตัวของ 5 เซียนหุ้นชื่อดังใต้ฟ้าเมืองไทยมาร่วมนั่งพูดคุยกับนักลงทุนอย่างเป็นกันเอง โดยเซียนหุ้นได้ละคนมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไปในทิศทางเดียวกันว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนที่สุด ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่ส่วนใหญ่ยังมองว่า SET Index มีโอกาสจะขึ้นไปแตะ 900 - 1000 จุดได้ ประเด็นที่เซียนหุ้นส่วนใหญ่แนะให้จับตาหลังจากที่การเมืองมีความชัดเจนคือ ทิศทางของ Fund Flow รวมทั้งแนะนำหุ้นเด็ดกลับบ้านมากมาย

"ทิศทาง SET ภายใต้รัฐบาลผสม"

***บล.ธนชาต ฟันธงหุ้นไทยปีนี้ แตะ 1,100 ได้แน่ หลังสหรัฐฯลดอัตราดอกเบี้ย

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ปีนี้ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1,100 จุดได้ ซึ่งน่าจะได้รับผลดี จากการที่อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ 3.35% ซึ่งอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐฯที่อยู่ที่ 3% ส่งผลให้เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังถูก
ปกติอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นบ้านเราจะน้อยกว่าสหรัฐ แต่คราวนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าต้องรอดูว่าการประชุมของกนง.ในวันที่ 28 ก.พ.นี้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าหรือไม่ แต่เชื่อแบงก์ชาติจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะไม่เช่นนั้นจะมีเงินไหลเข้ามาประเทสไทยต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว นายแสงธรรม กล่าว
ทั้งนี้ ในเรื่องปัญหาซับไพร์มที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐให้เข้าสู่ภาวะถดถอยยังคงมีอยู่ โดยหลังจากนี้มองว่าธนาคางกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำการลดดอกเบี้ยลงอีกจาก 3% ให้เหลือ 2% หรือ 1.75% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ถึง 2 นี้
ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อและถือหุ้นมาร์เก็คแคปใหญ่ 10 ตัวได้แก่ PTT-PTTEP-PTTAR-PTTCH-IRPC-SCB-KBANK-BBL-SCC-ADVANC เมื่อเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าแล้วขายทำกำไรเมื่อเม็ดเงินเริ่มไหลออก
ทั้งนี้ ยังแนะนำซื้อหุ้นกลุ่มอสังหาฯ อาทิ LH เพื่อดักนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาและ QH ที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งเป็นหุ้น Bullish Trend

***บล.กสิกรไทย เย้าเป้าเดิม ดัชนีมีลุ้น 1,080 จุด เชื่อ Fund flow ไหลเข้า

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ยังคงเชื่อว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้ถึง 1,080 จุด ตามที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งต้องติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯในช่วงไตรมาส 1-2
คิดว่ารอบนี้หุ้นมีโอกาสขึ้น Fund flow จะยังคงไหลเข้า แต่จะไม่ขึ้นยาว หุ้นปีนี้จะค่อนข้างผันผวนตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ถ้าดัชนีขึ้นไปถึง 850-900 จุด ให้ขายทำกำไรไปก่อน และรอดูว่าเศรษฐกิจไตรมาส 1 เป็นอย่างไรแล้วค่อยมาดูอีกครั้ง แต่เทรนด์ยาว ๆ ยังมีความเสี่ยงอยู่ ส่วนการลงทุนในขณะนี้ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดคือทองคำ ถ้าดอลลาร์อ่อน ก็พยายามหาสินทรัยพ์อื่นสะสม และมองว่า กองทุนทองคำของบลจ.ยังน่าซื้อนายกวี กล่าว
ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยมักจะไม่อิงกับภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็กมาก เม้ดเงินของต่างชาติไหลเข้ามาไม่มากหุ้นก็ขึ้นแรงแล้ว นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาคการเงินเท่านั้น สำหรับตัววัดทิศทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแม่นยำคือตลาดตราสารหนี้ โดยมีเครื่องมืออยู่ตัวหนึ่งที่วัดแนวโน้มเศรษฐกิจได้ค่อนข้างแม่นยำ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะซื้อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองว่ารัฐบาลชุดใหม่ ที่เข้ามาบริหารจะมีการลดภาษีธุรกิจเฉพาะเหมือนกับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มอสังหาฯได้รับผลประโยชน์มาก ทั้งนี้ คาดว่าแต่ละบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้น ประมาณ 20% รวมถึงค่าใช้จ่ายจะลดลงมาก อย่างไรก็ตามมองว่า มาตรการภาษีดังกล่าวจะออกมาในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ซึ่งตัวที่โดดเด่นที่สุด คือ QH เนื่องจากราคายังถูกอยู่ ประกอบกับบริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่ 2.50 บาท นอกจากนี้ ยังแนะนำ AP และ LH อย่างไรก็ตามกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็น่าสนใจ อาทิ KTB โดยประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่ 11.50 บาท และ TCAP

***บล.ฟินันซ่า ยังคงเป้าหมายดัชนีฯปีนี้ที่ 1041 จุด แม้ศก.ชะลอตัว

นางสาวรัชนก ด่านดำรงรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า เปิดเผยว่า คาดว่าเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้จะอยู่ที่ 1,041 จุด จากปัจจัยบวกเรื่องของงบประมาณจากภาครัฐที่คาดจะมีการใช้จ่ายในช่วงปลายกุมภาพันธ์นี้ รวมถึงกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มเข้ามา แต่อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชะลอตัวลง อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ตการลงทุนเป็นระยะๆ ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 700- 900 จุดและมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีฯกลับลงมาที่ 700 จุดได้อีกครั้ง
ในปีนี้คงจะเล่นกันในกรอบ เช่น 700-900 จุด คือที่ระดับ 700 จุดจะซื้อ และขายที่ระดับประมาณ 900 จุด เป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอทำให้ต่างชาติต้องปรับพอร์ต ส่วนช่วงนี้ที่ดัชนีฯมีการฟื้นเพราะเข้าข่าย Oversold และได้ปัจจัยบวกเรื่องที่เฟดลดดอกเบี้ยแรงจาก 5.25% เหลือ 3% นางสาวรัชนก กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องจึงแนะนำให้เก็งกำไรในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในสัปดาห์นี้ตามภาวะตลาดและกระแสเงินลงทุนที่ยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยแนะนำ BSEC เนื่องจากราคายังไม่สูงและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทรายใหญ่ ให้ราคาเหมาะสมไว้ 4.50 บาท
ส่วนหุ้นในกลุ่มที่แนะนำให้ลงทุน คือกลุ่มสถาบันการเงิน แนะนำ TCAP เนื่องจากราคายังปรับขึ้นไม่แรงและราคายังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ที่ประมาณ 24 บาทถึง 50% ขณะที่เงินปันผลก็สามารถจ่ายได้สม่ำเสมอทุกปี ซึ่งคาดว่า ในปีนี้จะมีการจ่ายปันผลอยู่ที่ 0.80 บาท ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 19.30 บาท รวมทั้งให้ซื้อลงทุนในตัว IRPC เนื่องจากแนวโน้มฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น หลังจากได้เงินเพิ่มทุนจากบมจ.ปตท. (PTT) และประกอบธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งสามารถช่วยลดความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่เปลี่ยนแปลงได้ ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 7.10 บาท

มือเซียนเปิดหุ้นเด็ด แทงแล้วเฮง

*** บล.ฟาร์อีสท์ ระบุ ซับไพร์มยังกดดันหุ้นไทยอยู่ คาด SET Index รอบนี้รีบาวน์แค่ช่วงสั้นเท่านั้น ส่วนเฟด คาดลดดบ.อีกรอบ 18 มี.ค.นี้

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯยังคงมีผลกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ โดยการปรับขึ้นของดัชนีฯในรอบนี้น่าจะเป็นเพียงการรีบาวน์ หลังจากที่ตลาดฯเข้าข่าย over sold แต่เชื่อว่ายังไม่จบลงง่ายๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 18 เดือน กว่าผลประกอบการของบริษัทฯ และสถาบันการเงินต่างๆที่มีการลงทุนในซับไพร์มถึงจะเริ่มมีการฟื้นตัว เพราะเศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่ ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเล็กน้อยก็สามารถกระทบต่อประเทศอื่นได้หมด
โดยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะพยายามออกมาตรการต่างๆเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างเต็มที่ โดย เฟดเองได้เคยระบุว่า หากเศรษฐกิจของประเทศยังไม่ดี จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.51 และอาจจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในเดือน เม.ย. อีกครั้งหนึ่งด้วย
ส่วนการประชุมพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 21 ก.พ. 51 นี้ คาดว่า กนง. ไม่น่าจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในเวลานี้ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้ว
จากการที่กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทย ดังนั้น จึงให้เข้าลงทุนในหุ้นมาร์เก็ตแคป เพราะเป็นหุ้นที่นักลงทุกต่างชาติให้ความสนใจเข้าลงทุน เช่น KBANK-SCB-PTT-PTTEP-PTTCH-PTTAR โดยหากต้องการเข้าซื้อแนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว นอกจากนี้ควรรอดักซื้อหุ้นปันผลดีเก็บเข้าพอร์ตด้วยเช่นกัน อาทิ PSL-TMT-SPALI-TISCO-CSL-DELTA-ADVNC
ส่วนหุ้นที่คาดว่าน่าจะได้รับผลดีจากการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ และเตรียมที่จะนำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้อีกครั้ง จะได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคาร แนะนำ ซื้อเมื่อ่อนตัว ในหุ้น KTB เนื่องจากน่าจะเป็นธนาคารหลักที่ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการเมกะโปรเจกท์จากทางภาครัฐ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน อย่าง KBANK-SCB ด้วย รวมไปถึงหุ้นในกลุมอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งน่าจะได้รับประโยชน์จากเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน แนะนำ AP-QH-ITD-STEC
ส่วนหุ้นร้อนที่ แนะนำให้ ซื้อเก็งกำไรในสัปดาห์นี้ คือ หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ ตามภาวะตลาดฯที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยแนะนำ GBX เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคเริ่มมีการฟื้นตัว และราคาเพิ่งจะปรับขึ้นมาเล้กน้อย ขณะที่ราคาหุ้นตัวอื่นในกลุ่มเดียวกันต่างปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว
นอกจากนี้ UEC ยังเป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปเล็กอีกตัวหนึ่งที่สัญญาณทางเทคนิคค่อนข้างโดดเด่น และคาดว่าน่าจะได้รับความสนใจเข้าเก็งกำไรจากนักลงทุนในสัปดาห์หน้า ให้แนวต้าน UEC ไว้ที่ 8 บาท หากสามารถผ่านได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 8.10 บาท และ 8.40 บาท

***บล.ยูโอบี เคย์เฮียน แนะเก็งกำไร EMC และ CCET-W1 ช่วง 3 วันนี้ หลังเส้นเทคนิคร้อนแรงมาแต่ไกล


นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในช่วง 3 วันนี้ แนะนำให้นักลงทุนเก็งกำไร EMC ให้แนวรับไว้ที่ 4.8-5 บาท และให้ขายที่แนวต้าน 5.60-6 บาท และ CCET-W1 ให้แนวรับ 1.60-1.55 บาท ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่1.80-1.90 บาท หากผ่านไปได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 2 บาท
ส่วนหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคที่ดี และสามารถเข้าซื้อเก็งกำไรในช่วงสัปดาห์นี้ได้ แนะนำ TRUE ให้แนวต้านไว้ที่ 6.30บาท และแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 6.50 บาท และ SC เนื่องจากราคากำลังปรับฐานเพื่อขึ้นรอบใหม่อยู่ แนะนำให้เข้าซื้อเก็งกำไรที่แนวรับ 11-12 บาท และให้ขายที่แนวต้าน 16-17 บาท

***บล.บัวหลวง แนะลุงทน CPALL หลังเชื่อรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้ SECC-SEAFCO -TRC น่าสน เหตุธุรกิจแนวโน้มโต

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ภายหลังได้รัฐบาลใหม่เข้ามา น่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนทั่วไปรวมถึงการลงทุนภาครัฐและเอกชนให้เพิ่มขึ้น ซึ่งหุ้นที่น่าจะได้รับประโยชน์ คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แนะนำซื้อลงทุน
ทั้งนี้ แนะนำซื้อบริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) SECC เนื่องจากได้รับผลดีจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้สามารถนำเข้าสินค้าได้ในราคาที่ค่อนข้างคุ้มค่า
นอกจากนี้ แนะนำ เก็งกำไร บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เนื่องจากยังมีแนวโน้มของการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก ขณะเดียวกันรอซื้อ TRC เมื่อราคาอ่อนตัวลง โดยเชื่อว่าแนวโน้มของผลการดำเนินงานจะยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังมีแผนรุกโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าแอฟริกาใต้ น่าจะช่วยหนุนการดำเนินงานของ TRC ในอนาคต ประกอบกับ เชื่อว่าความต้องการใช้พลังงานยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

*** บล.แอ๊ดคินซัน แนะเล่นหุ้นอสังหาฯ-รับเหมารับดอกเบี้ยลด ขานรับนโยบายเมกะโปรเจ็ก แนะซื้อ LPN-CK

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากน่าจะได้รับข่าวดี จากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยแนะนำซื้อหุ้น LPN ให้ราคาเป้าหมาย 7 บาท และ SC ราคาเป้าหมาย 14 บาท
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาน่าจะผลักดันให้โครงการเมกะโปรเจ็ก มีความชัดเจนขึ้น และส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา โดยแนะนะซื้อ CK ราคาเป้าหมาย 9 บาท เนื่องจากได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจ็ก และน่าจะได้รับผลบวกจิตวิทยาลงทุน หลังเตรียมนำบริษัท น้ำประปาไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าตลาดฯ ขณะเดียวกัน แนะนำ SEAFCO เนื่องจากมีงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาเป้าหมายที่ 6.50 บาท
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลดี โดยเฉพาะ KTB ที่จะเป็นแกนหลักในการปล่อยกู้โครงการต่างๆ ให้ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท ส่วน SCB เป็นหุ้นที่น่าสนใจซื้อเช่นกัน ให้ราคาเป้าหมาย 85 บาท
สำหรับหุ้นที่ตอบรับนโยบายประชานิยมมองว่ากลุ่มโรงพยาบาลน่าจะรับดี จากโครงการประกันสุขภาพ ซึ่งจะสามารถดำเนินการต่อโดยรัฐบาลชุดนี้ และหุ้นในกลุ่มนี้ยังมีสภาพคล่องสูง แนะนำซื้อ KH ให้แนวต้าน 8.20 บาท SKR ที่ 11 บาท และ BGH ให้แนวต้าน 40 บาท
หุ้นที่มีเงินปันผลดีน่าสนในซื้อ แนะนำหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ DELTA ที่คาดการณ์ให้เงินปันผลปี 2550 ที่ 2 บาท ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท
นอกจากนี้ แนะนำ ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO คาดให้เงินปันผลปี 2550 ที่ 2 บาท โดยให้เราคาเป้าหมายที่ 36 บาท บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON คาดการณ์จ่ายเงินปันผลปี 2550 ที่ 1.30 บาท ราคาเป้าหมายที่ 21 บาท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB คาดการณ์จ่ายเงินปันผล 0.50 บาท ราคาเป้าหมาย 14 บาท และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KGI คาดการณ์จ่ายเงินปันผล 0.12 บาท ราคาเป้าหมาย 3.10 บาท

*** ASP แนะ หุ้นเด่น PTTEP-KK-ADVANC-DTAC-CK-SEACO ส่วน KK-W4 แนะเก็งกำไรระยะสั้น

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP)กล่าวในงานสัมมนา eFinanceThai ไตรมาส1/2551 หัวข้อ มือเซียนเปิดหุ้น แทงแล้วเฮง ซึ่งแนะนำหุ้นเด่น คือ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP เนื่องจากผลประกอบการปี 2551 โดดเด่น ทั้งนี้การเปิดหลุมก๊าซต่างๆและโครงการอาทิตย์ ส่งผลให้รายได้เริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และ KK เนื่องจากการมองว่าสามารถบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ได้ดี
นอกจากนี้ ยังมองว่า กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีโปรโมรชั่นในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ประกอบกับปริมาณการใช้มือถือก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งมองว่ามือถือยังมีความน่าสนใจ ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าวเริ่มเป็นพันธมิตรกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจ รวมถึงมองว่าเมื่อดัชนีฯลงแต่ราคาหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยแนะนำ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นที่มีพื้นฐานดี อาทิ บมจ. ช.การช่าง จำกัด หรือ CK และบมจ. ซีฟโก้ หรือ SEAFCO
อย่างไรก็ตาม มองว่าหุ้นที่สามารถเก็งกำไรได้ในระยะสั้น คือ KK-W4 เนื่องจากราคาหุ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคาดว่ากลุ่มธนาคารฯ ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ ประกอบกับราคาหุ้น KK-W4 ปัจจุบันยังไม่แพง ทั้งนี้เป็นหุ้นที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก

*** เมอร์ริลลินช์ติดป้ายบอก Overweight ตลาดหุ้นไทย เชื่อศก.เตรียมบินผงาด หลังผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

บทวิเคราะห์การลงทุนโดยเมอร์ริลลินช์วันที่ 4 มกราคม 2551 ระบุเพิ่มคำแนะการลงทุนตลาดหุ้นไทยจาก Underweight เป็น Overweight หลังภาวะเศรษฐกิจผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว
โดยในบทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า ปัจจัยที่เมอร์ริลลินช์เพิ่มคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทยมาจากการประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจมหภาคของไทยมีปัจจัยบวกเข้ามามากขึ้น หลังได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงเชื่อว่า การลงทุน การใช่จ่าย รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะฟื้นตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ เมอร์ริลลินช์คาดว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะช่วยชดเชยการชะลอตัวของภาคส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะชะลอลงตามความต้องการในตลาดโลก ขณะเดียวกันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยยังมีโอกาสลดลงได้อีก
ทั้งนี้ เมอร์ริลลินช์คาดว่า ในปี 2008 กำไรสุทธิบริษัทจะทะเบียนไทยจะขยายตัว 20% ค่า PE ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 9.9 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.1%

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com