May 2, 2024   1:59:41 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นเด่น..เล่นสั้น ส่งท้ายสัปดาห์
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 29/02/2008 @ 08:59:45
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET
วานนี้ดัชนีสามารถดีดกลับได้อย่างค่อนข้างเสถียร เห็นได้ว่าการดีดตัวเกิดขึ้นภายหลังจากทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน บริเวณ 830 จุด สองวันก่อน ซึ่งการดีดกลับจากระดับนั้น ส่งผลให้เกิดภาพบวกช่วงสั้น โดยแท่งเทียนมีรูปแบบต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก RSI ด้วย ดัชนีน่าจะฝ่าจุดสูงเดิมที่ 846 จุด ไปได้ในรอบนี้ โดยมีแนวต้านหลักคือ Tweezers Bottom ที่ 860 จุด

มุมมองระยะกลาง - MLINK
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
MLINK เคลื่อนตัวเข้าสู่แนวโน้มขาลงมาเป็นเวลาหลายปี และทำจุดต่ำสุดบริเวณ 0.79 บาท เมื่อ ส.ค. ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นได้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์เป็นฐานการดีดตัวที่สำคัญกระทั่งสามารถทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ บริเวณ 2.10 บาท จากการที่เส้นนี้เป็นแนวต้านระยะยาวราคาแม้จะปรับขึ้นทดสอบถึงหกครั้ง แต่ยังไม่อาจฝ่าไปได้ อย่างไรก็ตาม MACD และ RSI มีสถานะเชิงบวกเป็นอย่างมาก จะผลักดันให้หุ้นก้าวผ่านเส้นแนวต้านนี้ได้ในระยะกลาง โดยมีเป้าหมายสำคัญของการทดสอบคือ Tweezers Top ราว 3.10 บาท

หุ้นเด่น เล่นสั้น - TCC
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
TCC เคลื่อนตัวเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นระยะยาวเมื่อ ส.ค. 50 ณ เส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ ที่ 1.50 บาท การฟื้นตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์ เป็นฐานดีดตัว และสามารถทำจุดสูงบริเวณ 5.25 บาท สัปดาห์นี้ แม้สัญญาณการซื้อมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการอ่อนตัวระยะสั้น แต่คาดว่าราคาจะไม่ปรับลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์ แต่อย่างใด สัญญาณบวกที่พบใน RSI รายสัปดาห์ชี้ชัดถึงแนวโน้มใหญ่ยังอยู่ในขาขึ้น อีกทั้งราคายังมีโอกาสดีดตัวทดสอบจุดสูงสุดเดิมบริเวณ Tweezers Top ที่ 7.00 บาท ได้อีกครั้งหนึ่ง

หุ้นเด่น เล่นสั้น - SAM
กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อ
ภายหลังจากการทำจุดสูงสุดที่ 10.00 บาท ปลายเดือน ก.ย. 50 SAM ประสบกับการอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องโดยทำจุดต่ำสุด ณ 1.25 บาท เมื่อเดือนก่อน การปรับลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้ RSI และ MACD รายสัปดาห์เคลื่อนตัวเข้าสู่เขตการขายมากเกินไป ขณะเดียวกันเริ่มพบสัญญาณทั้งสองแกว่งตัวในลักษณะ Bullish Divergence แสดงถึงโอกาสการเปลี่ยนแนวโน้มของโครงสร้างระยะกลาง สำหรับระยะสั้นราคาอาจสร้างฐานช่วง 1.50-1.70 บาท บริเวณแนวเคลื่อนตัวของเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์ การดีดกลับครั้งหน้า คาดว่าจะมีเส้น 25 สัปดาห์ ที่ 2.50 บาท เป็นแนวต้านหลัก


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 29/02/2008 @ 12:09:03 :
Sector Update
ธุรกิจหลักทรัพย์: คาดปริมาณซื้อขายเฉลี่ยปี 51 เพิ่มขึ้น 4% YoY แต่ผลกำไรเติบโตคงที่ - เท่าตลาด

เราเชื่อว่าบรรยากาศการลงทุน และภาวการลงทุนในตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากการเมืองกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลเร่งอัดฉีดงบประมาณ โดยเราประมาณปริมาณซื้อขายปี 51 เฉลี่ยที่ 1.8 หมื่นล้านบาท/วัน (เป็น base case ของเรา) เพิ่มขึ้น 5% YoY จาก 1.71 หมื่นล้านบาท/วันในปี 50 (ปริมาณการซื้อขายตั้งแต่ต้นปีเฉลี่ยที่ 2.02 หมื่นล้านบาท/วัน) เราตั้งสมมติฐาน 6 โบรกเกอร์ใน coverage ของเรายังคงรักษาสัดส่วนการตลาดเท่าในปี 50 ทำให้เราประมาณกำไรสุทธิรวมปี 51 เติบโตคงที่ (ไม่รวมกำไรพิเศษของ ASL) แม้ว่าปริมาณซื้อขายปรับเพิ่มขึ้น แต่ถูกชดเชยด้วยอัตราค่าคอมมิชชันลดลง เนื่องจากเราคาดจำนวนลูกค้าออน์ไลน์มีสัดส่วนสูงขึ้น ดังนั้นเรายังคงน้ำหนัก ?เท่าตลาด? สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์

วอลุ่มและรายได้จากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น หนุนกำไรปี 50 เติบโต
แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของ 6 โบรกเกอร์ลดลง 0.87% แต่ปริมาณซื้อขายต่อวัน และรายได้จากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น 4.9% และ 437% YoY ตามลำดับ หนุนกำไรสุทธิรวมปี 50 เติบโตก้าวกระโดด 50% YoY

รายได้หลักมาจากค่าคอมมิชชันจากการซื้อขาย
แม้ว่ารายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในปี 50 ที่ผ่านมา แต่รายได้ประมาณ 70% ของรายได้ทั้งหมดในปี 50 ยังมาจากค่าคอมมิชชันในการซื้อขายหลักทรัพย์ ยกเว้น KGI ที่มีสัดส่วนรายได้ค่าคอมมิชชันเพียง 42% เนื่องจาก KGI เน้นธุรกิจการลงทุนค่อนข้างมาก โดยมีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็น 48% ของสินทรัพย์รวม เปรียบเทียบกับโบรกเกอร์อื่นที่ระดับเฉลี่ยเพียง 26%

KEST และ PHATRA เป็น Top Picks
เราเลือก PHATRA และ KEST เป็น Top Picks ของกลุ่ม โดยเราคาด KEST จะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ซึ่งจะสามารถผ่านจุดคุ้มทุนได้เร็วสุดแม้ภาวะการลงทุนไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งราคาหุ้นในปัจจุบันยังมีส่วนต่างจากมูลค่าพื้นฐานของเราถึง 13% สำหรับ PHATRA เราเชื่อว่าเมอร์ริล ลินช์ จะยังคงดำเนินธุรกิจร่วมกับบริษัทฯ แม้ว่าปัจจุบัน เมอร์ริล ลินช์ มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์แล้วก็ตาม และที่สำคัญราคาหุ้นของ PHATRA มีส่วนต่างจากมูลค่าพื้นฐานของเราสูงที่สุด




Flash Results
BANPU: กำไรสุทธิ 4Q07 เติบโต 70% YoY จากกำไรจากการขายเงินลงทุน - ขาย

ผลการดำเนินงานหลักยังเติบโตแข็งแกร่งในปี 50 แม้ไม่รวมกำไรจากรายการพิเศษส่วนแบ่งกำไรจาก BLCP ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย หลังดำเนินงานเต็มปี แต่กำไรจากธุรกิจถ่านหินกลับลดลง 58%YoY จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเชื้อเพลิง และการแข็งค่าของเงินบาท ที่ไม่อาจชดเชยราคาขายที่เพิ่มขึ้นถึง 15% แม้เราจะปรับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยปี 51 เพิ่มขึ้นอีก 25% เป็น 56$/ตัน เป็นเหตุให้มูลค่าพื้นฐานเพิ่มเป็น 361 แต่ราคาปัจจุบันดูจะสะท้อนไปแล้ว จึงแนะนำ ?ขาย?

กำไรสุทธิ 4Q50 เติบโตก้าวกระโดด 70% YoY จากกำไรเงินลงทุน
BANPU รายงานกำไรสุทธิ 2 พันล้านบาทใน 4Q50 เพิ่มขึ้น 70% YoY และ 16% QoQ โดยมีกำไรจากการขายเงินลงทุนใน ITM และ LANNA รวม 1.5 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ และกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (ของ BANPU และ BLCP) กำไรจากการดำเนินงานสุทธิลดฮวบ 72% YoY เหลือ 384 ล้านบาท สำหรับธุรกิจหลักถ่านหิน แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น (+19% เป็น $44.18/ตัน) แต่ปริมาณขายที่ลดลง (-23% YoY) ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า รวมถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าเชื้อเพลิง กดดันให้กำไรจากการขายใน Q4 ลดลงอย่างมีนัยถึง 58% YoY เหลือ 612 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรลดลงอย่างมีนัย QoQ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี BLCP มีรายได้จากค่าความพร้อมจ่ายเป็นหลัก

ผลประกอบการปี 50 เติบโตแข็งแกร่ง อานิสงค์กำไรจากธุรกิจรอง
กำไรสุทธิปี 50 เติบโตก้าวกระโดด 84% YoY เป็น 6.6 พันล้านบาท และดีกว่าคาด เนื่องจากกำไรจากรายการพิเศษที่สูงกว่าคาด แต่กำไรจากการดำเนินงานจำนวน 5.1 พันล้านบาท กลับต่ำกว่าคาดที่ 5.7 พันล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการปี 49 ได้รับแรงหนุนสำคัญจากส่วนแบ่งกำไรจาก BLCP จำนวน 3.9 พันล้านบาท และกำไรจากการขายเงินลงทุน ขณะที่ธุรกิจถ่านหินกำไรลดลงถึง 25% YoY แม้ราคาขายเฉลี่ยทั้งปี 50 จะเพิ่มขึ้น 15% แต่ไม่พอชดเชยต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า

BIGC: ขยายสาขาในอัตราเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ ? ซื้อ

กำไรสุทธิ 4Q50 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ จากการเติบโตของรายได้กลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง เช่น ค่าเช่า และค่าสนับสนุนกิจกรรมการตลาดจากกลุ่มผู้ผลิตสินค้า ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดสาขาใหม่เพิ่มในปี 51-52 เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 56 บาท (PER 15 เท่า)

กำไรสุทธิ 4Q50 เติบโต 44%YoY จากสาขาใหม่
BIGC มีกำไรสุทธิ 807 ล้านบาท ใน 4Q50 เพิ่มขึ้น 44%YoY ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ จากการเติบโตของรายได้จากสาขาใหม่ 5 แห่งในปี 50 ผลักดันให้ ยอดขาย เติบโต 7%YoY และกลุ่มรายได้ที่มีอัตรากำไรสูง เช่น รายได้ค่าเช่าพื้นที่ +15%YoY และรายได้อื่น +34%YoY (อาทิ ค่าสนับสนุนกิจกรรมการตลาด และค่ารับจัดการขนส่งสินค้า จากกลุ่มผู้ผลิตสินค้า) กอปรกับสามารถบริหารต้นทุนขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 16.7% เป็น 17.8% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มจาก 3.4% ใน 4Q49 เป็น 4.4% ใน 4Q50

กำไรสุทธิปี 50 เพิ่มขึ้น 18% YoY
กำไรสุทธิปี 50 เติบโต 18%YoY เป็น 2.5 พันล้านบาท จากการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งทำให้ยอดขายทั้งปีโต 6%YoY รายได้ค่าเช่า และรายได้อื่นๆ ซึ่งมีอัตรากำไรสูง เพิ่มขึ้น 12% และ 25% ตามลำดับ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 16.8% เป็น 17.2% และอัตรากำไรจาก 3.4% เป็น 3.7%

สาขาใหม่อีก 5-6 แห่ง และการบริโภคฟื้นตัวหนุนการเติบโต
BIGC จะเปิดสาขาใหม่ 5-6 แห่งในปี 51 ซึ่งเราคาดว่า 2-3 แห่งจะเป็นสาขาขนาดใหญ่ ที่มีพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม. ซึ่งจะช่วยให้รายได้ค่าเช่าเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีใบอนุญาตสำหรับการเปิดสาขาใหม่แล้วถึง 8 แห่ง กอปรกับการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวคาดว่าจะช่วยหนุนการเติบโตของกลุ่มค้าปลีก เราจึงยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ BIGC และคงประมาณการกำไรสุทธิปี 51ที่ 2.97 พันล้านบาท (+19% YoY)

ROJANA: กำไร 4Q50 ต่ำจากรายการพิเศษ ? ซื้อ

กำไร 4Q50 ต่ำกว่าปกติเหลือเพียง 68 ล้านบาทลดลง 37% YoY และ 70% QoQ เป็นผลจากการยกเลิกการขายที่ดินเกือบ 100 ไร่และการตัดจ่ายค่าความนิยม รวมทั้งปีกำไรสุทธิ 924 ล้านบาทเติบโตเพียง 3% อย่างไรก็ตามเราคาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ Honda หลัง Honda ประกาศขยายกำลังการผลิตเท่าตัวและจะเริ่มรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมที่ประเทศจีนทำให้ทั้งปีกำไรปกติจะเติบโต 24% ROJANA ยังเป็นหุ้นปันผลสม่ำเสมอ 6-7% ต่อปี เราจึงยังแนะนำซื้อ ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 19.2 บาท (Sum of the Parts Valuation)

กำไร 4Q50 ต่ำกว่าคาดจากค่าความนิยมตัดจำหน่าย
กำไรสุทธิ 4Q50 เหลือเพียง 68 ล้านบาทลดลง 37% YoY และ 70% QoQ เป็นผลจากการยกเลิกการขายที่ดินประมาณ 100 ไร่เพราะลูกค้าไม่ได้รับ BOI จึงบันทึกปรับปรุงรายได้และต้นทุนที่รับรู้ไป ทำให้รายได้ที่ดินไตรมาสนี้ ติดลบ 26 ล้านบาทและบริษัทยังมีการตัดจ่ายค่าความนิยมในการซื้อโครงการคอนโดมิเนียมที่ประเทศจีนอีก 37 ล้านบาท รวมทั้งปีกำไรสุทธิ 924 ล้านบาทเติบโตเพียง 3%

คาดผลประกอบการ 1Q51 ยังไม่สดใส
แม้ว่าบริษัทจะมียอดขายที่ดินใน 1Q51 แล้ว 200 ไร่ แต่บริษัทจะมีภาระค่าใช้จ่ายในการโอนและภาษีที่เกี่ยวข้องของโครงการคอนโดมิเนียมเมดิสันมูลค่า 2 พันล้านบาทซึ่งปัจจุบันทยอยโอนกรรมสิทธิ์อยู่ ทำให้แนวโน้มกำไรจะลดลง YoY

แต่ทั้งปี 51 คาดกำไรเติบโต 24%
เราคาดว่ากำไรบริษัทจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง 51 หลังภาระภาษีจ่ายทยอยหมดไปและเริ่มรับรู้รายได้ (ตามความคืบหน้าการก่อสร้าง) จากโครงการคอนโดมิเนียมที่ประเทศจีน ขณะที่เราคาดว่า ROJANA จะได้ประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ Honda หลัง Honda ประกาศขยายกำลังการผลิตเท่าตัวเป็น 240,000 คัน ทำให้ทั้งปีกำไรปกติเท่ากับ 1,181 ล้านบาทเติบโต 24% เมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำในปีนี้

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com