May 2, 2024   7:56:10 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ธาริษา วัฒนเกส เธอคือผู้แพ้
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 03/03/2008 @ 09:53:13
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ธาริษา วัฒนเกส เธอคือผู้แพ้
หลังหมากเกมเลิกกันสำรอง30%

ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์สำหรับการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง30%
ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยนางธาริษาวัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวันศุกร์ที่ 29
กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แม้ว่าอาจจะมองว่าเป็น การยกเลิกที่เร็วเหลือเกินภายใต้การบริหารของ
รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามายังไม่ถึงเดือนเท่านั้นแต่ก็ปฏิบัตการณ์ยกเลิกมาตรการดังกล่าวทันทีถือ
เป็นนโยบายแรกที่มีการดำเนินการทันที หลังจากประกาศไว้ในการหาเสียงของพรรค พลัง
ประชาชน และจริงๆ แล้วความพยายามในการยกเลิกการกันสำรอง 30 %เกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์
แรกที่ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามารับตำแหน่งด้วยซ้ำ
เพียงแต่การประชุมนัดแรกร่วมกัน ระหว่างท่านขุนคลังคนใหม่ กับผู้ว่าธปท. ไม่ได้ข้อสรุป และผู้
ว่าหญิงเหล็กธาริษา ก็ยืนยันหนักแน่นกลางที่ประชุมเสียด้วยว่า ยังไม่สามารถยกเลิกมาตรการ
ดังกล่าวได้ เพราะหากดำเนินการทันทีทันใดอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาท ที่ขณะนั้นเคลื่อนไหวอยู่ที่
ระดับ 32 บาทกว่าๆ อาจแข็งค่าขึ้นฉับพลันทันใด บวกกับการไหลบ่าเข้ามาของเงินทุนต่าง
ประเทศ เมื่อไม่มีกฎเหล็กดังกล่าวอีกต่อไปแล้วนั้นอาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกอย่างรวด
เร็วส่งผลกระทบต่อ ระบบเศรษฐกิจในประเทศได้ ดังนั้นด้วยเหตุผลก่อนหน้าจึงทำให้ความต้อง
การที่จะยกเลิกการกันสำรองต้องพับแผนไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจและเหตุผลของท่านผู้ว่าการธปท.ที่ชี้แจงแถลงไขต่อ รม
ว.คลัง ดูจะไม่มีมูลเหตุสนับสนุนเท่าไหร่นัก เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาภาย
หลังการประชุมร่วมกัน ปรากฎว่าค่าเงินบาทก็ยังแข็งต่อเนื่อง และแข็งค่าทำลายสถิติสูงสุดใน
รอบ 10 ปีอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความไร้ซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของมาตราการ
กันสำรองโดยเฉพาะค่าเงินบาทในตลาดออฟชอว์ที่หลุด 30 บาท ไปอยู่ที่ระดับ 29 บาทเรียบร้อย
โรงเรียนธปท. แล้วเท่ากับยิ่งเป็นการย้ำว่ามาตรการดังกล่าวไม่สามารถใช้สกัดการแข็งค่าของ
เงินบาทอย่างได้ผลอีกต่อไปและที่สำคัญที่สุดก็คือผู้ว่าการธปท. ล้มเหลวกับความพยายามที่จะยืด
ระยะเวลาในการยกเลิกออกไป
เพราะฉะนั้นกว่า 1 ปี ที่ผ่านมาก็แทบจะพิสูจน์ได้แล้วว่า ธปท.ไม่ถือประสบความ
สำเร็จกับการออกมาตรการกระชากใจนักลงทุนต่างชาติในครั้งนี้แต่อย่างใด เพราะ ธปท.ต้อง
ยอมรับความจริงว่า หลังประกาศใช้นโยบายดัง กล่าวมาตั้งแต่ปลายปี 2549 นั้นพวกเขาต้องแบก
ภาระขาดทุนหลังแอ่นไปแล้วเป็นแสนล้านบาท กับการเข้าไปพยุงค่าเงินบาทโดยการไล่ซื้อ
ดอลลาร์เข้ามาเก็บไว้ และยิ่งเมื่อค่าบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ แทบไม่ต้องคิดเลยว่า เมื่อประเมิน
มูลค่าเงินดอลลาร์ที่อยู่ในทุนสำรองของประเทศ กลับไปเป็นเงินบาทแล้วธปท.จะขาดทุนทาง
บัญชีเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นแค่ตัวเลขแต่ก็คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้น
ในช่วงยังไม่มีการเปลี่ยนรัฐบาล ก็คงไม่มีใครจะคิดอะไรมากในเรื่องนี้ เพราะการ
ประกาศกันสำรองเงินจากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศ30% นั้นเป็นมาตราการสกัดดาวรุ่ง
ของรัฐบาลชุดก่อนในยุคของอดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ม.ร.ว ปรีดิยาธร เทวกุล แต่
เมื่อเปลี่ยนผ่านมาถึงรัฐบาลใหม่ที่ใครๆ ก็รู้ว่ายังมีเงาทาบทาของอดีตพรรคไทยรักไทย และอดีต
นายกรัฐมนตรีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่ และก็ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร กับการยกเลิกมาตรการนี้
ทันทีที่อดีตนายกฯ กลับมาถึงประเทศไทยเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่บอกก็รู้ทันทีว่า
มาตรการกันสำรองดังกล่าว เป็นเหยื่อที่จะให้รัฐบาลชุดใหม่เซ่นสังเวยบูชายัณก่อนเป็นอันดับแรก
เพราะหากทำได้ก็เท่ากับ ว่ารัฐบาลใหม่ได้หน้าได้ตากลับมาจากนักลงทุนต่างประเทศที่ก่อนหน้า
นี้สวดชยันโตประเทศไทยว่าปิดกั้นเสรีภาพการลงทุนและระบบทุนนิยมอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นเมื่อมาตรการดังกล่าวยิ่งนานวันก็ยิ่งแสดงว่าไม่ได้ผล แม้ผู้ว่า การธปท. จะ
ยืนยันมาตลอดการกันสำรองรองช่วยให้ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่ามากไปกว่านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วย
ให้ใครต่อใครโดยเฉพาะกับท่านรมว.คลังจะเชื่อมั่นเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นนอกจากเรื่องการเอา
มาตรการกันสำรองขึ้นเขียงแล้ว ข่าวลือสะพัดเรื่องการปลด ผู้ว่าธปท. ก็มีออกมาหนาหูไม่แพ้กัน
เพราะเมื่อมาตรการไม่สำเร็จ ผู้ออกกฎหรือผู้คุมกฎก็มักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ยิ่งเมื่อวันศุกร์ที่
ผ่านมาก่อนแถลงข่าวยกเลิกมาตรการนั้นค่าเงินบาทขึ้นไปแข็งค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 10ปีกับ
อีก 6 เดือน หลุด 32 บาท มาอยู่ที่ 31.91 บาทและแข็งค่าสุดๆ ถึง 31.50 บาทในช่วงบ่ายผู้ว่า
การธปท. ยิ่ง กลายเป็นผู้ที่ถูกจับตามองมากที่สุดว่าจะกระเด็นตกเก้าอี้ผู้ว่าการของวังบางขุน
พรหม ขนาด รมว.คลังออกมานืนยัน นั่งยัน และนอนยันเรื่องการไม่ปลดยังไง ก็ดูเหมือนจะไม่
สามารถต้านทานกระแสข่าวลือดังกล่าวได้เลย เพราะทุกคนที่เกี่ยวรู้ดีว่าการแข็งค่าดังกล่าวยังดู
เหมือนเย้ยนโยบายของ ธปท.และตีแสกหน้าผู้ว่า ธปท. อย่างจัง จนในที่สุดต้องออกมาแถลงข่าว
ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%ในเย็นวันเดียวกันนั้นในที่สุด ท่ามกลางความยินดีของนักลงทุน
ต่างประเทศ และนักลงทุนในตลาดทุน ทั้งตราสารหนี้ และหุ้น
ขณะที่กระทรวงการคลังเองก็ดูเหมือนว่าจะรับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ไก่โห่แล้วว่าจะมีการ
ยกเลิกเกิดขึ้น เพราะมาตรการรองรับต่างๆ ที่ รมว.คลัง แถลงในเย็นวันเดียวกัน หลัง จากผู้ว่า
ธปท. แถลงแล้วเสร็จมันช่างละเอียดทุกประเด็น ประหนึ่งว่ากระทรวงการคลังเตรียมการมาก่อน
หน้านั้นหลายวันแล้วด้วยซ้ำ เรียกว่างานนี้ คุณหมอเลี้ยบ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยิ้ม
กริ่มแถลงข่าวอย่างสบาย อารมณ์ แถมยังเต็มใจที่จะเดินทางจากทำเนียบรัฐบาลมากระทรวง
การคลังเพื่อแถลงข่าวดังกล่าวด้วยตัวเองซะอีก ทั้งที่ก่อนหน้ากำหนดว่าจะให้ นายศุภรัตน์ ควัฒ
น์กุล ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้แถลงข่าวหมากเกมนี้
ไม่บอกว่าก็รู้ว่ากระทรวงการคลังทำสำเร็จกับการให้ ธปท.ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
ด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นธปท.ยืนกระต่ายขาเดียวกับการใช้มาตรการนี้ แต่เมื่อเห็นแล้ว1 ปี กับอีก
2 เดือน ที่ใช้มาไม่บังเกิดผล ธปท.ก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม และยอมกลืนน้ำลายตัวเองไป
เพราะภายหลังที่ประกาศยกเลิกและเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 3 มีนาคมเป็นต้นไป ก็เห็น
แล้วว่ารัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการคลังไม่อยากรอจังหวะเวลาหรือความเหมาะสมอีกต่อไป
แต่ต้องการยกเลิกทันทีเพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับมาโดยเร็วที่สุดก่อน
ที่นักลงทุนจะโยกเงินลงทุนหนีไปประเทศเพื่อนบ้านกันหมด งานนี้ ธาริษาวัฒนเกส เสียหน้า
และก็ต้อง นับเป็นผู้แพ้หมายเลข 1 ของหมากเกมเลิกมาตรการ 30% อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะ
ใครๆต่างรู้ดีว่า ผู้ว่าธปท. ตอนนี้ เหมือนถูกโดดเดี่ยวหลังจากรัฐบาลชุดเดิมต้องโบกมือลา และ
ให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศต่อ ยิ่งตอนนี้กระแสการกดดันบรรดาข้าราชการประจำ ซึ่ง
ล่าสุดก็โดนหางเลขไปเรียบร้อยถึง 4 คน ไล่มาตั้งแต่ดีเอสไอ กระทรวงสาธารณสุข กรมประชา
สัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นหากจะย้อนมาที่หน่วยงานอย่างธปท. หรือ แบงก์ชาติ
บ้างก็ไม่เห็นจะแปลก
ถึงแม้การออกมาแถลงข่าวว่า ของผู้ว่าการหญิงที่ยืนยันว่า เลิกเพราะมองว่า
เศรษฐกิจประเทศดีขึ้นโดยเฉพาะเดือนมกราคมที่ผ่านมาฟื้นตัวแถมยังมีสัญญาณว่าจะฟื้นตัวใน
เดือนถัดไปอีกทั้งภาคการผลิตและการ ส่งออกได้ปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงค่าบาทได้ดีจาก
การป้องกันความเสี่ยงและอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มมากขึ้นและปัจจุบันเงินไหลเข้า-ออกก็เริ่มมี
ความสมดุลกันมากขึ้นแล้วก็ตามโดยผู้ว่าธปท. ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวด้วยว่า การ ยกเลิกไม่ได้
ถูกกดดันจากรัฐบาลอีกต่างหากแต่จะมีสักกี่คนที่จะเชื่อเหตุผลดังกล่าวเพราะก่อนหน้าที่จะแถลง
ข่าวผู้ว่าธปท. ยังบอกเลยว่าการยกเลิกการกันสำรองต้องใช้เวลาอีกซักระยะ เพราะค่าเงินยังไม่นิ่ง
และห่วงว่าหากยกเลิก ทันทีทันใดจะทำให้เงินไหลเข้ามามาก จนกระทบให้ค่าบาทแข็งค่าขึ้นไป
อีกแต่กลับกลายเป็นว่าวันที่แถลงข่าวยกเลิก ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเงินบาทแข็งค่าหลุด 32 บาท แถม
ยังมีแววอาจให้เห็นหลุด 31 บาทด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ใครจะเชื่อ ว่าเหตุผลของท่านผู้ว่าการธปท.
เป็นเรื่องจริงมาตรการ 30% ยกเลิกไปแล้ว
คงไม่มีใครจะปฏิเสธว่า ธาริษา เธอคือผู้แพ้ ตัวจริง-เสียงจริง เมื่อวันศุกร์ที่ 29
กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และจากนี้ไปบางทีอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันทีทันใด
จากวังบางขุน พรหมก็ได้ใครจะไปรู้ ขณะที่มาตรการรองรับหลังยกเลิกกันสำรองจะเป็นอย่างไร
ได้ผลดี หรือไร้ผลก็ต้องลุ้นกันไป ประชาชนชาวไทยชินเสียแล้ว.... [/size:02c6b530b1">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com