May 6, 2024   9:03:32 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > นิวโลว์รอบ 1 เดือน!!
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 21/03/2008 @ 08:47:35
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ดัชนีหุ้นวันที่ 20 มี.ค. 51 ปิดที่ 798.11 จุด ลดลง 9.56 จุด นิวโลว์ ในรอบกว่า 1 เดือน มีมูลค่าการซื้อขาย 15,484 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,997 ล้านบาท

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดนำโดย BANPU ปิด 390 บาท ลดลง 18 บาท, PTTEP ปิด 151 บาท ลดลง 3 บาท, PTT ปิดที่ 314 บาท ลดลง 6 บาท, TOP ปิดที่ 68.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และ SCB ปิดที่ 88 บาท ลดลง 0.50 บาท

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อ และบรรยากาศการซื้อขายจะซบเซา เพราะปัจจัยการเมืองในประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้น หลังศาลฎีการับคำร้องกรณี กกต.ฟ้องนายยงยุทธ ติยะไพรัช ในข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง ส่งผลให้นายยงยุทธต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งมีผลกดดันการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้นักลงทุนเทขายลดความเสี่ยง และถือครองเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์

ทั้งนี้ เอเซีย พลัส ประเมินกรณีผลออกมาเลวร้ายที่สุด หากศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามมติ กกต. คือให้ใบแดงนายยงยุทธ จะส่งผลให้คดีดังกล่าวถูกนำกลับไปยังขั้นตอนของ กกต. อีกครั้ง เพื่อพิจารณาประเด็นการยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากนายยงยุทธกระทำความผิดในขณะที่เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน หลังจากนั้น กกต.จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาคดียุบพรรคต่อไป ซึ่งส่งผลสั่นคลอนเสถียรภาพการเมือง และทำลายความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ

แนะกลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ให้ชะลอการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะให้ซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 790 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 805 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่า ดัชนีจะแกว่งในกรอบแคบๆที่แนวรับ 796 จุด และแนวต้าน 805 จุด

แนะกลยุทธ์การลงทุน มองว่าช่วงนี้นักลงทุนควรถือหุ้นไว้ก่อน เพื่อรอให้ดัชนีดีดกลับขึ้นไป และหาโอกาสขายทำกำไร โดยแนวรับ ที่ระดับ 796 จุด ยังเป็นจังหวะที่สามารถเข้าเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีได้ รวมทั้งหุ้นขนาดเล็กที่ราคาปรับตัวลงมาต่ำ แต่ช่วงนี้ ควรเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์.

อินเด็กซ์ 51


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 21/03/2008 @ 09:23:50 :
ฝรั่งทิ้งหุ้นกดดัชนีหลุด 800 จุด พิษน้ำมันวูบ

ตลาดหุ้นไทยรูดหลุด 800 จุด หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงเกือบ 10% มาแตะระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรลอีกครั้ง ขณะที่ปัจจัยในประเทศระอุอีกครั้งหลังศาลฎีกามีคำสั่งรับฟ้องคดีในแดง "ยุทธตู้เย็น" ด้านฝรั่งกระหน่ำทิ้งเพิ่มอีก 3 พันล้านบาท โบรกเกอร์แนะจับตาทิศทางตลาดหุ้นดาวโจนส์ ระบุยังต้องรอลุ้นกนง.พิจารณาปรับลดดอกเบี้ย 9 เม.ย.นี้ ขณะที่ตลาดหุ้นรอครม. ไฟเขียวตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20 มี.ค.) ดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน จากแรงขายหุ้นกลุ่มน้ำมัน หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากตัวเลขสต็อกน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับกรณีที่ศาลฎีการับคำฟ้องคดีใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน โดยดัชนีปรับตัวลดลงปิดที่ 798.11 จุด ลดลง 9.56 จุด หรือลดลง 1.18% โดยระหว่างวันมีจุดสูงสุดที่ 801.64 จุด ต่ำสุด 796.23 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,484.35 ล้านบาท

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงมากที่สุด 2.07% โดยบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ปรับตัวลดลงมาปิดที่ 390 บาท ลดลง 18 บาท คิดเป็น 4.41% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,979.02 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 113.59 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,865.43 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(20 มี.ค.) ปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 8-9% มาอยู่ที่ระดับ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการที่ตัวเลขน้ำมันสำรองปรับตัวสูงขึ้น จึงทำให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา โดยหุ้นกลุ่มน้ำมันมีการปรับตัวลดลง 2% เชื่อว่าเป็นนักลงทุนต่างประเทศที่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่มีตุ้นทุนในการลงทุนต่ำ มีการขายหุ้นเพิ่มทำกำไรออกมา

ทั้งนี้ในช่วง1-2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลมีการกระตุ้นการลงทุนซึ่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถือว่ามีการปรับตัวลดลงต่ำกว่าภูมิภาค จึงทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยออกมา ซึ่งถือว่าเป็นการปรับฐานของตลาดหุ้นไทย ส่วนการที่ราคาทองคำปรับตัวดลงมา 100 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ มาอยู่ที่ระดับ 900 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน

ส่วนปัจจัยการเมืองนั้นจากการที่ศาลฎีการับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว.) พ.ศ.2550 ในการกระทำทุจริตการเลือกตั้ง ส่วนในกรณีการยุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยนั้นถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่จะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่าจะมีการยุบพรรคการเมือง 2 บริษัท รวมทั้งยังมีการพิจารณายุบพรรคพลังประชาชนเพิ่มอีก 1 แห่งหรือไม่ ทำให้การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ จึงกดดันตลาดหุ้นไทยต่อไป

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้ (21 มี.ค.) คาดว่าดัชนีฯจะยังคงปรับตัวลดลง เพราะยังมีสัญญาแรงขายทางเทคนิคออกมา และปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย และเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงมีแรงขายหุ้นไทยออกมาต่อเนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีการเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยจำนวนมาก จึงมีการเทขายทำกำไร โดยมองแนวรับที่ระดับ 785 จุด แนวต้านที่ระดับ 805 จุด

***นักลงทุนไม่คลายกังวลพิษซับไพรม์

นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จาก 2 ปัจจัย คือ แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังมีความกังวลกับปัญหาซับไพรม์ แม้เฟดจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่ามา ลงอีก 0.75% เหลือ 2.25%

ส่วนปัจจัยอีกส่วน คือ สถานการณ์ทางการเมืองหลังศาลฎีกาประทับรับฟ้องกรณี นายยงยุทธ ติยะไพรัช ทำให้หมดสิทธิ์ทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา ซึ่งกรณีนี้สะท้อนไปถึงแนวทางการยุบพรรคพลังประชาชนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อตลาดในระยะสั้น

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศอยู่ เพราะกรณีการยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย รวมถึงกรณีนายยงยุทธ ที่ศาลฎีการับคำฟ้อง ต้องใช้เวลาในการตัดสินค่อนข้างนาน โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ มีแนวรับสำคัญที่ 790 จุด มูลค่าการซื้อขายคงมีไม่มาก แต่มองเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าไปเก็บหุ้น เพราะโดยส่วนตัวคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 9 เมษายนนี้

***นักลงทุนทิ้งหุ้นพลังงาน

นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นไต้หวัน ที่กลับมาเป็นบวก โดยที่สาเหตุหลักยังมาจากความกังวลในเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงผลประกอบการของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่ออกมาไม่ดีจากผลกระทบซับไพรม์ ซึ่งตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ขณะที่หุ้นพลังงานถูกแรงเทขายทำกำไรออกมา กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยมีเหตุผลมาจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นกับตลาด เนื่องจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยการเมืองในประเทศที่ไม่ชัดเจน ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เริ่มไม่สอดคล้องกับราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเมื่อราคาน้ำมันปรับลดลงจึงส่งผลทำให้มีแรงเทขายหุ้นน้ำมันออกมา

ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง ในระยะสั้นเงินทุนคงยังไม่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น เนื่องจากในตลาดหุ้นก็ยังคงผันผวน และยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกอยู่ ทั้งนี้ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ โดยมีกรอบแนวรับที่ 790-795 จุด และแนวต้านที่ 807-810 จุด

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยมีแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่างปรับลดลงมาค่อนข้างมาก จึงเป็นเหตุทำให้มีเงินทุนออกไปพักที่ตราสารหนี้ หรืออัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นในทันที โดยคาดว่าคงใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าเงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้น ขณะที่คาดว่านักลงทุนยังคงรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของทาง กนง.ก่อน

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวลงอีก แต่คงไม่มากเนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียบางส่วนหยุดทำการซื้อขาย ได้แก่ ตลาดหุ้นฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะที่การเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยวันนี้จะแกว่งตัวลงในกรอบแนวรับที่ 790-792 จุด และแนวต้านที่ 801-803 จุด

***รอไฟเขียวตั้งบอร์ดพัฒนาตลาดทุน

ด้านนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการส่งร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยไปยังกระทรวงการคลังแล้ว และขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้มีการส่งเรื่องไปสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาในการประชุมในวันที่ 25 มีนาคม 2551

ทั้งนี้ ร่างแต่งตั้งคณะกรรมการฯดังกล่าวได้มีการเสนอชื่อ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการฯชุดนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือกับรมว.คลังซึ่งท่านก็ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาของตลาดทุน และเห็นชอบที่จะเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการฯเพื่อเข้ามาช่วยในการพัฒนาตลาดทุนไทย

นายปกรณ์ กล่าวว่า จากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการยื่นหนังสือปกขาว และข้อเสนอแนะของสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ในเรื่องทิศทางการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์อีก 5 ปีข้างหน้าแก่กระทรวงการคลังในช่วงที่ผ่านมานั้นเชื่อว่าคณะกรรมการชุดนี้จะมีการนำข้อเสนอในหนังสือปกขาวและข้อเสนอแนะของสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) เพื่อนำมาจัดทำเป็นแผนพัฒนาตลาดทุนไทย(มาสเตอร์แพลน)

ทั้งนี้ ผลการศึกษาในเรื่องการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นซึ่งอยุ่ระหว่างการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา ในเรื่องแนวโน้มทิศทางของตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 5 ปีข้างหน้า และวิธีการดำเนินงานจะเป็นอย่างไร ส่วนในเรื่องการปรับโครงสร้างของตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น จะต้องมีการดำเนินการอยู่แล้วส่วนที่จะมีการแปรรูปหรือไม่นั้นต้องรอผลการศึกษาก่อน

manager

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com