May 6, 2024   11:22:11 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > "หุ้นเด่นไตรมาส 2"
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 24/03/2008 @ 10:53:56
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งจัดสัมมนา"หุ้นเด่นไตรมาส 2"โดย 3 นักวิเคราะห์สาวชื่อดังจากบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง และบริษัทหลักทรัพย์ไซรัส ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

----------------นางสาวจิตรา อมรธรรมผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด(มหาชน)

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสบริษัทหลักทรัพย์ไซรัสจำกัด(มหาชน)กล่าวว่าช่วงไตรมาส 2 หุ้นเด่นที่น่าสนใจส่วนใหญ่มองว่าจะเป็นหุ้น domestic และแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นจำพวก soft community,hard community เนื่องจากความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจโลก โดยตัวแรกที่แนะนำคือหุ้นบริษัท อสมท.จำกัด(มหาชน)หรือ MCOT

"เราจะเห็นธุรกิจโฆษณากระหน่ำตามสื่อมากมาย โดยเฉพาะสื่อที่จะได้รับผลพลอยได้คือโทรทัศน์ และสื่อตัวแรกที่มองคือ MCOTเนื่องจากเป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่มสำหรับสาเหตุที่มองว่าเป็นช่อง 9 มากกว่าช่อง 3 หรือช่อง 7 เนื่องจากช่องอื่นมีโฆษณาเต็มหมดแล้ว แต่ช่อง 9 ยังไม่เต็ม จึงทำให้เหลือเวลาที่จะรับโฆษณาได้อีกเยอะ"

หุ้นที่น่าสนใจอีกบริษัทคือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) หรือ CPALL เนื่องจากเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการค้าปลีก ที่มีการเติบโตขึ้นตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจปีนี้น่าจะดีขึ้น ขณะที่บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น โดยปีที่ผ่านมาขยายสาขาถึง495 สาขา ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมก็ไมได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นถึง 5.9% เติบโตขึ้นจากปี49 ที่ระดับ 5.5%

เชื่อว่าหาก CPI ขายธุรกิจโลตัสซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ที่ประเทศจีนไปได้ ตามกำหนด15 พ.ค.นี้ หลังจากที่ขาดทุนจำนวนมากติดต่อกันมาหลายปีจะทำให้ CPALL ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนอีกต่อไป แม้ไม่ขยายสาขาก็เชื่อว่า CPALL จะมีกำไรที่เติบโตขึ้น คาดว่าปีนี้จะมีกำไรเติบโตเท่าตัวคือ 105% โดยมีราคาเป้าหมาย 13 บาท

ส่วนบริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO จะเป็นหุ้นอีกตัวที่เด่นช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากโครงสร้างการบริโภคเปลี่ยนไป ปัจจุบันมีการนำผลผลิตจากถั่วเหลืองมาผลิตไบโอดีเซลมากขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้น นอกจากนี้ปริมาณความต้องการซื้อที่ลดลงกลับตรงข้ามกับผลผลิตที่ลดลง เนื่องจากสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วเหลือรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้มีการปรับลดพื้นที่การปลูกลงจาก 16 เอเคอร์ เหลือ 12 เอเคอร์แล้วหันไปปลูกข้าวโพดแทน

ขณะที่หุ้นบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีวอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN นั้นก็ถือว่าเป็นอีกตัวที่น่าสนใจ เนื่องจากมาตรการทางภาษีที่รัฐบาลประกาศออกมานั้นจะช่วยให้ LPN ได้ประโยชน์จากตรงนี้เพิ่มขึ้นโดยมองว่า LPN เป็นบริษัทที่มี Backlog(ขายแล้วรอการโอน)จำนวนมากคือประมาณ 80% ของยอดขายปีนี้

"เชื่อว่าทุกกลุ่มจะได้ประโยชน์ จากมาตรการภาษีนี้ โดยดูจาก Backlog ที่เข้ามาโดย LPN และSIRI ถือว่าเป็นบริษัทที่มีมากสุด ขณะที่ LH ดูกันที่ Inventory ซึ่งมีเยอะที่สุดและสามารถเทิร์นกลับมาเป็นยอดขายได้มากสุดประมาณ 93% จึงเป็น 3 บริษัทที่จะได้ประโยชน์มากกว่าบริษัทอื่น"

นอกจากนี้หุ้นที่น่าสนใจช่วงไตรมาส 2 คือหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)หรือ KK โดยพิจารณาจากนโยบายกระตุ้นรากหญ้าของรัฐบาล ที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น และส่งผลดีต่อ KK โดยเฉพาะการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากต่างจังหวัดประมาณ 80% ของลูกค้าทั้งหมด และจำนวนลูกค้าต่างหวัด ประมาณ 50% เป็นการเช่าซื้อเพื่อการพาณิชย์ การค้าขาย

ส่วนหุ้น DTAC เชื่อว่าปีนี้ DTAC จะเสียภาษีลดลงจาก 30% เหลือ 25%รวมทั้งกรณีการจ่ายค่าอินเตอร์คอนเน็คชั่นให้กับค่ายมือถืออื่นๆปีที่ผ่านมา DTAC จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมาก หรือประมาณ 4,000 ล้านบาทปีนี้คาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 1,000 ล้านบาทเท่านั้นเนื่องจากปีนี้ DTAC มีการปรับโปรโมชั่นให้กับลูกค้า ได้โทรเข้าหาเครือข่ายตัวเองมากขึ้นจะทำให้ปีนี้มีกำไรมากขึ้น ให้ราคาเป้าหมาย 52 บาท--------------------------------นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตนผูอำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน

นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า หุ้นตัวแรกที่น่าสนใจจะอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ตัวที่มองถ้าเทียบกับผลประกอบการ หลายตัวมีผลประกอบการที่ดี เมื่อเทียบกับด้านมาตรการภาษีที่จะเริ่มมีการใช้รอบบัญชีที่จะมีการปรับเปลี่ยนจากกระทรวงการคลัง

ตัวที่น่าสนใจในมุมมองของบล.เกียรตินาคินก็คือ LPN เรามีการคาดหมายว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 น่าจะดีแต่โดยภาพรวมของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปี 2551น่าจะดีขึ้นเนื่องจากมีมาตรการภาษีเข้ามาช่วย แต่ตัวมาตรการภาษีจะมีผลต่อเมื่อเขาประกาศใช้จริงทำให้ผลประกอบการโดยรวมกลุ่มนี้มีการติดโอนจะช้าและจะไปโชว์ไตรมาส 2

หุ้นตัวที่ 2 มาในกลุ่มหุ้นของไอซีทีโดยตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นตัวที่เพิ่มกำลังซื้อโทรศัพท์มือถือมากขึ้น มองว่าน่าจะเติบโตไปได้ดี คือดีแทค(DATC)โดยฐานลูกค้ามีโอกาสเติบโตมากขึ้น หลังจากสามารถเข้าไปเจาะยังภาคเหนือได้ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะดีขึ้นด้วย ค่าใช้จ่ายด้าน IC มีการปรับตัวลดลงราคาเป้าหมายน่าจะอยู่ที่ 49 บาท

หุ้นตัวที่ 3 คือ สมบูรณ์ แอดวานซ์(SAT)ซึ่งเป็นกลุ่มยานยนต์ แต่ในปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบตลาดแล้วค่อนข้างโตลดลง โดยเฉพาะไตรมาส 4 ยอดการขายรถตกลงไปเพราะเขารู้ว่าเทคโนโลยีใหม่ E20 จะเข้ามา ทำให้ยอดขายรถไตรมาส 1 กลับมาดี อีกครั้งหนึ่งยอดการผลิตรถยนต์เดือนแรก โตขึ้น 27% ยอดการขายรถในประเทศโต 15% ยอดการส่งออกรถยนต์โต 32% ตัวที่เรามองคือ SAT นั้นเป็นบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ พวกเพลาข้าง ผลประกอบการไตรมาส 4 โตเหนือความคาดหมายโดยทำให้ผลประกอบการทั้งปีโต 34% เมื่อเทียบปีต่อปีถ้าเทียบยอดขายโต 17% เมื่อปีที่แล้ว

หุ้นตัวที่ 4 คือ KTB มองว่าโซนของกลุ่มแบงก์ทั้งหมด ถ้ามองภาพรวมกลุ่มแบงก์ปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ปัจจัยแรกถ้าเราลองมาดูรายได้ของโครงสร้างจากการปล่อยสินเชื่อมองจากการที่ถ้าการเมืองดีขึ้น จะทำให้ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นซึ่งจะทำให้รายได้แบงก์ดีขึ้นตามไปด้วยปัจจัยที่สองคือโครงการต่างๆของทางภาครัฐที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเมกะโปรเจกต์ แต่สิ่งที่จะได้คือใครที่มีรัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด มีแนวโน้มคาดหมายว่าโปรเจกต์จะมีอนาคต

หุ้นตัวที่ 5 คือปตท.สผ.(PTTEP) ตอนนี้ในตัวของโอกาสมีความกังวลต่อว่านักลงทุนที่เป็นสถาบันหรือ พวกที่เกร็งกำไรภาวะต่อการที่จะมีการขายสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งหลายเพราะมีระดับราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นไปมากโดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์คาบเดือนมีนาคมตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และพบว่าการขายลักษณะนี้มีโอกาสขายอย่างต่อเนื่องด้วยพวกเฮดฟันด์ทั้งหลายมีโอกาส ที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม ที่กระทบเป็นลูกโซ่ตามกันมา ซึ่งเฮดฟันด์เหล่านั้น จะถูกบีบให้ต้องมีการทำกำไร โดยสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้น ที่เข้าไปเก็งกำไรก่อนหน้านี้จะถูกขายออกมาและมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลง

ส่วนระดับราคาพื้นฐานให้อยู่ที่ 195 บาทภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมัน 75 เหรียญต่อบาร์เรลเท่านั้น เราจึงอยากให้พิจารณาตัวนี้ไว้ด้วย น่าจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจตัวหนึ่งในภาวะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างนี้-------------------นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงจำกัด(มหาชน)หรือ BLS กล่าวว่า หุ้นที่น่าลงทุนช่วงไตรมาส 2 คงจะให้ความสำคัญหุ้นที่มีความเกี่ยวโยงกันอย่างบริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด(มหาชน) หรือ TVO กับบริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC เหตุที่มองว่าหุ้นสองตัวนี้มีความเกี่ยวโยงกัน

เพราะการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลืองหรือ ข้าว ทำให้ราคาวัตถุดิบที่ถูกนำมาผลิตน้ำมันพืช เพื่อใช้การบริโภคสูงขึ้นรวมถึงการที่หุ้น TVO เป็นหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน เนื่องจากวัถตุดิบเป็นพืชพลังงานและเป็นพืชที่สามารถบริโภคเป็นอาหาร ทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นกว่าปกติราคาเป้าหมายปีนี้ 27.90 บาท

ส่วนหุ้น DCC เป็นหุ้นธุรกิจกระเบื้อง ที่มีลูกค้าอยู่ต่างจังหวัดเป็นหลักทำให้อัตราการเติบโตของบริษัทมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นได้ภายหลังจากประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเกษตรกรเริ่มที่จะมีเงินในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้หุ้นกระเบื้องตัวนี้น่าสนใจราคาเป้าหมายปีนี้ 19บาท

นอกจากนี้หุ้นที่มีความสัมพันธ์กันอีกคู่หนึ่งอย่างบริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC กับบริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ UEC เนื่องจากหุ้นทั้งสองตัวนี้มีความแน่นอนทางด้านรายได้ โดยมีลูกค้าเป็นกลุ่มเดียวกัน คือบริษัทในกลุ่มของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT ที่มีดำเนินธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีเป็นหลัก

ทั้งนี้หุ้น TRC เป็นหุ้นที่ดำเนินธุรกิจวางท่อส่งก๊าซ ขณะที่หุ้น UEC ทำเกี่ยวกับภาชนะความดัน จุดเด่นของทั้งสองในแง่ธุรกิจ จะมีอยู่ตรงที่มีผู้ประกอบการน้อยราย ซึ่งกลุ่มปตท.ก็ให้ความไว้วางใจสองบริษัทนี้มากก จึงเชื่อว่าอนาคตหุ้นทั้งสองจะเติบโตไปพร้อมๆกัน

"การที่เรามองหุ้น TRC และ UEC เพราะมีความแน่นอนเรื่องของรายได้และลงทุนของชัวร์ดีกว่า โดยเฉพาะงานจะได้รับจากบริษัทในเครือปตท.ทั้งหมด รวมถึงเครือปูนใหญ่ที่มีส่วนของการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมี และไม่นับรวมงานต่างประเทศที่บริษัททั้งสองออกไปรับงานเข้ามา เม็ดเงินลงทุนถือว่ามหาศาลเลยทีเดียว"

การลงทุนหุ้น TRC ช่วงนี้ยังได้รับผลดีเรื่องหุ้นปันผลสัดส่วน 7 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ส่วนการที่หุ้น UEC ปรับตัวลดลงมาเยอะ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงเหลือเพียง 23% ถือว่าไม่น่ากังวลเพราะรายได้จากภาชนะความดันสูง จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสามารถกลับมาที่ระดับ 25% ได้เหมือนเดิม

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งคือหุ้นบริษัท แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)หรือLH บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)หรือ QH และบริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ AP เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีการมีการจัดพอร์ตโฟลิโอ เรื่องของการดำเนินธุรกิจได้ดี โดยเฉพาะการสร้างสมดุล ในการดำเนินธุรกิจคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ได้อย่างเหมาะสม ถือว่าเป็นหุ้นที่ดีกว่าหุ้นที่มีแต่เฉพาะธุรกิจคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียว

"จุดอ่อนของธุรกิจคอนโด คงเป็นเรื่องของการรับรู้รายได้ ที่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ทันที เมื่อเทียบกับการมีธุรกิจทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านเดี่ยว เสริมเข้ามาด้วย ซึ่งหุ้น QH จะได้รับผลดีแง่ของการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์(พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์)ที่จะมีการจัดตั้งในไตรมาส 2 ปีนี้ เข้ามาด้วย ส่วน AP จะมีการรับรู้รายได้ค่อนข้างแน่นอน โดยปีนี้จะอยู่ที่ 46%ปีหน้า 42 %และปีถัดไปอยู่ที่ 43% ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท"


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 24/03/2008 @ 11:02:44 :
MAKRO: หุ้นปันผลเด่น.. กลับมาขยายสาขาใหม่อีกครั้ง.. ? ซื้อ



เราคาดว่าการเร่งเปิดสาขาใหม่เพิ่มถึง 12 แห่งในปี 50 ที่ผ่านมา จะทำให้ MAKRO มีกำไรเติบโต 34%YoY ในปี 51 ด้วยการเติบโตของกำไรอย่างโดดเด่น และคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล 6.7-8.7% ในปี 51-53 สูงสุดในกลุ่มค้าปลีกในประมาณการของเรา MAKRO จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในปีนี้ เราประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 116 บาท ที่ PER 16 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับ PE เพียง 13 เท่า แนะนำ ?ซื้อ?



สาขาใหม่จะหนุนการเติบโตของกำไร

เราคาดว่าสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึง 12 แห่งในปี 50 และการบริโภคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันกำไรให้เติบโตสูงถึง 34%YoY เป็น 1.7 พันล้านบาท ในปี 51 และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 18% ระหว่างปี 51-53



ความล่าช้าของ พรบ.ค้าปลีก จะทำให้ MAKRO ยังขยายสาขาเพิ่ม

เราคาดว่าการพิจารณาร่าง พรบ.ค้าปลีกฯ น่าจะยังต้องใช้เวลาอีก 8-12 เดือน ขณะที่แม้มีการประกาศใช้ระเบียบผังเมืองของแต่ละจังหวัดแล้ว แต่กฎเกณฑ์บางอย่างผ่อนคลายลงจากเดิม เป็นโอกาสให้กลุ่มห้างค้าปลีกยังสามารถเปิดสาขาเพิ่มได้ เราคาดว่า MAKRO จะเปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง/ปี ในปี 51-52 และหยุดการเปิดสาขาใหม่ในปี 53

รายได้จากสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น

การปรับปรุงสาขาเพื่อเพิ่มรายได้จากสินค้าอุปโภค ซึ่งให้อัตรากำไรดีกว่าสินค้ากลุ่มอาหาร และการเติบโตของรายได้จากลูกค้ากลุ่มร้านอาหาร/โรงแรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างอัตรากำไรสูงเช่นกัน จะช่วยทำให้ MAKRO มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นในปี 51-53

หุ้น defensive จ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ

MAKRO เป็นหุ้น defensive ที่สามารถทำกำไรและจ่ายปันผลในอัตราสูงได้สม่ำเสมอ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็น ช่วยลดผลกระทบจากเศรษฐกิจผันผวน ทั้งยังมีกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร/โรงแรม เป็นลูกค้าหลัก ช่วยลดผลกระทบการแข่งขันจากกลุ่ม modern trade ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นผู้บริโภคทั่วไป

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com