May 7, 2024   3:56:52 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 2 เดือนแรก ปี 2551......ใครเป็นแชมป์หุ้นร่วง ????
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 28/03/2008 @ 12:32:46
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

BLISS แชมป์หุ้นร่วงกว่า 92%

จากภาวะการณ์บ้านเมืองและปัญหาต่าง ๆ ที่เริ่มคลี่คลายลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาวะการลงทุนในตลาดฯมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งแรงซื้อดังกล่าวก็ยังคงเป็นของหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็ก ที่ยังคงดึงดูดใจนักลงทุนได้อย่างดีในช่วงนั้น

อย่างไรก็ตามแม้หุ้นขนาดเล็กจะเป็นหุ้นที่ครองใจนักลงทุนเป็นหลัก แต่ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็ยังอยู่ที่หุ้นขนาดใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานดี เพราะถึงแม้จะมีแรงเทขายออกมามาก แต่ก็ถือว่าเป็นไปตามภาวะตลาดที่ถูกกดดันจากสถานการณ์ต่างประเทศ

ขณะที่สังเกตแรงเทขายที่ออกมาตลอดระยะเวลาดังกล่าว จะพบว่าเป็นหุ้นเล็กและหุ้นเก็งกำไร ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่เทขายอยู่ดี ที่สำคัญผลจากการสำรวจราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่าน หรือ ระหว่าง วันที่ 31 ธันวาคม ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2551 โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลดลงมากสุด 50 อันดับแรก ในจำนวนหุ้น SET ทั้งหมด 490 ตัว พบว่าเกือบ 100% ที่เป็นหุ้นกลุ่มดังกล่าว

ทั้งนี้เป็นที่สังเกตว่าหุ้นที่มีราคาร่วงลงมากสุด ทั้งในช่วงผลการสำรวจหุ้นร่วงเดือนแรก

รวมถึง 2 เดือนแรกของปีนี้ ก็ยังเป็นของหุ้นเก็งกำไรตัวฉกาฬอย่าง BLISS หรือ บริษัท

บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) โดยระยะเวลาเพียง 2 เดือนราคาหุ้นร่วงลงกว่า 92% มาอยู่ที่ 0.86 บาท จากเดิม 10.80 บาท

เนื่องจากที่ผ่านมาหุ้นรายนี้ค่อนข้างเคลื่อนไหวในลักษณะผิดปกติ โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนก็สามารถพุ่งขึ้นลงได้ตามภาวะตลาดฯ และถ้าหากจะมองหาปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง ยิ่งไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะขนาดธุรกิจหลักที่ทำอยู่ยังไม่สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับบริษัทได้

ที่สำคัญการเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงผิดปกติในก่อนหน้านี้ ทำให้ทางตลท.มีมาตราการห้ามซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นและมาจิ้นเข้ามาควบคุม จึงน่าจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นรายนี้ออกมา

ขณะที่อันดับ 2 คือบริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน)หรือ TRAF ซึ่งเป็นหุ้นเก็งกำไรอีกรายที่มีการเคลื่อนไหวหวือหวาผิดปกติ โดยสังเกตได้จากราหุ้นก่อนหน้านี้ที่ระดับ 17.00 บาท มาอยู่ที่ 6.50 บาท ลดลง 10.50 บาท หรือราคาหุ้นร่วงลงเกือบ 62%

ด้วยเหตุนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ถึงได้มีคำสั่งกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายแบบหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียว(NET SETTLEMENT)และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์(MARGIN TRADING) หุ้นของ TRAF ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.2550 ถึง 2 เม.ย. 2551 รวมทั้งสิ้น 90 วันทำการ

ด้านผลการดำเนินงานในปี 2550 ที่ผ่านมา ก็ยังพบว่าบริษัทขาดทุนสุทธิ 41.76 ล้านบาท ลดลง 64.67% จากปี 2549 ที่ขาดทุนสุทธิ 118.21 ล้านบาท แม้จะมีสาเหตุมาจาก การปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ แต่นี่ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนขายทิ้งหุ้นตัวนี้ออกมา

ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ JAS หรือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 35.00% มาอยู่ที่ 0.26 บาท ลดลง 0.05 บาท จากเดิม 0.40 บาท โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะหากมองเนื้อหาของหุ้นรายนี้ไม่มีความโดดเด่นเท่าใดนัก อีกทั้งระยะหลังไม่สามารถหางานประมูลใหม่มารองรับธุรกิจได้

ขณะที่แผนการดำเนินงานก็ไม่มีนำเสนอออกมาชัดเจน เพราะหากจับตาธุรกิจหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าไม่มีความน่าสนใจพอที่จะเข้าลงทุน ซึ่งอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการปี 2550 ที่ผ่านมาผลประกอบการออกมาไม่สวยหรู เนื่องจากกำไรสุทธิสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2550 มีผลขาดทุน 41.42 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 236.17 ล้านบาท

ดังนั้น JAS แม้จะเป็นหุ้นเก็งกำไรยอดนิยมอีกตัว แต่หากขาดปัจจัยบวกมาสนับสนุน ก็ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดอยู่บนดอยในอนาคตได้เหมือนกัน อีกทั้งสัญญาณทางเทคนิคโดยรวมก็ยังอยู่ในขาลง และคาดว่ามีโอกาสที่เกิดแรงขายกดดันราคาหุ้นออกมาอีก

อันดับ 4 คือ KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นลดลง 26.77% หรือลดลง 8.30 บาท มาอยู่ที่ระดับ 22.70 บาท จากเดิม 31.00 บาท ซึ่งสาเหตุที่ราคาหุ้นรายนี้ร่วงลง เป็นผลมาจากจากการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อรวมในปีนี้ ยังต้องรอดูนโยบายจากรัฐบาลชุดใหม่ก่อนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะมีข่าวดีใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนเป็นระยะ รวมถึงฐานะที่มั่นคง KTC และสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ และสามารจ่ายเงินปันผลเป็นประจำทุกปี แต่อย่าลืมว่าในช่วงที่ผ่านมาบทบาทสำคัญของหุ้นตัวถูกมองข้ามไปหมดทุกอย่าง

นี่จึงเป็นอีกผลหนึ่ง ที่ส่งผลให้ราคาหุ้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหนสักทีในช่วงที่ตลาดหุ้นเริ่มสดใส ขณะเดียวกันในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นอึมครึมราคาหุ้นกลับไหลรูดลงอย่างต่อเนื่อง

จึงกลายเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์หลีกเลี่ยงให้คำแนะนำ

ปิดท้ายที่อันดับ 5 TIPCO หรือ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาที่ 5.55 บาท จากเดิม7.20 บาท หรือลดลง 22.92% เนื่องจากช่วงดังกล่าวไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน และยิ่งภาวะตลาดในช่วง 2 เดือนแรกถือว่าไม่เอื้ออำนวยต่อการเข้าลงทุนนัก

อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานก็ออกมาไม่สวย เนื่องจากการฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน จากต้นทุนการผลิต ราคาสับปะรด และโลหะบรรจุภัณฑ์ รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังกดดันมาร์จิ้นของ TIPCOจึงเป็นผลทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาตามภาวะตลาด

อย่างไรก็ตามปีนี้ปัจจัยลบต่างๆ น่าจะบรรเทาลง จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับราคาขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทดีขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานที่อยุธยาเริ่มผลิตได้มากขึ้น

หากแต่ผลดังกล่าวที่คาดว่าจะดูดีขึ้นได้ในปีนี้ รวมทั้งการรับข่าวดีจากพันธมิตรญี่ปุ่น ซึ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถหนุนให้ราคาหุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นมาได้ เนื่องจากผู้บริหารเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่องทั้งที่รายได้ปีนี้ดียอดขายถึง 5,000 ล้านบาท ทั้งที่บริษัทมีกำไรและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด จากผลประกอบการไตรมาส 2/50 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 13,136 ล้านบาท

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม มีการขายหุ้น TIPCO ของผู้บริหาร รวม 663,580

หุ้น โดยน.ส.น้ำอ้อย ภูภัทรพงศ์ จำนวน 20,000 หุ้น น.ส.นิธิมา อังอติชาติ 120,000 หุ้น นายพรชัย พูลสุขสมบัติ 40,000 หุ้น นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล 466,100 และนายวิจารณ์

สลักเพชร จำนวน 17,480 หุ้น นี่น่าจะเป็นเหตุผลหลักทราคาหุ้นรายนี้ไม่มีวี่แววว่าจะปรับตัวขึ้นได้

ทั้งนี้จะเห็นว่าราคาหุ้นที่ร่วงลงหนัก โดยเฉพาะ 5 อันดับแรก เป็นหุ้นเก็งกำไร เพราะฉะนั้นการปรับตัวขึ้น ? ลง อย่างไร้ทิศทาง จึงเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของหุ้นกลุ่มนี้ ส่วนนักลงทุนที่คิดจะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว ควรศึกษาช่วงจังหวะขึ้นลงให้ดี จะได้ไม่พลาดท่าเสียที ติดอยู่ดอยในภายหลัง


:lol:

 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#1 วันที่: 30/03/2008 @ 16:16:16 :
[b:8b6f806fe4"> :roll: เค้าเลิกเล่นกัน มันก็ต้องร่วงเป็นธรรมดาน่ะ [/color:8b6f806fe4">[/b:8b6f806fe4">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com