May 6, 2024   7:08:50 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ทิศทางหุ้นอาทิตย์นี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 30/03/2008 @ 18:59:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

The Stock Exchange of Thailand
ปิด 825.17 จุด ณ 28 มี.ค. 51


การปรับฐานระยะสั้นครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.พ. 51 ณ ระดับ 840 จุด ดัชนีอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วสู่ 796 จุด ส่งผลให้สัญญาณ Stochastic เคลื่อนตัวเข้าสู่เขตการขายเป็นอันมาก และจากสถานะนี้เองที่ทำให้เกิดการดีดกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีดีดตัวกว่า 20 จุด สามารถปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 25 75 และเส้น 200 วันได้ ณ ปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงภาพเชิงบวกระยะสั้น อีกทั้งยังแสดงถึงโอกาสของการดีดตัวต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีจะสามารถปรับขึ้นทดสอบ Neckline ของ Head & Shoulder Bottom บริเวณ 840 จุดได้ อย่างไรก็ตามแม้ดัชนีจะปรับขึ้นถึงเป้าหมายข้างต้น แต่ก็ยังไม่อาจสรุปว่าแนวโน้มระยะกลางได้เปลี่ยนเข้าสู่ขาขึ้นอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากที่ผ่านมาดัชนีมิได้สร้างฐานที่ยาวนานเพียงพอเพื่อการนั้นแต่อย่างใด การลงทุนระยะนี้จึงควรเน้นเก็งกำไรระยะสั้นเป็นหลัก

ทิศทางดัชนีสัปดาห์นี้ ดัชนีมีกรอบการแกว่งตัวช่วง 815-840 จุด ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน และ Neckline กลุ่มที่โดดเด่นที่สุดคือวัสดุก่อสร้าง รองลงมาได้แก่ เงินทุนหลักทรัพย์ วัสดุอุตสาหกรรม สื่อสาร ตลอดจนสื่อและสื่อสิ่งพิมพ์ โดยมีหุ้นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ SAM, KWH, UMI, GEN, EWC, SUPER, TSTH, PHATRA, KEST, ASP, TCAP, GSTEEL, SSI, PERM, TGPRO, IEC, AIT, ADVANC, SATTEL, TT&T, TKS, BEC, LIVE, TRAF, RS, GRAMMY และ SMM.

แนวรับ: 810-815 จุด
แนวต้าน: 840-845 จุด

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 31/03/2008 @ 08:42:42 :
เคลื่อนตัวออกด้านข้างในทางลง

ผลกระทบจากวิกฤติซับไพร์มมีออกมาเป็นระยะ คาดสถาบันการเงินในสหรัฐต้องแบกรับภาระขาดทุนเพิ่ม รวมไปถึงการปรับลดมูลค่าทางบัญชี เฟดส่งสัญญาณอาจต้องปรับลดดอกเบี้ยอีกเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ราคาน้ำมันขยับตัวขึ้นมาปิดเหนือบาร์เรลละ 107 เหรียญ การเมืองภายในประเทศมีการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.237

ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบ

ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำสาขาออกโรงเตือนเศรษฐกิจอเมริกาเสี่ยงต่อภาวะถดถอย (RECESSION) อาจจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และหากตัวเลขความเสียหายเป็นไปตามที่ประมาณการ (ยอดเสียหายจากสินเชื่ออาจสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์) อาจเห็นสถาบันการเงินหลายแห่งต้องประสบปัญหาเพิ่มมากขึ้น

กรณีที่สถาบันการเงินต้องขาดทุนเพิ่มจะทำให้การปล่อยสินเชื่อชะลอตามมา สถาบันการเงินต้องเร่งการกันสำรอง ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มทุน การตัดหนี้เสีย การปรับลดมูลค่าทางบัญชีจะส่งผลกระทบต่อกำไรของสถาบันการเงิน มีการคาดการณ์ว่าธนาคารขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกของสหรัฐกำลังประสบปัญหาด้านทุนรักษาระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี

ปัญหาสินเชื่อ (SUBPRIME) สร้างปัญหาสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินในยุโรป ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางสวิส และธนาคารอังกฤษต้องประกาศพร้อมอัดฉีดเม็ดเงินหลังสภาพคล่องยังตึงตัว นักวิเคราะห์เชื่อว่าปัญหาสินเชื่อจะยืดเยื้อเป็นเวลา 2 ปี

ราคาน้ำมันในตลาด NYMEX ขยับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล หากการเข้าซื้อเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์ยังดำเนินต่อไปจะทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

การตกต่ำของเศรษฐกิจในซีกโลกตะวันตก ทำให้ตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและอินเดียที่ยังสามารถขยายตัวได้จากกำลังซื้อภายในประเทศ และการที่ดัชนีตลาดทั้งสองประเทศได้ปรับตัวลดลงมามาก อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจีนอาจได้รับผลกระทบระยะสั้นจากปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในทิเบต

การเมืองภายในประเทศ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเริ่มมีการเคลื่อนไหว หลังพรรคร่วมรัฐบาลมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.237 เพื่อหลีกเลี่ยงการยุบพรรคการเมือง หากไม่สามารถหาข้อยุติได้การกระเพื่อมไหวทางการเมืองได้ ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองอาจนำไปสู่การชะลอตัวการลงทุนและขาดความเชื่อมั่นต่อทิศทางการลงทุน

ปัจจัยทางเทคนิค

จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 สัปดาห์ มีทิศทางปรับขึ้นทดสอบแนวต้านของเส้น 25 สัปดาห์ ที่ระดับ 833 จุด มูลค่าการซื้อขายชะลอตัว หากดัชนีตลาดจะส่งสัญญาณปรับตัวขึ้นต่อดัชนีตลาดต้องยืนปิดเหนือแนวต้านที่ 830 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง ในทางกลับกันหากดัชนีตลาดไม่สามารถยืนเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 800 จุดได้ จะเป็นสัญญาณว่าดัชนีตลาดจะปรับตัวลงไปหาแนวรับที่ 770 จุด

สัญญาณ OSCILLATOR จากกราฟรายสัปดาห์ สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นลบ แสดงถึงดัชนีตลาดระยะยาวยังขาดความชัดเจน

จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งตัวขึ้นปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งสี่เส้น โดยมีเส้น 200 วันทำหน้าที่เป็นแนวรับในระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 823 จุด มูลค่าการซื้อขายที่ชะลอตัวจะทำให้การปรับตัวขึ้นต่อของดัชนีตลาดมีความเสี่ยงต่อการถูกเทขาย

ดัชนีตลาดมีการปรับตัวขึ้นเพื่อปิดช่องว่างของสัญญาณกลับตัวในปลายตลาดขาขึ้นรูป DUMPLING ROOF ที่ระดับ 830 จุด หากดัชนีตลาดไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ขึ้นไปได้และปิดต่ำกว่า 823 จุด ดัชนีตลาดจะปรับลดลงไปหาแนวรับของเส้น 25 วันที่ระดับ 810 จุด

การเกิดสัญญาณขัดแย้งในปลายตลาดขาขึ้น (BEARISH DIVERGENCE) ในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคารซึ่งเป็นกลุ่มนำตลาดในระยะสั้น จะทำให้ดัชนีตลาดขาดแรงส่งที่จะปรับตัวขึ้นต่อ

สัญญาณ OSCILLATOR จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก แสดงถึงดัชนีตลาดมีการปรับตัวขึ้นทางเทคนิค (TECHNICAL REBOUND) เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายเบาบาง

ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ในรอบสัปดาห์นี้ มีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 830-840 จุด และมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 810-800 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนเม.ย. หากมีปัจจัยลบภายนอกทำให้ตลาดเกิดการตื่นขายและดัชนีตลาดปรับตัวลงแรง จะเป็นจังหวะที่ดีของการทยอยเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเข้าพอร์ตเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ระยะยาว หุ้นเด่นในระยะสั้น TOP, PHATRA, CPF, UMS


บัญชรหุ้น:ป.ดัชนี

:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 31/03/2008 @ 08:44:33 :
"การเมือง" ตัวกำหนดทิศทางตลาด

คงเป้าหมายการปรับสูงขึ้นระยะสัปดาห์ที่ 850-860 จุด ต่อเนื่อง...ยังต้องติดตามพัฒนาการทางการเมืองอย่างใกล้ชิด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : SET ปรับสูงขึ้น 2.72% ปิดตลาดที่ 825.17 จุด ในสัปดาห์ก่อน โดยประเด็นทางการเมืองยังเป็นปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาดในช่วงนี้ ล่าสุดที่ปรึกษาด้านกฎหมายมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง เห็นว่ากรรมการบริหารพรรคชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ได้กระทำความผิดในการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ว่านี้ด้วย นอกจากนี้คณะที่ปรึกษา 6 เสียง มีมติเสนอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาฯ โดย กกต.จะตัดสินภายใน 2 เม.ย.นี้ว่าจะส่งเรื่องให้ ศาลฯ พิจารณายุบพรรคต่อไปหรือไม่....สำหรับแนวโน้ม SET ระยะสัปดาห์ เราคงคาดหวังการปรับสูงขึ้นไปที่ระดับ 850-860 จุด ซึ่งคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ก.พ.ที่คาดว่าจะออกมาดี (ประกาศวันที่ 31 มี.ค.นี้) ขณะที่ปัจจัยที่ยังต้องติดตามใกล้ชิด คงเป็นปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะกรณียุบพรรคที่ กกต.จะนำส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาต่อ ซึ่งคาดว่าจะกินระยะเวลาประมาณ 2 เดือน โดยแม้ว่าการตัดสินให้ยุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาฯ จะส่งผลต่อฐานเสียงของรัฐบาลไม่มากนัก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการตัดสินยุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาฯ จะถูกนำไปเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนในอนาคต

คาดการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องในเดือน ก.พ. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูงกว่า 5% ต่อเนื่องในเดือน มี.ค.

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองที่ขาดเสถียรภาพส่งผลโดยตรงต่อการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศโดยตรง แต่เราเชื่อว่าในภาวะปัจจุบันถือว่ามีเสถียรภาพมากกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก และไม่ว่าพรรคพลังประชาชนจะเป็นแกนนำรัฐบาล หรือพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำรัฐบาล เราเชื่อว่าจะมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาคล้ายๆ กัน เราจึงมองว่าแม้การเมืองจะเป็นความเสี่ยงในการลงทุนช่วงนี้ แต่ถือว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น โดยปัจจัยที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง...เราคาดว่าอัตราการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนเดือน ก.พ.จะขยายตัวดีต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคจะยังขยายตัวได้ดี ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มี.ค.คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงมากกว่า 5% เนื่องจากราคาน้ำมัน และสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น

แนะนำถือหุ้นในสัดส่วน 80% ของพอร์ตต่อจากสัปดาห์ก่อน แต่มีจุด TRAILING STOP ที่ 812 จุด

แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง แต่ก็ใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้ข้อสรุป นอกจากนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวได้ดี จะเป็นปัจจัยบวกต่อ SET ในระยะกลาง จึงแนะนำถือหุ้นในสัดส่วน 80% ของพอร์ตต่อเนื่อง โดยมีจุด TRAILING STOP ที่ 812 จุด (ถ้า SET ยืนไม่อยู่ ลดพอร์ตเหลือ 50%)....สำหรับพอร์ตจำลองสัปดาห์ที่ผ่านมามีอัตราผลตอบแทน +4.8% ดีกว่าตลาดที่ปรับสูงขึ้น +2.7% อยู่ 2.10% และตั้งแต่จัดทำพอร์ตจำลองเมื่อ 4 ก.ย.2549 มีอัตราผลตอบแทน 77.7% ดีกว่าตลาดที่มีอัตราผลตอบแทน 17.7% อยู่ 51.1% สำหรับสัปดาห์นี้เราถือ BEC, KBANK, MAKRO, PS, PTT, PTTEP, TSTH, และ UMS ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน

วิเคราะห์ตลาดทางเทคนิค

ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 815-835 จุด

ตลาดมีลักษณะจบแนวโน้มลงและเปลี่ยนเป็นทิศทางขึ้นระยะสั้น โดยสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ดัชนี SET ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน หรือ 805 จุด พร้อมทั้งกลับตัวขึ้นทะลุกรอบแนวต้านของรูปแบบสามเหลี่ยมปลายแหลม (FALLING WEDGE) ตรงระดับ 810 จุด เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2550 และปริมาณซื้อขายในวันดังกล่าวเท่ากับ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยปกติที่เคยซื้อขายประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณซื้อ

สำหรับความเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาด ดัชนี SET สามารถยกระดับต่ำสุดของแต่ละวัน สูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน และทำจุดสูงสุดใหม่ระยะสั้นได้ด้วย แต่เนื่องจากโมเมนตัมเริ่มที่จะชะลอตัว ดังนั้นการขึ้นต่อไปคงทำได้ไม่มากนัก โดยคาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวขึ้นต่อได้ในกรอบแคบ 815-835 จุด จังหวะอ่อนตัวลงมาที่แนวรับ 815 จุด เป็นโอกาสซื้อระยะสั้น และคาดว่าจะไม่เกิน 833-835 จุด เป็นจังหวะขายทำกำไร

วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

GSTEEL ราคาปิด 0.78 บาท

ราคาลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 0.85 บาท ตั้งแต่เดือน ส.ค. ปีก่อน และมีแรงขายอย่างต่อเนื่องจนทำให้ราคาลงมาต่ำสุดที่ 0.62 บาท ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น 25% มาอยู่ที่ 0.78 บาท และยังคงไม่สามารถทะลุ 0.78 บาทได้ อย่างไรก็ตามราคาเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดเดิม 0.78 บาทอีกครั้งและเข้าใกล้ทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน 0.80 บาท ดังนั้นในสัปดาห์นี้ถ้ามีแรงซื้อเข้ามาทำให้ราคาทะลุกรอบ 0.78-0.80 บาทได้ จะเป็นสัญญาณซื้อทันที เป้าหมายทางเทคนิคอยู่ที่บริเวณ 0.86-0.89 บาท

ASK TALK ที่มา:ฝ่ายวิเคราะห์กรุงศรีอยุธยา


:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com