May 3, 2024   9:50:52 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เดือนมีนาคม หุ้นเเก็งกำไรมาแรง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 03/04/2008 @ 13:03:48
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนมีนาคม 2551 ที่ผ่านมา ถือเป็นขาลงอย่างชัดเจน เนื่องจากเดือนที่แล้วดัชนีจากมีทิศทางแกว่งตัวขึ้นเข้าเขตซื้อเกินไป ส่งผลต่อเนื่องให้ดัชนีของเดือนนี้อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดต่ำสุดที่ระดับ 798.11 ในช่วงวันที่ 20 มีนาคม

ขณะที่ดัชนีสามารถพยุงตัวขึ้นได้นิดหน่อยในช่วงปลายเดือน แต่ก็ยังแกว่งตัวแบบ Sideways แคบๆ อยู่ระหว่าง 805-825 เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตลอดทั้งเดือนนี้ไม่ค่อยหวือหวา และค่อนข้างซบเซาอย่างมาก

หากแต่ในช่วงจังหวะของตลาดหุ้นเช่นนี้ จะมีให้เห็นบ่อยมาก ก็คือการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนรายใหญ่ ที่อาศัยภาวะตลาดฯเข้าไล่ล่าดันราคาขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเห็นได้จากผลการสำรวจราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด 50 อันดับแรกเดือนมีนาคม โดยเทียบจากฐานข้อมูลราคาเดิมของวันที่ 29 กุมภาพันธ์

2551 พบว่าหุ้นที่ปรับตัวสวนทางกับภาวะตลาดเป็นหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กที่ปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่

โดยเห็นได้จากการราคาหุ้นทั้งหมดใน SET จำนวน 491 ตัว มีหุ้นที่สามารถปรับตัวขึ้นเพียง 150 ตัว และ 133 ตัว เป็นหุ้นที่ไม่มีการเคลื่อนไหวไปตามภาวะตลาด หรือขาดสภาพคล่อง ส่วนอีก 20 ตัว เป็นหุ้นที่ไม่มีราคาเปลี่ยนแปลง หรือยังคงเคลื่อนไหวในระดับเดิม และอีก 188 ตัว เป็นหุ้นที่มีราคาปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า หุ้นจำนวน 50 ตัวที่นำมาแสดงในตาราง พบว่ามีหุ้นขนาดใหญ่เพียงรายเดียวที่ปรับตัวขึ้นนั่นก็คือ LH หรือ บริษัท แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวอยู่ในอันดับที่ 25 หากแต่ความแข็งแกร่งทั้งด้านผลการดำเนินงานที่ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และการให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอทำให้หุ้นตัวนี้ครองใจทั้งนักลงทุนไทยและนอกเสมอมา

ขณะที่ EMC หรือ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นแรงสุดถึง 103.32% ซึ่งราคามาอยุ่ที่ 9.80 บาท จากเดิม 4.82 บาท การปรับตัวขึ้นของหุ้นรายนี้ น่าจะมาจากการเข้ามาเล่นเก็งกำไรในกลุ่มนักลงทุนเดิมๆ ที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี รวมถึงการการแตกพาร์ และออกวอร์แรนต์

อย่างก็ไรก็ตาม แม้หุ้นรายนี้จะมีปัจจัยบวกสนับสนุนราคาหุ้น แต่การที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นเก็งกำไร นักลงทุนก็ควรอย่างระมัดระวังไว้บ้าง เพราะการรับข่าวดีที่ซับซ้อน จนดันราคาหุ้นวิ่งไม่หยุด ล่าสุดรับงานใหม่สร้างรีสอร์ทในประเทศกัมพูชา มูลค่าเกือบ 52 ล้านบาท ที่คาดว่าจะรับรู้รายได้ไม่เกิน Q2 หรือ Q3 ปีนี้ ดังกล่าวถือว่าไม่มีนัยสำคัญที่ช่วยหนุนราคาหุ้นได้มากนัก เนื่องจากมูลค่าโครงการไม่ใหญ่มาก อันดับ 2 GEN หรือ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 84.80% อยู่ที่ระดับ 3.16 จากเดิม 1.71 บาท ซึ่งเข้าใจว่าการปรับตัวขึ้นของ GEN ครั้งนี้เป็นการไล่เก็บของนักลงทุนรายใหญ่(ญาติใกล้ชิดอดีตรัฐบาลชุดก่อน)โดยใช้เครือข่ายเข้ามาร่วมเก็บ เห็นได้จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปรากฎชื่อนักลงทุนรายใหญ่เข้าซื้อ GEN อย่างมีนัยสำคัญ

โดยเหตุผลหลักการเข้าถือหุ้นใหญ่ GEN ครั้งนี้ มีการเจรจากันอย่างลับกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกันแล้วและตกลงกันได้ด้วยดี ซึ่งเหตุผลที่นักลงทุนรายใหญ่เข้าไป มีเจตนาชัดเจนต้องการเทคโอเวอร์บริษัท โดยมีข้อตกลงกันว่าจะไม่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหาร เพียงแต่ส่งลูกชายที่สนิทกับลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณเป็นอย่างดีเข้าไปเป็นบอร์ดเท่านั้น นี่จึงเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งรับอย่างดี

อันดับ 3 PERM หรือ บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิร์ค จำกัด(มหาชน) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 78.18% มาอยู่ที่ระดับ 1.96 บาท จากเดิม 1.10 บาท การปรับขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้นรายนี้ น่าจะมาจากการที่ราคาเหล็กปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนแห่เข้าเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากราคาเหล็กที่ปรับขึ้นเกือบเท่าตัวและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นกว่า 30,000 ตันต่อปี

โดยบริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 แสนตันต่อปี หรือ 15% จากกำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนตันต่อปี หลังจากบริษัทลงทุนขยายโรงงานแห่งที่ 5 เพิ่มพื้นที่อีก

6,000 ตารางเมตรและติดตั้งเครื่องจักรเพิ่ม ปัจจุบันเครื่องจักรที่สั่งเข้ามาเริ่มทยอยเข้ามาติดตั้งแล้ว โดยบริษัทใช้เงินลงทุนสร้างโรงงาน 50 ล้านบาทและเครื่องจักรประมาณ 70 ล้านบาท

นอกจากนี้ราคาเหล็กเฉลี่ยไตรมาส 1/51 อยู่ที่ 39 บาทต่อกิโลกรัมปรับเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 4/50 ราคาเหล็กอยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัมเพิ่มขึ้นเกือบ 100%และแนวโน้มราคาเหล็กยังปรับเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากความต้องการเหล็กในตลาดโลกยังมีอยู่ต่อเนื่องและประเทศจีน ยังไม่มีนโยบายให้ส่งออก เนื่องจากโดนเรื่องภาษีส่งออกจากเมื่อในอดีตไม่เลยมีภาษีส่งออก

อันดับ 4 DE หรือ บริษัท ดีอี แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 75% มาอยู่ที่ระดับ 1.79 บาท จากเดิม 1.02 บาท การปรับตัวขึ้นของหุ้นรายนี้ เป็นที่เข้าใจดีว่าเกิดจากการไล่ล่าของพ่อมดน้อย"มือใหม่วงการหุ้น"ฉาย บุนนาค"ทายาทเจ้าของโรงพิมพ์ตะวันออก ที่เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน DE และได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจใหม่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับป้ายโฆษณา และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตัดทิ้งธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นธุรกิจหลักเดิมออกไป

ทั้งนี้ หากมองปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นรายนี้ ถือว่าไม่มีความโดดเด่น เนื่องจากตัวธุรกิจทำกำไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ด้านฐานะการเงินก็ไม่ได้ดูดีเท่าใดนัก ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจึงมีเพียงประเด็นเดียว คือการเข้ามาไล่ล่าเก็งกำไรของนักลงทุนรายใหญ่เป็นหลัก

อันดับ 5 PRG หรือ บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด(มหาชน) ราคาเพิ่มขึ้น 62.82% มาอยู่ที่ระดับ 63.50 บาท จากเดิม 39.00 บาท เป็นที่แปลกใจว่าทำไมหุ้นรายนี้ จึงสามารถดันราคาขึ้นติด 1 ใน 5 ของหุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นแรงได้ เพียงใช้ระยะเวลาเดือนดียว ก็สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้สูงถึง 24.50 บาท

ต้องเข้าใจว่าหุ้นรายนี้ ไม่ได้มีอะไรเลวร้าย และถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างดีเพียงแต่มีการกระจายหุ้นในตลาดค่อนข้างน้อย ทำให้นักลงทุนบางรายไม่สามารถซื้อหุ้นได้

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงมีการปรับ จึงได้ปรับปรุงแนวทางดำเนินการกรณีบริษัทจดทะเบียน ที่มีการกระจายรายย่อยไม่ครบถ้วนให้เหมาะสมขึ้น พร้อมกับยกเลิกมาตรการ Call Market เพื่อให้หุ้นกลับมาซื้อขายในระบบปกติ (Automatic Order Matching : AOM)แทน ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายและช่วยให้การกระจายหุ้นสะดวกยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้หุ้น PRG มีสภาพคล่องในการซื้อขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับประสิทธิภาพในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง อักทั้งฐานะการเงินก็แข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างหนาแน่น

ที่กล่าวมา สะท้อนภาพการลงทุนในภาวะตลาดที่ไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ซึ่งหุ้นที่สามารถครอบครองเวทีนี้ได้ก็ต้องเป็นหุ้นเก็งกำไร เพราะไม่ต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุน เพียงแต่มีเงินทุนหนาแน่นก็สามารถดันราคาได้อย่างน่าพอใจ

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com